บทที่ 628 โจวเหมย!
วิญญาณอัสนีนิรันดร์ วิญญาณธาตุทั้งห้า วิญญาณนิมิตสวรรค์ วิญญาณทั้งเก้าแห่งโลกา…ศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มปวดหนึบ เพราะขณะนี้มันถูกอัดแน่นไปด้วยชื่อของวิญญาณจุตินับสิบที่แม่นางน้อยได้บอกมา ชายหนุ่มยังหาวิธีการบรรลุขั้นในจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลพบอีกด้วย เขาขมวดคิ้วน้อยๆ
วิญญาณจุติมีมากมายหลายประเภทเกินไป ขั้นจุติวิญญาณนั้นดูเหมือนกับอ่าวอันกว้างใหญ่ที่กั้นขวางระหว่างขั้นการฝึกปราณทั้งหลายเอาไว้ การเปลี่ยนแก่นในของตนให้กลายเป็นวิญญาณนั้นเทียบได้กับการสร้างชีวิตที่สองขึ้นมา และจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของผู้ฝึกตนอีกด้วย
การเคลื่อนย้ายก็เป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ผู้ฝึกตนจะต้องเผชิญ การก่อตัวของวิญญาณจุติทำให้ผู้ฝึกตนนั้นกลายเป็นบุตรของสวรรค์และพื้นพิภพ และผู้ฝึกตนยังจะสามารถหลอมรวมกับพลังธรรมชาติและนำพลังนั้นมาใช้ในการต่อสู้ได้อีกด้วย
วิญญาณจุติยังมีพลังในการควบคุมพื้นแผ่นดินได้ อารยธรรมโบราณบางแห่งขนานนามวิญญาณจุติเหล่านี้ว่าปีศาจโบราณ นามนั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เป็นอย่างดี
พลังของวิญญาณจุติเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเภทของวิญญาณ ในจักรวาลนี้มีอารยธรรมฝึกปราณอยู่มากมายและมีประเภทของวิญญาณจุติอยู่เท่าๆ กัน วิญญาณจุติของหลี่ซิงเหวินเป็นวิญญาณเต๋า ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพลังเทพของเขามีรากฐานมาจากการบรรลุธรรม ต้วนมู่ฉีเลือกฝึกวิญญาณธาตุทั้งห้า และสารัตถะของพลังนั้นก็ผนวกอยู่กับความมั่นคั่งของสหพันธรัฐอย่างเหนียวแน่น สิ่งนี้อาจจะดูแปลกประหลาดและลึกลับไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิญญาณจุติของเขาก็แสดงถึงอุดมคติและเจตจำนงค์ของเขานั่นเอง
หวังเป่าเล่อเคยถามประมุขสำนักสวีเกี่ยวกับวิญญาณจุติของเขา วิญญาณที่เขาเลือกคือวิญญาณคลั่ง ที่มุ่งเน้นไปที่ความรุนแรงและความตาย วิญญาณจุติที่ผู้ฝึกตนทุกคนทั้งในสหพันธรัฐและในสำนักวังเต๋าไพศาลเลือกใช้ก็แตกต่างกับแทบจะทั้งสิ้น
วิญญาณจุติของบางคนอาจจะเหมือนกันบ้าง แต่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าวิญญาณจุติประเภทใดดีกว่ากัน เพราะมีเพียงวิธีเดียวที่จะบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของวิญญาณจุตินั่นก็คือ…คุณภาพของมัน!
คุณภาพเป็นตัวบ่งชี้ว่าวิญญาณจุติจะหลอมรวมเข้ากับพลังธรรมชาติได้ดีเพียงใด และเป็นตัวกำหนดขีดความสามารถในการต่อสู้และอนาคตของผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้เลย ในจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลกล่าวไว้ด้วยว่า มีวิญญาณจุติหายากยิ่งอยู่ห้าประเภทที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในอารยธรรมต่างๆ วิญญาณจุติเหล่านี้เป็นตำนานก็ว่าได้ สำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตเคยมีโอกาสได้ฝึกปรือวิญญาณจุติประเภทนี้อยู่หนึ่งดวง แต่วิธีการฝึกปราณนั้นก็สูญหายไปตามกาลเวลา สำนักวังเต๋าไพศาล ณ ปัจจุบันไม่ได้เก็บกุมความลับของการสร้างวิญญาณจุติเช่นนั้นเอาไว้อีกต่อไป
หวังเป่าเล่อถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางกลับตอบเพียงว่าให้เขาอย่าทะเยอทะยานเกินตัวและกระหายอยากได้สิ่งที่อยู่เกินเอื้อม แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็มีกระบวนการตีความคำแนะนำของแม่นางน้อยในแบบของตัวเอง
สงสัยคงเป็นเพราะว่านางไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะว่านางกลัวที่จะบอกข้ากระมัง หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าทุกครั้งที่แม่นางน้อยมอบหมายภารกิจที่ดูเป็นไปไม่ได้มาให้ เขามักจะทำมันได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก…
“แม่นางน้อย วิญญาณจุติในตำนานที่ข้าไม่อาจเอื้อมถึงนั้น แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่” หวังเป่าเล่อไม่อาจจะหักห้ามใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามไปอีกครั้ง
“…” ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยก็กำลังครุ่นคิดเรื่องเดียวกันนี้อยู่เช่นกัน นางจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาทันที นางแทบไม่เคยได้ยินเรื่องของคนที่เอาวิญญาณจุติในตำนานมาครอบครองได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะเป็นเสมือนตำนานเท่านั้นแต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยด้วยซ้ำ!
