“สำนักแห่งความมืดเช่นนั้นหรือ” จินตั้วหมิงตัวแข็ง เป็นครั้งแรกที่เขาเคยได้ยินชื่อนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเจ้าผินฟางไม่ได้กำลังพูดถึงสายตระกูลจากบนโลก สำนักแห่งความมืดต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสุสานอาวุธเทพใต้ดินอย่างแน่นอน จากการคาดคะเนของจินตั้วหมิง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักแห่งความมืดต้องเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเป็นแน่!
ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวของจินตั้วหมิง ชายหนุ่มไม่ได้สังเกตว่านัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า “สำนักแห่งความมืด” ฝ่ายนั้นมีอารมณ์พุ่งพล่านอยู่ในใจ เขาไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่าเจ้าผินฟางจะล่วงรู้เรื่องสำนักแห่งความมืดเช่นกัน!
แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคุมตัวเองได้ดี เขาเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าฉงนอย่างแนบเนียน
“สำนักแห่งความมืดหรือ”
เจ้าผินฟางไม่ได้ใส่ใจจินตั้วหมิงหรือหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย คำพูดที่ออกจากปากเขาอาจฟังดูเหมือนเป็นคำถาม แต่แท้ที่จริงแล้วเขากำลังพูดกับตนเองอยู่ เจ้าผินฟางไม่เชื่อว่าหวังเป่าเล่อหรือจินตั้วหมิงจะรู้เรื่องสำนักแห่งความมืด เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นสายตระกูลลึกลับที่สืบทอดมาแต่โบราณ ขนาดตัวเขาเอง ผู้ซึ่งใช้เวลาไปหลายปีในการค้นคว้าหาข้อมูลก็ยังพบหลักฐานเพียงไม่กี่ชิ้น ทั้งๆ ที่ศึกษาสุสานอาวุธเทพใต้ดินและประวัติศาสตร์ของกระบี่สำริดเขียวโบราณที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนแล้วก็ตามที
“สำนักแห่งความมืด…เมื่อครั้งรุ่งเรืองสูงสุดนั้น มีอำนาจเหนือวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด ปกปักษ์พิทักษ์วิญญาณทั่วทั้งจักรวาล…อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งความตายของจักรวาลนี้!”
“อันที่จริง ข้าคิดว่ามีอีกชื่อหนึ่งที่อาจจะเหมาะกว่า…คือชื่อเต๋าสวรรค์!
“พวกเขาอาจจะเป็นเต๋าสวรรค์ หรืออาจจะเป็นเพียงกายเนื้อของเต๋าสวรรค์ หรือบางทีก็อาจจะเป็นเทวทูตของเต๋าสวรรค์ ผู้ซึ่งมีหน้าที่ปกปักษ์รักษากฎเกณฑ์ของจักรวาลก็เป็นได้!”
“จากบันทึกที่เราพบในชิ้นส่วนกระบี่ บ้างเชื่อกันว่าสำนักแห่งความมืดเป็นเพียงเรื่องเล่า เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ทว่ายิ่งเราพบชิ้นส่วนกระบี่มากขึ้นเท่าใด รวมถึงการค้นพบวัตถุเวทแห่งความมืด ก็มีหลักฐานยืนยันเพียงพอที่จะบอกได้ว่าสำนักแห่งความมืดนั้นมีอยู่จริง ไม่เพียงเท่านั้น…ในช่วงเวลาที่สำนักดำรงอยู่ จุดรุ่งเรืองสูงสุดของสำนักยิ่งใหญ่เกินจิตนาการของคนรุ่นหลังไปไกลนัก!” เจ้าผินฟางพูดด้วยสายตาที่ทอประกายแห่งความเทินทูน เขาพูดรัวเร็ว น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยสำเนียงแห่งความมุ่งหวัง การรอคอย และความเคารพ
“เจ้าลองจินตนาการดูสิ สมาชิกสำนักแห่งความมืดรอนแรมไปทั่วจักรวาล ที่ใดมีความตาย ที่นั่นก็มีคนจากสำนักแห่งความมืดคอยนำทาง…ภาพสลักบนกำแพงนี้เป็นรูปหนึ่งในสมาชิกสำนัก กำลังนำดวงวิญญาณของผู้ตายเดินทางออกจากดวงดาวที่กำลังแตกดับ…
“โชคไม่ดีนัก…ที่ข้าไม่อาจแกะข้อมูลจากเอกสารจำนวนหยิบมือที่พบได้มากเท่าใดนัก…เมื่อนานแสนนานมาแล้ว สมาชิกจากสำนักแห่งความมืดผู้นี้…หายตัวไป เขาอาจจะตาย หรืออาจเพียงเลือกเดินจากไป แต่จะอย่างไรก็ตามแต่ เขาไม่มีตัวตนอีกต่อไป”
“แม้ว่าสำนักแห่งความมืดจะไม่มีอยู่แล้ว…สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้เบื้องหลังก็ยังคงอยู่ อาวุธเทพบนดาวอังคารนั้นไม่ใช่อาวุธเทพธรรมดา จากการวิเคราะห์ของข้า มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นวัตถุเวทแห่งความมืดที่สำนักแห่งความมืดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง!” เจ้าผินฟางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าเกลื่อนดาวรายรอบตัวพวกเขาก็หายวับกลับเป็นผนังถ้ำตามเดิม ชายในชุดคลุมสีดำและเรือบนภาพสลักบนผนังถ้ำก็อันตรธานไปพร้อมๆ กัน ทุกสิ่งกลับสู่ภาวะปกติ
ทั้งจินตั้วหมิงและหวังเป่าเล่อต่างก็หายใจหอบถี่ หัวใจเต้นรัวเร็ว สำหรับจินตั้วหมิง สำนักแห่งความมืดฟังดูเหมือนนิทานปรัมปราเท่านั้น ทว่านิทานเรื่องนี้กลับเกี่ยวข้องโดยตรงกับสุสานอาวุธเทพใต้ดินที่อยู่ใต้นครใหม่ ราวกับว่าอดีตกาลอันยาวนานและปัจจุบันได้มาบรรจบกันและซ้อนทับกันอยู่กระนั้น นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายสว่างอย่างประหลาด ความชื่นชมยินดีและความถวิลหาช่วงเวลาในอดีตกาลที่เป็นของสำนักแห่งความมืดก่อตัวขึ้นในใจ
ชายหนุ่มปรารถนาที่จะมีพลังอำนาจมหาศาลซึ่งควบคุมได้กระทั่งความตายและการเวียนว่ายตายเกิดบ้าง
หวังเป่าเล่อดูตื่นตกใจไม่แพ้กัน ทว่าความตื่นตกใจที่เขารู้สึกในใจนั้นเกินกว่าที่แสดงออกทางสีหน้าไปมากนัก เพราะตัวเขาเองรู้เรื่องสำนักแห่งความมืดอยู่ก่อนแล้ว และยังฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดอยู่ด้วย บางครั้งชายหนุ่มยังรู้สึกราวกับว่าตัวเขาเองมีความเกี่ยวข้องกับคนจากสำนักแห่งความมืดเสียด้วยซ้ำ
หวังเป่าเล่อยิ่งตกใจเมื่อมาได้ยินเรื่องราวของสำนักแห่งความมืดในสถานะนี้ แม่นางน้อยเองแม้จะเคยเล่าเรื่องนี้บ้างแต่ก็ไม่เคยลงรายละเอียดถึงเพียงนี้
คำพูดของเจ้าผินฟางราวกับเปิดประตูให้หวังเป่าเล่อ ไปสู่ความเข้าใจอันยิ่งใหญ่ครั้งใหม่เกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด ชายหนุ่มเข้าใจสำนักแห่งความมืดลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ความต้องการของเขาต่างออกไปจากของจินตั้วหมิง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากเขาฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสุดยอดของเคล็ดเวทนั้น เขาก็อาจสามารถ…เดินทางท่องไปในจักรวาลได้เช่นกัน
ความคิดนี้ทำให้หัวใจหวังเป่าเล่อเต้นแรง หอบหายใจแรงขึ้น เขาหันกลับไปสบตาจินตั้วหมิง ก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปมองเจ้าผินฟาง
เจ้าผินฟางสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาหันมา สายตาจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มทั้งสอง ดูเหมือนอยากพูดเรื่องสำนักแห่งความมืดต่อ ทว่าแหวนสื่อสารของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าผินฟางก้มลงมองแล้วแล้วขมวดคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจจบบทสนทนาและรีบรุดออกไปในทันที
แต่ก่อนที่จะไป เขาเรียกร่างมายาสาวออกมา และให้นางพาทั้งจินตั้วหมิงและหวังเป่าเล่อไปดูห้องทดลองอีกสามห้อง แถมยังอนุมัติการก่อสร้างสถาบันวิจัยขึ้นในนครใหม่อีกด้วย
“ข้าอนุญาตให้สร้างสถาบันวิจัยได้ แต่เจ้าจงจำเอาไว้เสมอว่า สุสานอาวุธเทพใต้ดินนั้นเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืด จงระมัดระวังตัวอยู่ตลอด วันหนึ่งเมื่อกำแพงสลายไป พวกเราอาจจะได้รู้เสี้ยวหนึ่งของปริศนาอันลึกลับที่สำนักแห่งความมืดปกปิดเอาไว้มาเป็นเวลานาน!” หลังจากที่พูดจบ เจ้าผินฟางก็หันหลังกำลังจะเดินออกไป มีความวิตกกังวลอยู่ในสายตา ข้อความบนแหวนสื่อสารนั้นต้องสำคัญกับเขาเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาก็หยุดเดินเมื่อไปถึงประตูทางเข้าของห้องทดลองหมายเลขสาม ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่อและเอ่ยปากว่า
“หวังเป่าเล่อ ลดขนมและออกกำลังกายให้มากกว่านี้เสียหน่อย เจ้าเป็นถึงขุนนางระดับสามชั้นสูงและเป็นเจ้าเมือง เไม่ควรกินขนมมากถึงเพียงนี้ ดูไม่ควรเอาเสียเลย เจ้าควรหมั่นฝึกปราณให้มากเช่นกันและบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!” เขาจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกชั่วอึดใจ ก่อนจะจากไป
หวังเป่าเล่องุนงงเล็กน้อย เขาคิดว่าประโยคสุดท้ายที่เจ้าผินฟางพูดก่อนจะจากกันนั้นแปลกอยู่ไม่น้อย
ทำไมเขาถึงพูดจาเหมือนเป็นบิดาข้านักทั้งที่ก็ไม่ใช่! อีกอย่างข้าเองก็ผอมเพรียวหุ่นดีอยู่แล้ว จะต้องลดน้ำหนักไปเพื่อสิ่งใดกัน
ด้วยหัวใจที่สงสัยและหนักอึ้ง ทั้งหวังเป่าเล่อและจินตั้วหมิงก็เดินตามร่างมายาสาวไปชมห้องทดลองอีกสามห้อง แต่ห้องทดลองทั้งสามนี้ดูเหมือนเน้นไปที่การทำวิจัยและการทดลอง จนทั้งสองดูไม่ค่อยเข้าใจนัก อีกอย่างชายหนุ่มทั้งสองยังคงสับสนกับเรื่องราวของสำนักแห่งความมืดที่พวกเขาได้รับรู้มา จึงไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจการเดินชมห้องทดลองทั้งสามแม้แต่น้อย ในที่สุดร่างมายาสาวก็พาพวกเขาออกมาจากศูนย์วิจัย
เมื่อพวกเขาเข้ามาในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแล้วหวังเป่าเล่อจึงค่อยสงบจิตใจลงได้บ้าง ชายหนุ่มหันไปมองร่างมายาสาวผู้ซึ่งดูเหมือนแม่นางน้อยไม่ผิดเพี้ยน ก่อนจะหันไปมองศูนย์วิจัยที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งดูเหมือนจะซ่อนความลับเอาไว้นับไม่ถ้วน เขารู้สึกได้ว่า…สหพันธรัฐต้องซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้ที่นี่อย่างแน่นอน!
บางทีอาจจะมีผู้อยู่ในขั้นกำเนิดวิญญาณอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ได้ หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่คนเดียว ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายตำแหน่งไปพร้อมจินตั้วหมิง ความรู้สึกสงสัยยังคงพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
เมื่อทั้งคู่มาปรากฏตัวที่นครหลักดาวอังคารอีกครั้ง พวกเขาก็ปล่อยลมหายใจออกมาพร้อมกัน ทั้งคู่ไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่ในเมืองนาน พากันขึ้นเรือบินและมุ่งหน้ากลับนครใหม่ในทันที
จินตั้วหมิงพึงพอใจกับการไปเยือนครั้งนี้อย่างยิ่ง เขาได้รู้ข้อมูลลับหลายประการ แถมสิ่งสำคัญที่สุดคือคำขอเรื่องการก่อสร้างศูนย์วิจัยของพวกเขาได้รับการอนุมัติ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการที่เขาตัดสินใจพาหวังเป่าเล่อไปด้วยนั้นเป็นการเดินหมากที่ชาญฉลาดยิ่ง
จินตั้วหมิงไม่เคยบอกเรื่องนี้กับหวังเป่าเล่อ แต่เขาได้เคยขอเข้าพบเจ้าผินฟางมาก่อนหน้านี้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมมาพบ เป็นเหตุให้จินตั้วหมิงกลับมานอนครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อเขาส่งคำขอไปอีกครั้งจึงต้องใช้ชื่อหวังเป่าเล่อบังหน้า
รอบนี้เจ้าผินฟางจึงยอมให้เข้าพบได้
จินตั้วหมิงเตรียมการไว้มากมายหลังจากที่คำขอของพวกเขาบรรลุผล เขาคาดการณ์ไว้กระทั่งว่า หวังเป่าเล่ออาจก่อเหตุน่าอับอายต่อหน้าเจ้าผินฟาง หากเกินเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น เขาคงต้องก้าวเข้ามาแก้สถานการณ์ ปรมาจารย์เจ้าดูไม่ใช่คนประเภทที่จะเหยียบซ้ำคนล้ม
แต่ปรมาจารย์เจ้าเพียงวิเคราะห์ผ่านการจ้องมองเท่านั้น ไม่ได้ทำการอื่นใด…บางทีเขาอาจจะคิดว่าหวังเป่าเล่อไม่เลวนักก็ได้ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ทำไมเขาจึงยอมบอกความลับพวกเรามากมาย แถมยังช่วยหวังเป่าเล่อให้เข้าใจการหลอมอาวุธเวทมากขึ้นอย่างอ้อมๆ อีก…แม้จินตั้วหมิงมีคำถามมากมายในใจ แต่ก็ยังรู้สึกพึงพอใจกับข้อมูลที่ได้มา
ฝ่ายหวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าได้ข้อมูลมามากเช่นเดียวกัน เขาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของสำนักแห่งความมืด แถมยังได้เรียนรู้ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างอย่างทะลุปรุโปร่ง
ประวัติศาสตร์นั้นขยายขอบเขตความรู้ของหวังเป่าเล่อ ในขณะที่ทักษะการหลอมสวรรค์สร้างช่วยเพิ่มพูนทักษะของเขาซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาการหลอมอาวุธเวทอยู่
แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าสายตาที่เจ้าผินฟางจ้องมองเขาและคำพูดสุดท้ายนั้นออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย เขายังคิดไปถึงการที่จินตั้วหมิงชวนให้เขาไปด้วย หวังเป่าเล่อรู้สึกตงิดใจว่าจินตั้วหมิงใช้ประโยชน์จากตัวเขาในการเข้าพบเจ้าผินฟางและเพื่อการได้รับอนุมัติคำร้องอีกด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกคิ้วขึ้น พลางเอื้อมมือไปแตะบ่าจินตั้วหมิงเบาๆ เป็นเชิงเรียก ก่อนพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
“ลูกพี่จิน เจ้ารู้ไหมว่าช่วงนี้ข้ากำลังหัดหลอมอาวุธเวทอยู่ แต่ว่ามีตัวอย่างอาวุธเวทไม่เพียงพอ ข้าจะขอยืมจากเจ้าสักห้าสิบชิ้นจะได้หรือไม่”
จินตั้วหมิงผู้ซึ่งกำลังอารมณ์ดี ตอบปฏิเสธอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ
“เจ้าคิดจะปล้นข้าหรืออย่างไร ข้าดูเหมือนคนที่ถือครองอาวุธเวทไว้มากมายเพียงนั้นเชียวหรือ ไม่มีทาง!”
“จริงหรือ ที่จริงแล้วข้าคิดว่าเราไม่มีความจำเป็นต้องตั้งศูนย์วิจัยที่นครใหม่เลย แถมข้ายังคิดว่าปรมาจารย์เจ้าเองดูจะเข้าใจข้าผิดไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าค่อยไปคุยกับท่านเจ้านครว่าเราจะระงับโครงการศูนย์วิจัย” หวังเป่าเล่อพูดเนิบๆ พลางยิ้มเยาะอยู่ภายใน ชายหนุ่มคิดถึงการที่จินตั้วหมิงวางแผนยืมความโด่งดังของเขาเพื่อให้ได้ทำโครงการที่ตนต้องการ แล้วทำไมเขาจะต้องยอมโอนอ่อนหากไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันเล่า
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ จินตั้วหมิงก็ยิ้มแหยๆ ออกมาในทันที ชายหนุ่มเพิ่งรู้สึกตัวว่าหวังเป่าเล่อกำลังแสดงความไม่พอใจ ฝ่ายนั้นต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เช่นกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
“ข้าให้เจ้าชิ้นหนึ่งก็ได้ ข้าสาบาน…ข้ามีอาวุธเวทอยู่กับตัวเพียงสองชิ้นเท่านั้น ตระกูลมอบให้ข้ามาเพียงเท่านี้ ข้าให้เจ้ายืมได้เพียงชิ้นเดียว!”
“เจ้าจะให้ข้ายืมชิ้นหนึ่งเชียวหรือ อาจจะไม่เป็นการเหมาะควรเท่าใดนักกระมัง อาวุธเวทยิ่งมีราคาแพงอยู่ แต่เอาเถอะเห็นแก่ความจริงใจของเจ้า ข้าจะขอรับไว้ก็แล้วกัน ไม่อยากให้เจ้าเสียน้ำใจ ข้ายอมรับของกำนัลนี้ไว้ก็ได้ แต่ครั้งเดียวพอนะ” หวังเป่าเล่อตบพุงและยักไหล่ พลางแสดงความไม่สบอารมณ์ออกมาทางสีหน้า
จินตั้วหมิงแทบจะเสียสติ เขาบอกว่าจะให้ยืม ไม่ใช่ให้เป็นของกำนัล…นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสความไร้ยางอายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่อาจทำใจยอมเสียอาวุธเวทไปได้ แต่ก็รู้ดีว่าหากหวังเป่าเล่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เขาจะทำสิ่งชั่วร้ายเช่นการส่งข้อความเสียงไปหาเจ้านคร จินตั้วหมิงขอบคุณสวรรค์ที่หวังเป่าเล่อไม่รู้ความจริง หาไม่แล้วเขาจะต้องร้องขอมากมายกว่านี้เป็นแน่…ชายหนุ่มกัดกรามแน่น
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก!”