หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 620 เชื้อสายแห่งสหพันธรัฐ!

บทที่ 620 เชื้อสายแห่งสหพันธรัฐ!
ภาพเหล่านั้นฉายชัดขึ้นมาในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชายหนุ่มได้กลายเป็นต้นไฮยาซินไปในชั่วอึดใจและกำลังมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นด้วยตนเองอยู่กระนั้น!

คลื่นอารมณ์มากมายถาโถมอยู่ภายในใจหวังเป่าเล่อขณะที่เขาฟังถ้อยคำของเฟิ่งชิวหรัน ชายหนุ่มหายใจไปชั่วขณะ เขาจ้องมองไปยังเด็กทารกในอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรัน และมีเพียงชื่อเดียวอยู่ในใจ อู๋เฉิน!

ภาพนั้นเริ่มเลือนลางลง จากนั้นหวังเป่าเล่อมองเห็นผลไม้สุกลูกหนึ่งอยู่บนต้นไฮยาซิน มันร่วงหล่นลงมาตรงหน้าเฟิ่งชิวหรัน นางหยิบผลไม้นั้นขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับทารกกิน ผลไม้ละลายก่อนจะสลายหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เด็กน้อยดูดกินมันอย่างหิวกระหาย

เฟิ่งชิวหรันโน้มตัวลงคำนับอีกครั้งก่อนจาก ภาพสุดท้ายคือภาพของเฟิ่งชิวหรันที่กำลังเดินถอยห่างออกมา และภาพนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป หวังเป่าเล่อตัวสั่นอีกครั้ง ราวกับว่าเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นจากการท่องไปในถนนความทรงจำของต้นไฮยาซิน ดวงตาเขาเปิดชัดขึ้นอีกครั้ง เขากลับมาแล้ว มายืนอยู่บนยอดเขา ต่อหน้าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลนับล้านที่จับจ้องมองอยู่

หวังเป่าเล่อเงียบงันอยู่นาน ชายหนุ่มต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสร่างจากอาการตื่นตะลึง เขายืนตัวขึ้นตรง หันหลังกลับไป และจ้องมองไปยังผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม พวกเขาดูนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุปว่า บางที…เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่เคยเข้าไปถึงความทรงจำของต้นไฮยาซินในระหว่างที่ปราณกังวานเชื่อมเขาเข้ากับต้นไม้ยักษ์ก็เป็นได้ ด้วยเหตุที่เขาเป็นศิษย์อุปถัมภ์ ในขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคนเป็นเพียงศิษย์สำนักในเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจจะเข้าถึงปราณกังวานที่แข็งแรงระดับเดียวกันกับชายหนุ่มได้ โอกาสที่พวกเขาจะเคยได้เห็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเห็นมานั้นมีต่ำมาก

แปลว่าเฟิ่งชิวหรันอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงและตำแหน่งที่อยู่ของทารกคนนั้น แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อก็รู้แล้วเช่นกัน

หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่า ศิษย์แห่งเต๋าอู๋เฉินมาปรากฏอยู่ในอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรันได้อย่างไร และนางอธิบายเรื่องนี้อย่างไร สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือผู้นำแห่งสหพันธรัฐคนก่อนหลี่ซิงเหวินเดินทางออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณกลับสู่สหพันธรัฐพร้อมกับทารกน้อยอยู่ในอ้อมแขน

หวังเป่าเล่อตัดสินใจกับตนเองว่าจะวางเรื่องดังกล่าวเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบรรดาผู้ฝึกตนแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลตรงหน้าเขา พวกเขาต่างเฝ้ามองดูขณะที่หวังเป่าเล่อเดินไปทางผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม ยกมือขึ้นประสานกัน ก่อนจะก้มโค้งคำนับต่ำ

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม”

เฟิ่งชิวหรันยิ้ม นางทักทายตอบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็โค้งตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยกมือประสานตอบการคำนับเช่นกัน

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดหวังเป่าเล่อ!”

พวกเขายืนอยู่ข้างเคียงกันบนยอดเขานั้น การทักมายกันครั้งนี้ติดตรึงอยู่ในชั่วขณะนั้นและฝังลึกเข้าไปในความทรงจำของสานุศิษย์ที่รายล้อมอยู่ พวกเขาต่างก็เริ่มทำการคารวะตามมาในชั่วอึดใจ!

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดหวังเป่าเล่อ!”

เสียงของพวกเขาดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า สะท้อนเป็นคลื่นกระจายผ่านท้องฟ้าไปไกลแสนไกล ระฆังแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มตีเป็นเสียงก้อง พิธีการแต่งตั้งมาถึงจุดสิ้นสุด

ต่อแต่นี้เป็นต้นไป สำนักวังเต๋าไพศาลก็ไม่ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายอีกต่อไป เพราะพวกเขาได้มีผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่!