แม่นางน้อยยังคงดูกระอักกระอ่วนใจ เหมือนว่านางจะได้พูดไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอ…
“ถ้าหากเขายังทำเรื่องนี้สำเร็จอีก ข้าคงต้องเรียกเขาว่าท่านโคตรบิดาบ้างแล้ว!” แม่นางน้อยยิ้มเยาะอยู่เงียบๆ นางปลอบใจตนเองไปอีกพักใหญ่ แต่จู่ๆ ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ก็พลันรู้สึกอยากจะตบปากตนเองขึ้นมาถนัด เรื่องอาจจะไม่ได้แย่มากนักหากนางไม่ได้พูดคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้ออกไป’ แต่นางก็พูดไปแล้ว…
แม่นางน้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาปุบปับ แล้วจึงตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ขณะที่หวังเป่าเล่อก็ยังคงฝึกปราณและศึกษาเรื่องวิญญาณจุติต่อไปอย่างขะมักเขม้น ต้นไม้ยักษ์ก็พยายามเต็มที่ในการทำงานตามที่หวังเป่าเล่อไหว้วานไป เขาทำได้ไม่เลวทีเดียว ต้นไม้ยักษ์พาศิษย์สตรีทุกๆ คนที่เขารู้จักมาและพยายามจัดฉากให้หลี่อู๋เฉินและสตรีเหล่านั้นได้ตกหลุมรักกัน
ต้นไม้ยักษ์เองก็ไม่รู้มาก่อนว่าตัวเขามีความสามารถเพียงใดในเรื่องนี้ สวรรค์มอบรางวัลให้ผู้ที่ทำงานอย่างแข็งขัน ภายใต้สายตาที่ระแวดระวังและแผนการอันแยบยล ในที่สุดต้นไม้ยักษ์ก็ค้นพบอะไรบางอย่าง!
เขายืนยันข้อสังเกตของเขาอีกหลายครั้งก่อนจะรีบรุดไปยังที่พักของหวังเป่าเล่อเพื่อรายงานการค้นพบทันที
“ท่านผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ ข้าน้อยใช้เวลาไปทั้งสิ้นหนึ่งเดือนจนในที่สุดก็ได้ทำภารกิจที่ท่านมอบหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าพบกับศิษย์สตรีที่หลี่อู๋เฉินสนใจแล้วขอรับ” ต้นไม้ยักษ์กุลีกุจอยกมือคารวะและโค้งคำนับต่ำเมื่อเจอหวังเป่าเล่อ ทั้งท่าทีและแววตาต่างก็แสดงความนบนอบอย่างมาก
หวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นยิ่งนัก แต่กลับทำท่าทีเฉยเมยและเพิ่งแต่พยักหน้าตอบน้อยๆ เท่านั้น ต้นไม้ยักษ์เห็นการตอบสนองของหวังเป่าเล่อจึงรีบกุลีกุจอหยิบเอาแผ่นหยกออกมายื่นให้ชายหนุ่มทันที พลางกระซิบว่า
“ข้าทราบมาว่าหลี่อู๋เฉินมีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ โจวเหมย ช่างน่าประหลาดใจนัก ข้าจึงได้ลองไปสืบหาภูมิหลังของโจวเหมยมาก นางเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรุ่นที่สาม แม้ว่าระดับปราณของนางจะไม่สูงนัก แต่นางก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในช่วงหลายปีหลัง สำนักศึกษาจึงได้เลือกนางให้เป็นตัวแทนมาที่สำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้!”
“ในแผ่นหยกนี้มีประวัติของโจวเหมยอยู่ครบถ้วนแล้วขอรับ ผู้อาวุโส” ต้นไม้ยักษ์พูดจบก็ค้อมศีรษะและยืนเงียบรออยู่ เขาพบประวัติความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหมยและหวังเป่าเล่อด้วย แต่ทว่า หากหวังเป่าเล่อไม่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน เขาก็จะไม่พูดอะไรเช่นกัน จะแสร้งทำเป็นทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อไป
ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้า และไม่อยากถามหวังเป่าเล่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ แม้เขาเองจะสืบค้นเรื่องนี้มาจนทะลุปรุโปร่ง แต่ก็เพราะว่าเขาไม่อยากจะเสี่ยงทำพลาดหรือประมาทเลินเล่อในกรณีที่หวังเป่าเล่อถามคำถาม
สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่เขาได้รับมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาขณะที่ดำรงตำแหน่งรองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ว่าควรจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายโดยคิดล่วงหน้าไว้แล้วสามขั้น แม้ว่าจะดูเหมือนต้นไม้ยักษ์จะทำงานตามคำสั่งเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว เขายังได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจมาอีกด้วย เขาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลที่อาจจะอยู่นอกเหนืองานที่รับและได้ตระเตรียมข้อมูลถึงขนาดที่ว่าหากจะต้องตอบคำถามแบบเฉพาะหน้า เขาก็จะตอบได้แบบไม่ขัดเขิน
ต้นไม้ยักษ์ทำงานอย่างเต็มที่ตามคำสั่งที่ได้รับจากหวังเป่าเล่อ
ศีรษะของเขายังคงก้มต่ำอยู่ ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ชะงักงันอยู่กับที่ ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นชื่อโจวเหมยอย่างประหลาด แต่ไม่อาจจะนึกออกว่าทำไม เขาจึงหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาเริ่มอ่านดู
“นางมาจากดาวอังคาร…จบการศึกษาจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขางั้นหรือ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่ออ่านถึงตรงนั้น ในที่สุดชายหนุ่มก็จำได้ว่าทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นนัก ภาพของหญิงสาวเจ้าเนื้อปรากฏชัดขึ้นมาในมโนสำนึก
หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะเริ่มอ่านต่อไป รายงานในแผ่นหยกนั้นละเอียดเป็นอย่างยิ่ง มีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของโจวเหมยอีกด้วย รวมไปถึงสิ่งที่นางไปทำหลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้ว นางเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จนจบการศึกษาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ในขณะที่ศึกษาอยู่ที่นั่น นางเลือกเข้าตำหนักอาวุธเวท!
ข้อมูลทั้งหมดทำเอาหวังเป่าเล่องุนงงเล็กน้อย ชายหนุ่มจำช่วงเวลาที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกเขาได้ลางๆ ใบหน้าของบรรดาศิษย์ของเขาโผล่กลับมาในใจ และไม่นานนัก สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็อ่อนโยนลง จนอดยิ้มออกมาไม่ได้
ต้นไม้ยักษ์สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจะต้องจำได้แล้วแน่นอนว่าครั้งหนึ่งโจวเหมยเคยเป็นลูกศิษย์ของเขา ต้นไม้ยักษ์กล่าวออกมาแผ่วเบา “ผู้อาวุโสขอรับ จากการสังเกตของข้า โจวเหมยและหลี่อู๋เฉินดูเหมือนจะมีใจให้แก่กัน…ข้าถามผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้รับการยืนยันมาเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์กันจริง และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปในระหว่างที่มาอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลด้วยกันนี้” ต้นไม้ยักษ์หยุดพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะหลุบศีรษะลงตำและถอยกลับไปรอฟังคำสั่งจากหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่ เขาคงจะช่วยเหลือหลี่อู๋เฉินแน่นอนหากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เป็นศิษย์ของเขาเองและเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก หวังเป่าเล่อคงจะช่วยให้พัฒนาการของความสัมพันธ์นั้นก้าวหน้าต่อไปได้โดยไม่กระทบกับหลักการของตนเอง
แต่ทว่า โจวเหมย ศิษย์ของเขา ขณะนี้ก็มามีส่วนในเรื่องนี้ด้วย หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจจะทำการผลีผลามได้ ชายหนุ่มจะต้องคุยกับโจวเหมยและเข้าใจเรื่องนี้ก่อนจะตัดสินใจอะไรไปได้
หากโจวเหมยไม่เต็มใจอยู่ในความสัมพันธ์นี้ หวังเป่าเล่อก็จะหยุดทุกอย่างที่เขาคิดเอาไว้ในใจและหาวิธีอื่นในการควบคุมหลี่อู๋เฉินแทน จริงๆ แล้วชายหนุ่มอาจจะวิตกจริตมากเกินไป บางที เมื่อหลี่อู๋เฉินได้ความทรงจำกลับคืนมา หวังเป่าเล่อคงไปถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทัศนคติของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป เขาส่งยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ต้นหอมหมื่นลี้น้อย เจ้าไปพาตัวโจวเหมยศิษย์ของข้ามาที่นี่ที ความทรงจำข้าคงเริ่มเลอะเลือน จึงได้จำนางไม่ได้ตั้งแต่แรก บางทีนางอาจจะเขินอายอยู่จึงไม่กล้ามาเจอหน้าข้าก็เป็นได้” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ บางทีโจวเหมยอาจจะมีใจให้หลี่อู๋เฉินจริง เป็นเหตุให้ไม่กล้ามาสู้หน้าเขา เพราะอย่างไรเสีย นางก็รู้ดีถึงความตึงเครียดระหว่างตัวเขากับหลี่อู๋เฉิน
สำนึกศึกษาเต๋าเปลววิญญาณและสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขานั้นขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดมาโดยตลอด และโจวเหมยเองก็เคยเป็นตัวแทนการประกวดประขันของสำนัก หวังเป่าเล่อสงสัยว่าทั้งคู่มาคบกันได้อย่างไรตั้งแต่แรก