หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 614 เลือกความอัปยศอดสูมากกว่าศักดิ์ศรี!

บทที่ 614 เลือกความอัปยศอดสูมากกว่าศักดิ์ศรี!
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ภายใน ขณะที่เขามุ่งหน้าไปนั้น ชายหนุ่มก็คิดคำนวณถึงความเป็นไปได้ว่าจะมีแผนการเบื้องลึกซ้อนอยู่ในเรื่องนี้ไปด้วย

ระมัดระวังตัวเอาไว้ไม่เสียหาย หากว่าจ่ายเงินแล้วจบเรื่องได้ ข้าก็ยินดีจ่าย จากการเดินทางครั้งล่าสุดของหวังเป่าเล่อ เขาก็น่าจะได้แต้มการรบมาหลายแสน ชายหนุ่มยินดีจะจ่ายค่าชดเชยให้

หากนี่เป็นกับดักแล้ว พวกเขาจะมาโทษข้าไม่ได้ละที่ป้องกันตัว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนแววเยือกเย็น ชายหนุ่มเปิดแหวนสื่อสารขึ้นและติดต่อเซี่ยไห่หยาง ครั้งนี้ เขาไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องเจ้าลา แต่ถามว่าหม้อหลอมโอสถของซุนไห่นั้นเสียหายมากน้อยเพียงใดแทน!

เซี่ยไห่หยางถามไปมาสักพักก็ได้รายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายมา

“หม้อหลอมโอสถนั้นราคาไม่ถูกเลยเป่าเล่อ มีราคาถึงห้าหมื่นแต้มการรบ!” เซี่ยไห่หยางพูด ไม่รู้เลยว่าหวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นร่ำรวยเพียงใด เขาทอดถอนใจเมื่อได้ยินราคา

ห้าหมื่นแต้มงั้นหรือ… หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะกล่าวขอบคุณ และวางสาย ห้าหมื่นแต้มการรบอาจจะไม่ใช่น้อยๆ สำหรับเขาแต่ทว่าก็ไม่ใหญ่เกินไป หวังเป่าเล่อผู้เตรียมใจไว้แล้วก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมุ่งตรงไปข้างหน้า ข้ามทะยานผ่านสรวงสวรรค์ไป ในที่สุดก็มาถึงระยะที่จะถึงสำนักวังเต๋าไพศาลได้ในตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น!

ชายหนุ่มส่งข้อความเสียงหาเซี่ยไห่หยางและประมุขสำนักสวีอยู่อีกพักใหญ่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเจ้าลาปลอดภัย ทุกๆ สิ่งเริ่มยืนยันให้เขาแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมด…เป็นแผนที่หวังจะเล่นงานเขา!

น่าสนใจ รัศมีความรุนแรงแผ่ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อแต่ก็ถูกกลบหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยขณะที่เขาพุ่งผ่านท้องฟ้าและมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล คนแรกที่หวังเป่าเล่อไปพบก็คือประมุขสำนักสวี ผู้ซึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว

“ตามข้ามา!” ประมุขสำนักสวีกล่าวทันทีที่เห็นหน้าหวังเป่าเล่อ เขาเดินนำไป หวังเป่าเล่อพยักหน้าและเดินตามประมุขสำนักสวี มุ่งหน้าตรงไปยังเกาะชั้นนอกที่ไม่ห่างออกไปนัก

ในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนมีเกาะเป็นของตนเอง เกาะของพวกเขานั้นโดยมากแล้วมีขนาดใหญ่และหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น เกาะเหล่านั้นเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเขา ศิษย์และผู้ติดตามมากมายของพวกเขาก็พากันมาอยู่อาศัยด้วยกันบนเกาะทั้งหมด

เกาะของซุนไห่ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ใช่เกาะที่ดีเลิศ แต่ก็ดูดีกว่าเกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่อ ทั้งในด้านตำแหน่งที่ตั้ง ปราณวิญญาณ หรือราคาก็เทียบกันไม่ติด

“นั่นคือเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์ของซุนไห่ เป่าเล่อ ฟังข้าให้ดี อย่าหุนหัน ทำตามแผน หากสามารถจบเรื่องได้โดยการจ่ายค่าเสียหายก็ถือว่าดี ข้าไปรวบรวมแต้มการรบมาได้จำนวนหนึ่ง น่าจะเพียงพอ!” เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เกาะ ประมุขสำนักสวีจึงต้องเตือนหวังเป่าเล่ออีกคราด้วยความกังวลฉายอยู่บนแววตา

พวกเขามองเห็นควันดำลอยละล่องขึ้นมาเป็นสายจากเกาะของซุนไห่ เสียงกัมปนาทดังสนั่นดังก้อนออกมาจากจัตุรัสสาธารณะบนเกาะ

หากแค่นั้นก็คงจะไม่เท่าใดนัก แต่ยิ่งพวกเข้าใกล้ขึ้นไปเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงร้องมาจากที่เดียวกับที่ควันดำกำลังพวยพุ่งออกมา

เสียงร้องนั้นมาจากลาของเขานั่นเอง!

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพุ่งตัวนำไปข้างหน้า ประมุขสำนักสวีถอนใจก่อนจะรีบตามติดไป ทั้งครู่มาถึงเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์แล้ว!

เกาะนั้นสั่นสะเทือนทันทีที่พวกเขามาถึง กำแพงแสงปรากฏขึ้นรอบเกาะ สร้างเป็นวงแหวนปราณที่กันไม่ให้คนนอกเข้ามาได้ แต่ทว่า เมื่อวงแหวนปราณนั้นแตะโดนหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เรียกใช้งานปราณของเขาและก้าวออกไปข้างหน้าอย่างดุดัน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น และเขาก็แหวกเข้าไปอยู่ในวงแหวนปราณได้

การบุกรุกนั้นทำให้วงแหวนปราณสั่นคลอน แสงสว่างจ้าหลายดวงปรากฏขึ้นและล้อมพวกเขาเอาไว้ พร้อมกันดึงความสนใจของผู้ฝึกตนจากทั้งเกาะมารวมกัน พวกเขาเงยหน้ามองฟ้าและเห็นหวังเป่าเล่อลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศเหนือจัตุรัสสาธารณะนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อหลุบศีรษะลง มีหม้อหลอมโอสถสูงร่วมสิบเมตรอยู่ตรงกลางจัตุรัส มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนับสิบคนนั่งล้อมอยู่ พวกเขาใช้พลังปราณในการจุดไฟให้หม้อหลอมนี้ เปลวไฟเริ่มทำให้หม้อหลอมร้อนขึ้นทุกที เช่นเดียวกับเสียงร้องไห้ของลาที่ดังขึ้นเรื่อยๆ มาจากในหม้อหลอมนั้นเอง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามใช้ลาเป็นวัตถุดิบการหลอม ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั้งหมด เขาเป็นคนดูน่านับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา ที่ลึกโหลเข้าไปและมีสีสวยงามมหัศจรรย์ มันส่องสว่างเป็นสีแดง ผู้อาวุโสเงยศีรษะขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อมาถึง ก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา

หวังเป่าเล่อเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าลาของเขากำลังถูกหลอม ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าการหลอมนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์ หากว่าความช่วยเหลือมาถึงทันเวลา เจ้าลาก็จะเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นและจะไม่มีบาดแผลที่อยู่ยืนยาวแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องกลืนเอาก้อนความโกรธลงไปก่อนจะต้องมองผู้อาวุโสแล้วพูดว่า

“ข้าน้อยเป่าเล่อ คารวะผู้อาวุโสซุน”

“ชายชราผู้น่าเวทนาผู้นี้ไม่บังอาจกล้ารับคำทักทายจากศิษย์เอกผู้ทรงเกียรติจากสหพันธรัฐหรอก” ซุนไห่พูดอย่างเย็นชา ก่อนจะส่งยิ้มเสแสร้งมาให้ทีหนึ่ง

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มแทบจะคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ทันใดนั้นเอง ประมุขสำนักสวีก็ส่งยิ้มพลางเดินมาเคียงข้างเข้า ก่อนจะพาหวังเป่าเล่อขึ้นบกมาต่อหน้าซุนไห่ ประมุขสำนักยกมือขึ้นคารวะผู้อาวุโส พลางพยายามจะผ่อนคลายสถานการณ์ด้วยความช่างพูดช่างคุย

“ผู้อาวุโสซุน ทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น พวกเรานำสิ่งของเล็กน้อยมามอบให้แก่ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจจากเรา”

ซุนไห่นึกไปถึงของขวัญรายเดือนที่เขาเคยได้รับจากประมุขสำนักสวีแล้วก็เริ่มดูผ่อนคลายลงบ้าง ชายชราเหลือบมองดูหวังเป่าเล่ออย่างรังเกียจ เขาได้เห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อตอนที่อยู่ในการทดสอบและรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด แต่ทว่าเขาก็ยังแน่ใจว่าเขาจะกำราบชายหนุ่มได้อยู่หมัด

จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ซุนไห่จึงไม่ได้ใส่ใจถึงความจริงที่ว่าหวังเป่าเล่อเพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา ที่นี่คือสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่ใช่สหพันธรัฐ ซุนไห่ยิ้มเยาะก่อนจะถาม “สัญลักษณ์แห่งความจริงใจอย่างนั้นหรือ”

หวังเป่าเล่อเป็นคนอามรมณ์ร้อนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังคิดไปถึงคำพูดของประมุขสำนักสวีว่าอาจจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลที่นี่และเขากำลังช่วยอย่างสุดกำลัง คงไม่เหมาะควรนักหากชายหนุ่มจะทำลายความพยายามนั้นเสีย เขาจึงสุดลมหายใจลึก ก่อนจะกลืนเอาความรำคาญใจลงไป และเบนสายตาไปมองซุนไห่ก่อนจะกล่าวออกมาแช่มช้า “ข้ายินดีจะจ่ายหกหมื่นแต้มการรบเป็นค่าเสียหายให้กับท่าน ห้าหมื่นแต้มแรกเป็นค่าหม้อหลอมโอสถที่เสียหายไป และอีกหนึ่งหมื่นเพื่อชดเชยให้กับความไม่สะดวกที่ท่านได้รับ!”

“หกหมื่นอย่างนั้นหรือ” แม้ว่าซุนไห่จะเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ จำนวนนั้นก็ทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน หกหมื่นแต้มการรบไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ไม่ว่าจะสำหรับใครในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้

แต่ทว่า ในบางครั้งนิสัยชั่วร้ายของคนบางคนก็เข้ามาจัดแจงการตัดสินใจของตัวเขาเอง เมื่อต้องมาพบเจอกับคนเช่นนี้ ไม่ว่าจะย่อมอ่อนข้อให้เท่าใดหรือยิ่งแสดงความอ่อนแอ ก็จะยิ่งมีโอกาสสูงที่นอกจากเรื่องจะไม่จบลงแล้ว ยังต้องถูกกลั่นแกล้งเพิ่มขึ้นไปอีก!

ซุนไห่เป็นคนเช่นนั้น เขาแทบเสียอาการ ความโลภเข้าครอบงำความคิด ประมุขสำนักสวีคิดเรื่องนี้มากเกินไป ความจริงแล้วไม่มีเจตนาแฝงใดๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น แต่ทว่า ซุนไห่มองเห็นว่าศัตรูเปิดช่องว่าง เขาหรี่ตาลง จ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา

“ห้าหมื่นแต้มการรบนั้น เจ้าต้องจ่ายแน่นอน แต่ทว่า เจ้าอสูรนั้นช่างไร้ยางอาย ข้าจำเป็นจะต้องสอนบทเรียนให้กับมัน ให้มันรู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ใช่ที่ๆ จะมาเที่ยวเพ่นพ่านได้ตามอำเภอใจ!” ซุนไห่พูดถึงอสูรอยู่ไปมา เหมือนกับว่าจะพูดถึงเจ้าลา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าที่จริงแล้วเขากำลังพูดถึงหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มแทบจะข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่ นัยน์ตาของเขาเริ่มจะลุกโชนด้วยประกายเย็นยะเยือก เขาจ้องมองซุนไห่ก่อนจะถามช้าๆ “อย่างนั้นหรือขอรับ ท่านตั้งใจว่าจะทำอะไรกันหรือ”

ข้างๆ หวังเป่าเล่อนั้น ประมุขสำนักสวีเองก็เริ่มกังวลใจ เพราะดูเหมือนว่า ซุนไห่คนนี้หากไม่ได้กำลังทำตามคำสั่งของใครสักคน ก็จะต้องเป็นผู้ขาดเขลาเหลือประมาณ

“ข้าจะหลอมเจ้าอสูรตนนี้ให้กลายเป็นโอสถโลหิต หากเจ้าต้องการโอสถนั้น ข้าก็จะยอมขายให้ในราคาห้าหมื่นแต้มการรบ” ซุนไห่หรี่ตาลงพลางพยายามซ่อนแววตาโลภโมโทสัน หวังเป่าเล่อคงจะยอมเพิ่มเงินให้และยืนกรานคำเดิมว่าจะขอลากลับไป บางทีประมุขสำนักสวีอาจจะช่วยพูดให้ทั้งคู่ใจเย็นลงและยอมเลิกรากันไปด้วยการชำระหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มการรบแทน

ซุนไห่นั้นวางแผนทุกอย่างเอาไว้ในใจแล้ว แต่ทว่า ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ดำเนินไปตามแผน…หวังเป่าเล่อหัวเราะหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ซุนไห่กล่าวออกมา

ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่กลับเย็นเยียบสุดประมาณ หวังเป่าเล่อหันไปส่งสายตาให้ประมุขสำนักสวี ผู้ที่ขณะนี้มีสีหน้าหม่นหมอง

“สหายร่วมสำนักเต๋าสวี ข้าลองพยายามวิธีของท่านแล้ว แต่มันไม่ได้ผล เมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามวิธีของข้าเอง” หวังเป่าเล่อกล่าว พลังปราณของเขาปะทุขึ้นในบัดดล ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยอยู่บนท้องฟ้า สายลมรุนแรงพัดผ่านเข้ามาในทันใด และรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์!

หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอีกแม้แต่คำเดียว รัศมีในกายเขาปะทุขึ้น ชายหนุ่มทิ้งร่างอวตารเอาไว้ที่ตำแหน่งเดิมของตัวเขาเผื่อเป็นแผนสำรองก่อนจะพุ่งเข้าใส่ซุนไห่ผู้ตกตะลึงทันที!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset