บทที่ 616 คำตอบที่สั่นคลอนวังเต๋าไพศาล!
เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดก็คงจะต้องสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน เทียบได้กับการถูกฟ้าที่ต้องทุกข์ทรมานกับการรับคลื่นกระแทกซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น
หากเมี่ยเลี่ยจื่อตั้งใจจะสังหารพวกเขาแล้ว เพียงเสียงตะโกนครั้งเดียวก็คงจะบดทับพวกเขาจนบี้แบน ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอาจจะไม่ถึงกับตายทันที แต่ทว่าก็การเคลื่อนไหวก็คงจะถูกจำกัด ราวกับว่าวิญญาณถูกผนึกเอาไว้ก็ว่าได้
การโจมตีวิญญาณเช่นนี้เองเป็นพลังที่จำแนกให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าใคร การโจมตีประเภทนี้ช่างยากที่จะต้านทาน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อเองก็ถึงกับหูดับ ศีรษะตื้อตัน วิญญาณของเขาแทบจะปลิดปลิวออกจากร่าง ชายหนุ่มอยากจะโจมตีต่อไปแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เมื่อเขาพยายามจะถอยหนีก็พบว่าขยับไม่ได้เช่นกัน
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตัวสั่นและเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่อาจขยับได้นั่นเอง มีพลังงานอันยิ่งใหญ่สองแหล่งตื่นขึ้นในกายเขา แหล่งหนึ่งมาจากแม่นางน้อย อีกแหล่งหนึ่งนั้น…มาจากฝักกระบี่ของเขาเอง!
อาจเพราะว่าแม่นางน้อยสัมผัสได้ถึงพลังงานจากฝักกระบี่ นางจึงสงบลงทันที ในวินาทีนั้นเอง ฝักกระบี่ก็ปลดปล่อยเอาพลังที่ไม่ได้ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อ แต่กลับหมุนวนอยู่ภายใน แรงกดดันจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสลายไปในทันที!
จิตใจชายหนุ่มเริ่มมั่นคง ความคิดก็ปลอดโปร่งขึ้น ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ขณะที่เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อยังสะท้อนก้องอยู่ในอากาศและศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มจะกลับคืนสู่สภาวะปกตินั้น ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารีบสลับตำแหน่งกับร่างอวตารที่ปล่อยออกมาเมื่อครู่ทันที!
ร่างจริงและร่างอวตารอัสนีสลับตำแหน่งกับอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าทั้งคู่ถูกเคลื่อนย้ายไป ร่างอวตารอัสนีไม่รอช้ารีบเอื้อมมือไปจับศีรษะซุนไห่อีกครั้งทันที หวังเป่าเล่อ ผู้ที่เคลื่อนย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปแล้ว ก็ยังไม่รีรอรีบเรียกเอากระบี่เหาะเหินสามสีออกมาและซัดเข้าไปที่เป้าหมายเดิม…คือซุนไห่!
ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งหวังเป่าเล่อและร่างอวตารจู่โจมใส่พร้อมๆ กัน เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งกำลังรีบร้อนพุ่งเข้ามาใส่ ก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดมาจากกลางอากาศ
เสียงคำรามนั้นสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ มีหัตถ์มายาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งตรงลงมา ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสุดจะต้านทาน ก่อนจะมันจะได้ต่อยซุนไห่ ก็ถูกหัตถ์ขนาดยักษ์นั้นทับไปเสียก่อน!
เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง กระบี่เหาะเหินที่หวังเป่าเล่อซัดออกมานั้นปักทะลุอกซุนไห่ ขณะที่อีกเล่มก็สะบั้นคอเขาขาดกระเด็นไป!
โลหิตกระจายฟุ้งไปทั่ว เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซุนไห่ดังก้องไปทั่ว ผู้อาวุโสทอดทิ้งกายเนื้อของตนในวินาทีสุดท้ายและรอดไปได้ เมี่ยเลี่ยจื่อปรากฎตัวขึ้นบนท้องฟ้า แผ่นดินและสรวงสวรรค์เคลื่อนคล้อย มวลเมฆถอยกลับ ชายชราก้าวไปบนเกาะก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ วิญญาณจุติของซุนไห่ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นคว้าเอาวิญญาณของซุนไห่ไปเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมี่ยเลี่ยจื่อก้มลงมองดูร่างไร้วิญญาณของซุนไห่ ที่หน้าอกมีกระบี่เหาะเหินสามเล่มปักทะลุ อวัยวะภายในถูกหั่นจนเละไม่มีชิ้นดี จากนั้น ชายชราจึงลุกขึ้นและหันไปมองหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ เจ้าคิดจะก่อกบฏต่อต้านสำนักหรืออย่างไร”
หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจเร็วขึ้นนิดหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลัดกลุ้มใจมากนัก เขากลับเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มองไปยังในทิศทางของพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมี่ยเลี่ยจื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฟิ่งชิวหรัน หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการทดสอบแล้ว ชายชราก็คงฉวยโอกาสนี้สังหารหวังเป่าเล่อได้เลย
แต่ทว่า เขาได้มองเห็นความสามารถของหวังเป่าเล่อในระหว่างการทดสอบด้วยตาตนเอง และรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นรับสืบทอดวิชามาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น นับได้ว่าชายหนุ่มเองก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาลในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้มาจากสำนักโดยตรงหากแต่มาจากสหพันธรัฐก็เท่านั้น เมี่ยเลี่ยจื่อจึงจำเป็นต้องยั้งมือไว้ก่อน
เฟิ่งชิวหรันมาถึง นางถึงกับนิ่งงันไปเมื่อมองเห็นศพของซุนไห่ ในที่สุด นางก็ตัดสินใจเข้าข้างหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อแล้วพูดช้าๆ “เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้าควรระมัดระวังกับการพูดคำว่า ‘กบฏ’ ให้มากกว่านี้!”
“ข้าหรือที่ต้องระมัดระวัง ข้าสั่งให้เขาหยุดแล้ว แต่เขาก็ยังทำตามอำเภอใจอยู่นั่นเอง แถมยังทำกริยาเหี้ยมโหดทารุณสังหารเพื่อนร่วมสำนักด้วยกันเอง หากนี่ไม่ใช่การกบฏ แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอย่างไรเล่า” มีความเด็ดเดี่ยวอยู่ในสายตาเย็นเยียบที่เมี่ยเลี่ยจื่อส่งไปให้หวังเป่าเล่อ
เฟิ่งชิวหรันนิ่งงันไป นางมาถึงสถานที่ช้าเกินไปและไม่รู้เรื่องทั้งหมด นางหันไปมองประมุขสำนักสวี ประมุขสำนักกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน ชายหนุ่มฉีกยิ้มก่อนจะกล่าว
“ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ ท่านเห็นข้าสังหารซุนไห่เท่านั้น ท่านจะไม่ถามซุนไห่สักหน่อยหรือว่าเขาได้ทำสิ่งใดกับข้าไว้บ้าง” หวังเป่าเล่อพูด ก่อนจะยกมือชี้ไปทางหม้อหลอมโอสถ
“ขณะนี้แล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์เฉพาะตัวของข้ากำลังถูกต้มทั้งเป็นอยู่ในหม้อหลอม ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจาอย่างสันติ ข้าได้เสนอจะจ่ายค่าชดเชยราวหนึ่งแสนแต้มการรบให้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ซุนไห่ก็ยังไม่ยอมประนีประนอม เขาโลภโมโทสันอยากจะได้แต้มการรบของข้า ก็ไม่เป็นไร เขายังเรียกข้าว่าอสูรอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ข้าก็ไม่ปริปากบ่น เขายั่วยุจนข้าแทบจะหมดความอดทน แล้วสุดท้าย ก็ยังยืนยันจะหลอมอสูรของข้าเป็นโอสถโลหิตอยู่นั่นเอง!” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของหวังเป่าเล่อก้องกังวาล เมี่ยเลี่ยจื่อเบะปาก
ชายชราเองก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจนนัก แต่ทว่าเมื่อเห็นศีรษะที่หลุบต่ำของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในรอบๆ และรู้สึกถึงสัญญาณชีวิตที่อยู่ในหม้อหลอม ทุกๆ อย่างก็เริ่มจะชัดเจนขึ้น และแม้หากหวังเป่าเล่อจะแต่งเติมเรื่องเพิ่มไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังพูดความจริง
แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาหรือตามหาความจริง เขาไม่ได้สนใจว่าหวังเป่าเล่อเพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา ชายชราเชื่อว่าหวังเป่าเล่อคงไปถึงได้เพียงระดับศิษย์สืบทอดเท่านั้น หรือต่อให้ระดับศิษย์ของเขาจะสูงกว่าของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่พลังปราณเขาก็ยังไม่อาจจะเทียบได้ อันที่จริงแล้ว เป็นไปได้ด้วยว่า หวังเป่าเล่อไม่ได้รับกระทั่งระดับศิษย์สืบทอด แต่ไปถึงแต่ระดับศิษย์สำนักในเท่านั้น
หากเขาไปไม่ถึงระดับศิษย์เอกแล้วละก็…เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะพูดอยากเยือกเย็น “ข้าสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ไม่สนใจเหตุ หวังเป่าเล่อล่วงเกินผู้อาวุโส เฟิ่งชิวหรัน ท่านคุ้มครองเขาไม่ได้หรอก พวกเราต้องเลือกว่าจะยึดตามกฎของสำนักหรือไล่เขาออก ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็อยากฟังคำตอบของท่านก่อนสิ้นวันนี้!”
ลักษณะนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเมี่ยเลี่ยจื่อแสดงออกมาชัดเจนเมื่อเขาพูดประโยคนั้น เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้ว นางเริ่มคิดหาทางคลี่คลายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ข้างกายนางนั้น ประมุขสำนักสวีแอบลองมองหวังเป่าเล่ออย่างครุ่นคิด เขาไม่เหมือนกับเฟิ่งชิวหรัน เขาเชื่อว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนที่จะไม่รู้กาลเทศะ สำหรับใครสักคนที่ไต่เต้าผ่านระดับต่างของสหพันธรัฐมา ตั้งแต่เป็นศิษย์ธรรมดาๆ กระทั่งได้มาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ไม่มีทำผิดพลาดง่ายๆ เช่นนี้แน่
ความเป็นจริงนั้นไม่ไกลไปจากการคาดการณ์ของประมุขสำนักสวีสักเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อมีเหตุผลสนับสนุนการกระทำชัดเจน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเมี่ยเลี่ยจื่อ ชายหนุ่มก็หรี่ตาและเชิดคางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์ แต่ไม่สนใจเหตุผลงั้นหรือ ข้าไม่ขัดข้องกับหลักการนั้นเลย…” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็เปิดกำไลคลังเก็บขึ้น ก่อนจะหยิบเอาตราประจำตัวศิษย์สีม่วงเข้มออกมา และปล่อยพลังปราณให้หลั่งไหลเข้าในตราประจำตัวนั้น
ทันใดนั้นเอง ตราประจำตัวส่องสว่างขึ้นด้วยเป็นสีม่วงเข้ม แสงนั้นส่องสะท้อนขึ้นไปไกลถึงสรวงสวรรค์ แปรเปลี่ยนให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีม่วงเข้มในบัดดล ท้องฟ้าเปลี่ยนสี หมู่เมฆก็พลันเคลื่อนถอยหลัง ต้นไฮยาซินโบราณบนเกาะหลักก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง!
ทุกๆ คนตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันก็มีสีหน้าที่ยากจะบรรยาย ความเปลี่ยนแปลงที่ตราประจำตัวของหวังเป่าเล่อสร้างขึ้นไม่จบเพียงเท่านั้น วงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้น เครือข่ายอันกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมทั้งสวรรค์และปฐพีนั้นปรากฏชัดแก่สายตาก่อนจะเริ่มสั่นไหว ราวกับว่าจะสะท้อนปราณกังวาลจากตราประจำตัวของชายหนุ่มก็ไม่ปาน!
ทั้งต้นไฮยาซิน วงแหวนปราณของสำนัก และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเรียกความสนใจของทุกคนมารวมกันที่หวังเป่าเล่อในทันที ราวกับว่า…ชายหนุ่มสามารถจะยึดครองวงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างใจนึก อาจจะกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อได้ยึดเอาสิทธิที่เคยเป็นของเฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนและกลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสำนักวังเต๋าไพศาลไปเสียแล้ว!
กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังได้รับผลจากการกระทำนี้ ทะเลเพลิงเดือดปะทุขึ้นรอบกายพวกเขา ส่งเสียงคำรามที่ทำให้ศิษย์ทุกคนพากันหวาดกลัว ท้องฟ้าเองก็ดูราวกับว่าจะถล่มลงมา ตัวตนที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาทุกคนช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง!
“สิ่งนี้มัน…”
“เกิดอะไรขึ้นแน่”
บนเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์และเกาะหลักแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล มีเสียงตะโกนร้องด้วยความตกตะลึงดังพร้อมกันทั่วไปหมด มีเงาร่างหลายร่างพุ่งออกมาจากเกาะหลัก บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเอง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังจุดกำเนิดของแสงสีม่วงอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่เกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นของอารมณ์หลากหลายถาโถมพลางลากเอาพวกเขาให้จมดิ่งลงไป สายตาของพวกเขาไม่อาจจะมองเห็นสิ่งอื่นใดนอกไปจาก…ตราประจำตัวศิษย์สีม่วง!
“ศิษย์อุป…อุปถัมภ์!” เมี่ยเลี่ยจื่อกล่าวออกมาอย่างยากเย็น ก่อนจะขยับปากพึมพำกับตนเองราวกับตกอยู่ในภวังค์