ศิษย์จากสหพันธรัฐเป็นกลุ่มที่ทำการคารวะอย่างตื่นเต้นและเสียงดังที่สุด ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ส่งยิ้มและพยักหน้าให้กันอยู่ไปมา เฟิ่งชิวหรันเป็นตัวแทนสำนักและประกาศเรื่องความเปลี่ยนแปลงและการเลื่อนตำแหน่งต่างๆ!

เกาะเพลิงเขียวจะกลายเป็นเกาะส่วนตัวของหวังเป่าเล่อ เกาะใหญ่อีกนับสิบเกาะรอบๆ สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะไปอยู่ใต้การปกครองของเขาอีกด้วย วังหลังที่สี่สำหรับผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก็จะถูกก่อสร้างขึ้นบนเกาะหลัก

วังนั้นจะเป็นสถานที่สำหรับให้หวังเป่าเล่อฝึกปราณ ทั้งขนาดและรูปแบบการก่อสร้างก็จะยึดถือตามมาตรฐานสูงสุดของสำนัก สำนักวังเต๋าไพศาลจะเป็นผู้หาวัตถุดิบในการก่อสร้างเองทั้งหมด

ยังมีเรื่องบรรณาการอีก หวังเป่าเล่อจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆ และจะได้รับสิทธิการลงคะแนนเสียงเรื่องทิศทางการพัฒนาสำนักอีกด้วย ชายหนุ่มจะได้รับมอบหมายหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นกัน

หวังเป่าเล่อจะได้รับสิทธิการเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ อีกด้วย ขณะนี้ อย่างน้อยๆ ก็ในนาม หวังเป่าเล่อได้กลายมาเป็นหนึ่งในสี่ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเรียบร้อยแล้ว!

ไม่มีใครคาดคิดเรื่องนี้มาก่อน ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าในระยะเวลาเพียงสองปี หวังเป่าเล่อจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากคนนอกกลายเป็นผู้ที่กุมอำนาจใหญ่หลวงในสำนักได้

อันที่จริงแล้ว หากหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นปราณไปสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาอาจจะกลายมาเป็นผู้คุมอำนาจหนึ่งเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ก็เป็นได้!

เฟิ่งชิวหรันประกาศจบเรียบร้อย และพิธีการแต่งตั้งก็สิ้นสุดลง ทุกๆ คนเฝ้ามองขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ เฟิ่งชิวหรันยิ้มออกมาและส่งแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้หวังเป่าเล่อ

“ผู้อาวุโสหวัง ต่อไปคือการมอบตำแหน่งใหม่ ข้าให้ท่านประกาศก็แล้วกัน หากท่านต้องการจะเปลี่ยนอะไร ก็ขอให้หยุดการประกาศตรงนั้นเอาไว้ก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงกันทีหลัง”

หวังเป่าเล่อมองไปทางเฟิ่งชิวหรัน แล้วความทรงจำของต้นไฮยาซินก็ซ้อนทับขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วจึงรับแผ่นหยกมาจากนาง หลังจากที่อ่านเนื้อความด้านใน เขาก็ยกศีรษะขึ้นจ้องมองนางอย่างตกใจ

เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างเงียบเชียบขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็มีท่าทีปกติธรรมดา แต่นัยน์ตาฉายแววให้กำลังใจ

สายตาของหวังเป่าเล่อกวาดผ่านผู้อาวุโสทั้งสามก่อนจะหันไปมองที่บรรดาศิษย์รอบกาย หลังจากที่เงียบอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็เปิดปากขึ้น เสียงของเขาดังกังวานใสไปทั่ว

“กงเต๋า ก้าวออกมา!”

กงเต๋า ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ นิ่งงันไป ก่อนจะรีบรุดพุ่งตัวออกมา แล้วประสานมือทักทายหวังเป่าเล่อ

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”

“ข้าขอแต่งตั้งกงเต๋าเป็นผู้อาวุโสรักษาการ และจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสทันทีที่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ!”

กงเต๋าตัวสั่น ก่อนจะรีบเปล่งเสียงขอบคุณทันที เขารู้ดีว่าผู้ฝึกตนในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นจึงจะได้เป็นผู้อาวุโสในสำนักวังเต๋าไพศาล ส่วนผู้ที่ไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณก็จะได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุด…

สิทธิพิเศษต่างๆ ที่ผู้อาวุโสได้รับนั้นแตกต่างกับศิษย์ธรรมดาๆ อย่างเทียบไม่ติด แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสรักษาการ แต่กงเต๋าเองก็สามารถจะได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่ากับผู้อาวุโสคนอื่นๆ แม้จะไม่ใช่การรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดแต่ก็ยังถือเป็นก้าวอันยิ่งใหญ่สำหรับตัวเขา

“เจ้าเยี่ยเหมิง ก้าวออกมา!” หวังเป่าเล่อยังประกาศไม่จบ เขาเรียกชื่อเพื่อนอีกคนหนึ่งหลังจากที่กงเต๋าถอยหลังไปแล้ว

เจ้าเยี่ยเหมิงเมื่อได้ยินชื่อตนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก นางกระโจนขึ้นไปบนอากาศก่อนจะยกมือประสาน

“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!”

ศิษย์ที่รายล้อมอยู่แสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงประกาศของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสของสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนต่างก็อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ เจ้าเยี่ยเหมิงเพิ่งจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ทว่ามีหลายคนที่รู้แล้วว่าเจ้าเยี่ยเหมิงได้ตำแหน่งศิษย์สำนักในมาจากตำหนักวังบูชา จึงเข้าใจการตัดสินใจของสำนักในครั้งนี้

ระดับศิษย์สำนักในนั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ใครสักคนที่อยู่ในระดับที่สูงขนาดนั้นควรจะได้รับตำแหน่ง ไม่ควรเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆ อยู่อีกต่อไป กระทั่งผู้อาวุโสรักษาการไม่ควรอย่างยิ่ง

ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มรัวเร็ว นางยกศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานแสดงความขอบคุณพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ แล้วจากไป หวังเป่าเล่อเริ่มอ่านต่อไป

“จากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นขั้นสูงสุดจะได้โอกาสสามครั้งในการเข้าไปยังตำหนักแก่นในและขอความช่วยเหลือจากด้านในเพื่อบรรลุสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้!”

“ประมุขสำนักสวี ก่อนหน้านี้ท่านได้ยื่นคำร้องขอเข้าไปยังห้องจุติศาสตร์เวทเพื่อบรรลุขั้นการฝึกปราณ คำร้องของท่านได้รับการอนุมัติแล้ว!”

การประกาศอย่างต่อเนื่องส่งให้สำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดสะเทือนไปด้วยความตื่นตะลึง บรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่างก็ตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก ของขวัญที่เฟิ่งชิวหรันมอบให้หวังเป่าเล่อชิ้นนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างมาก นางให้โอกาสเขาได้อ่านประกาศ เพื่อเป็นโอกาสให้เขาแสดงถึงอำนาจและยืนยันสถานะของเขาไปในตัว!

พิธีการจบลงในที่สุด และผู้คนก็เริ่มจะสลายตัว หลังจากนั้นการก่อสร้างของโถงที่สี่ก็เริ่มต้นขึ้น หวังเป่าเล่อต้องกลับไปที่เกาะเพลิงเขียวก่อนเพื่อรอวังของเขาก่อสร้างเสร็จ ประมุขสำนักสวีก็จะเข้ามาจัดการเรื่องงานบริหารให้แทน

เมื่อกลับมาถึงเกาะเพลิงเขียว หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังถ้ำที่พัก ก่อนจะเริ่มตัวสั่น ราวกับว่าเขาได้กักเก็บอารมณ์เอาไว้ภายในมานานเกินไป ทำให้มีอะไรบางอย่างระเบิดขึ้นภายในทำให้การหายใจเขาหนักหน่วง ความคิดมากมายไหลบ่าผ่านใจเขา

หลี่อู๋เฉิน…ต้องเป็นเขาแน่ๆ เขาจริงๆ หรือที่เป็น…ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่กลับชาติมาเกิด! ข้อมูลนี้สร้างความตื่นตระหนกให้หวังเป่าเล่อมากเกินไป ชายหนุ่มยังไม่อาจยอมรับได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าประสบการณ์ของเขาในตำหนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มรู้ดีว่าศิษย์แห่งเต๋าไพศาลนั้นมีอำนาจและพลังมากมายเพียงใด ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลนั้นเรียกได้ว่าถือโลกทั้งใบเอาไว้ในกำมือ

ชายหนุ่มไม่อาจจะยอมรับได้ เขาคิดไปถึงความยากลำบาก สถานการณ์เฉียดตายที่เขาต้องผ่านมาเพื่อจะได้ระดับศิษย์อุปถัมภ์มาครอบครอง ฝ่ายหลี่อู๋เฉินนั้น เกิดมาก็เป็นศิษย์แห่งเต๋าไพศาลเลย…ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ หวังเป่าเล่อเริ่มจะปวดศีรษะ

ไม่ว่าใครที่มีตาก็บอกได้ว่าหลี่อู๋เฉินนั้นไม่หล่อ ไม่ได้ใจดี หรือใจกว้างเท่ากับข้า เขาทั้งใจแคบและเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาจะต้องมาหาเรื่องข้าแน่ๆ เมื่อได้ความทรงจำกลับคืนมา…หวังเป่าเล่อหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง

……………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset