บทที่ 638 การโจมตีครั้งใหญ่!
“เมื่อครู่นี้คืออะไรกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะผู้คนรอบๆ กำลังส่งเสียงฮือฮา เฟิ่งชิวหรันเองก็สั่นกลัว พลังแกร่งกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวอสูรตนเมื่อครู่เข้าปกคลุ่มโลกนี้ทั้งใบ
ที่น่าตื่นตะลึงก็คือการที่อสูรทรงอำนาจถูกล่ามไว้เหมือนทาสและโดนใช้ให้ลากท่อนไม้เหมือนกับลา!
ภาพเบื้องหน้าทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ พวกเขาจ้องไปยังปลายอีกด้านของท่อนไม้ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ในใจอดเดาไม่ได้ว่าปลายสุดอีกด้านมีอะไรอยู่
“ปลายอีกด้านของท่อนไม้ต้องเป็นทางไป…แท่นสังเวยของโลกนี้แน่!” เฟิ่งชิวหรันโพล่งขึ้น สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยน ทุกคนเริ่มเคร่งเครียด
ที่พวกเขาหน้าดำคร่ำเคร่งก็เพราะได้เห็นอสูรร่างยักษ์ลากท่อนไม้ผ่านไป ก้าวย่างหนักแน่นของมันทำให้ผืนดินสั่นไหว ดงดอกไม้สีแดงที่ยังตูมอยู่ก็สั่นไปด้วย บางดอกเริ่มส่งสัญญาณเหมือนจะผลิบาน!
ภาพเบื้องหน้าทำให้ทุกคนตื่นตกใจ ดอกปีศาจราเขียวมากมายที่ผลิบานในทันใดอาจปลุกกองทัพศพให้ลุกจากพื้นได้!
“เราต้องรีบไปแล้ว!” เฟิ่งชิวหรันเงยหน้า โบกมือขวาด้วยสีหน้าตื่นหลัว พลังพลันปะทุนำทุกคนเหาะขึ้นจากพื้นและผลักทุกคนหนีออกจากบริเวณ
นางไม่ต้องบอกอะไร เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็รีบพุ่งไปอย่างลนลาน หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาใช้แรงผลักจากพลังของเฟิ่งชิวหรันลากเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าพุ่งออกไป
แต่ก็สายไป!
พูดให้ถูกคือพวกเขาสูญเสียโอกาสออกจากบริเวณนี้ไปตั้งแต่วินาทีที่อสูรปรากฏตัว ผืนดินหยุดสั่นไหว เสียงระเบิดมากมายดังลั่นขึ้น!
เสียงระเบิดแต่ละครั้งเกิดจากดอกปีศาจราเขียวผลิบานเต็มขั้น แต่ละดอกมีขนาดเท่ากำปั้น ก่อนจะระเบิดออกเหมือนแบมือ ภาพเบื้องหน้าช่างน่าสะพรึงกลัว มองจากไกลห่างเห็นเหมือนมีมือมากมายนับไม่ถ้วนกำลังโบกเรียก!
ดอกปีศาจราเขียวมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าบานสะพรั่งในทันใด ละอองเกสรกระจายคลุ้งในอากาศ เกิดเป็นหมอกสีแดงชาด…บดบังฟากฟ้าจนมิด!
กองศพใต้หมอกสีแดงเริ่มกระตุกดิ้น เสียงโหยหวยดังก้องเมื่อเหล่าศพเริ่มลุกยืน ดวงตาของพวกมันลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดงขณะร้องคำรามลั่นและพุ่งไปหาเหล่าผู้ฝึกตน
กองทัพศพเบื้องหน้ามีทั้งอสูรไร้ท่อนล่างและมนุษย์แขนหรือขาด้วน อีกทั้งยังมีโครงกระดูกไร้เลือดเนื้อกับศพสภาพสมบูรณ์ที่พลังรัศมีสีดำแสนชั่วร้ายเปล่งออกมา!
นอกจากนี้ยังมีแมลงขนาดเท่ามนุษย์มากมายมารวมตัวกันเห็นเป็นฝูงเงาดำกำลังพุ่งมาหาพร้อมกับร้องคำรามลั่น!
แม้เฟิ่งชิวหรันจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ถ้าถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกองทัพศพมีชีวิตนี้แล้วละก็ นางอาจจะต้องสู้หาทางออกจนเหนื่อยอ่อนถึงขั้นตายลงก็เป็นได้!
อย่างไรเสีย นางก็เป็นมนุษย์ที่ยังหายใจอยู่ ในขณะที่กองทัพเบื้องหน้าคือซากศพไร้ชีวิต เสียงร้องคำรามของพวกมันกู่ก้องในอากาศขณะที่หมอกสีแดงเข้าปกคลุมท้องฟ้าปั่นป่วน ไม่มีเวลาให้ใครได้คิดหาแผนการอะไรอีกเพราะศพตนหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาประชิดพวกเขาแล้ว
เสียงปะทะกันดังขึ้น เฟิ่งชิวหรันตั้งผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เรียกพายุออกมาเบื้องหน้า พวกที่เหลือตระหนักถึงความอันตรายดีจึงเข้ามารวมกลุ่มกัน จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับออกท่าโจมตีโดยมีเฟิ่งชิวหรันนำทัพ!
หวังเป่าเล่อคอยคุ้มกันอยู่ปีกขวา มีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องทั้งคู่ โดยเฉพาะเจ้าเยี่ยเหมิงที่สามารถใช้วงแหวนปราณช่วยหนุนทัพได้มาก นางตั้งผนึกมือปล่อยวงแหวนปราณชุดแล้วชุดเล่าออกไป โดยทุกๆ เก้าวงแหวนปราณจะเกิดการระเบิดของวงแหวนปราณที่ปล่อยไปก่อนหน้ากวาดล้างศพไปกองใหญ่ อีกทั้งยังส่งแรงปะทะสร้างความเสียหายกับศัตรูอีกมากมาย
กงเต๋าเองก็ดุดันไม่แพ้กัน สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาถูกปลดปล่อยเต็มขั้นในการรบ ฝีมืออันร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ลึกภายในเผยให้เห็นเมื่อเขาหลบการโจมตีรุนแรงได้อย่างสบายๆ ก่อนจะโต้กลับอย่างโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน
หวังเป่าเล่อเลิกเป็นกังวลเมื่อได้เห็นการต่อสู้ของเพื่อนๆ เขาตั้งผนึกมือเรียกทะเลอัสนี สายฟ้ามากมายปะทะกันระเบิดเป็นคลื่นอัสนีหลายระลอกสาดเข้าใส่กองทัพศพ
เกราะจักรพรรดิลักอัคคีนั้นเป็นอาวุธที่เหมาะกับการสู้แบบตัวต่อตัว เมื่อพวกกับศัตรูจำนวนมากเช่นนี้ ชายหนุ่มก็นึกถึงวิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นอันดับแรก แต่ไม่นานก็ตระหนักว่าวิชาแห่งศาสตร์มืดนั้นไร้ประโยชน์ในศึกครั้งนี้เพราะเหล่าศัตรูนั้นปราศจากวิญญาณ กองทัพศพเบื้องหน้าในตอนนี้เป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ!
สายฟ้าของเขาจึงเป็นอาวุธในครอบครองที่มีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้เขายังเรียกกองทัพกระบี่บินจากกำไลคลังเวทพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะปล่อยให้พุ่งลงมาเป็นฝนคมกระบี่
คนอื่นๆ ก่อนปล่อยเคล็ดวิชาและคาถาทรงพลังเช่นกัน เฟิ่งชิวหรันคอยแหวกทางให้พวกเขาพร้อมกับรุดไปด้านหน้า แต่ก็มีอสูรและซากศพมากเกินไป เหล่าผู้ฝึกตนเคลื่อนทัพไปเรื่อยๆ แม้มองไม่เห็นปลายทาง อสูรบินได้พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไกลออกไปยังมีฝูงผีดิบในชุดคลุมสีดำ!
แม้จะบอกได้ว่าฝูงผีดิบชุดดำเป็นเพียงฝูงเล็กๆ แต่ก็มีอยู่หลายร้อยตัว! แต่ละตัวมีหมอกสีดำเปล่งแสงอักขระชั่วร้ายปกคลุม ทันใดนั้นหมอกสีดำก็พุ่งตรงไปหาเหล่าผู้ฝึกตนพร้อมกับหวีดร้อง!
ไม่มีการระเบิดใดๆ เมื่อหมอกเข้าปะทะ แต่ความเสียหายที่ได้รับนั้นรุนแรงเหมือนโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่อย!
แต่นั่นก็ไม่ใช่ภัยอันตรายที่สุดในตอนนี้ ภัยอันตรายร้ายแรงที่แท้จริงคือการติดอยู่ในศึกซึ่งไร้ทางหนี หากละอองเกสรกระจายออกไปไกลอาจปลุกเหล่าศพแสนอันตรายหรือดึงทัพศพมาเสริมกำลังเพิ่มได้!
เฟิ่งชิวหรันเริ่มตื่นตระหนก นางดึงไม้วัดออกมาโบกพร้อมกับร้องเสียงดัง
“สามร้อยเมตร!”
สิ้นคำ ผืนแผ่นดินในระยะสามร้อยเมตรก็เริ่มสั่นไหว พลังที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นและเข้าบดขยี้กองทัพศพที่อยู่ในระยะสามร้อยเมตร เหล่าศพกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา!
แม้จะเป็นพลังอันร้ายกาจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะกองทัพศพมีจำนวนมากเกินไป พื้นที่ระยะสามร้อยเมตรที่เพิ่งจัดการจนโล่งไปถูกศพตนใหม่กรูเข้ามาแทนที่ในทันที หมอกสีดำเริ่มเข้าปกคลุม
ชี่หลินและคนอื่นๆ ร่วมโจมตีด้วยเช่นกัน ช่วยให้เฟิ่งชิวหรันมีเวลาเตรียมตัวออกท่าโจมตีครั้งต่อไป ผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาของนางก็ฉายแววเย็ยเยียบก่อนจะร้องคำรามลั่น
“สามพันเมตร!”
ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงฉายแสงวาบเมื่อเฟิ่งชิวหรันปลดปล่อยการโจมตี นางรีบตั้งผนึกมือปล่อยวงแหวนปราณเก้าสิบเก้าวงทับซ้อนกันเป็นวงแหวนปราณกว้างสามพันเมตรเข้าล้อมรอบบริเวณ
การโจมตีจากไม้วัดของเฟิ่งชิวหรันระเบิดออกจังหวะเดียวกับที่วงแหวนปราณปรากฏขึ้น
ตูม ตูม ตูม!
ผืนพสุธาสั่นไหว สรวงสวรรค์สีสันเลือนหายเมื่อทุกสิ่งอย่างในขอบเขตสามพันเมตรกลายเป็นฝุ่นผง พลังจากไม้วัดเหมือนจะได้แหล่งพลังอื่นช่วยเสริม พลังกระจายวงกว้างออกไป ส่งแรงปะทะไกลออกไปอีกหกพันเมตร!
แม้แรงปะทะอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าพลังต้น อีกทั้งยังอ่อนพลังลงตามระยะทางที่กระจายออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะกำจัดเหล่ากองทัพศพ!
สนามรบพลันโล่งจากศัตรู แต่พวกเขาก็รุดหน้าไปได้ไม่ไกลก่อนศพอีกกองทัพจะปรากฏขึ้นตรงสุดขอบฟ้า!
การโจมตีเมื่อครู่ทำให้ทุกตนตระหนักถึงพลังวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นตะลึงไป เขารู้ว่าวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไร้เทียมทาน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถช่วยเสริมพลังผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้!
เฟิ่งชิวหรันตระหนักถึงความแข็งแกร่งของวงแหวนปราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงสร้างขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงวาบ ก่อนจะพลันหายวับไปปรากฏตัวข้างๆ เจ้าเยี่ยเหมิงกะจะให้นางมาร่วมสู้เคียงข้าง หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมๆ กัน เขายืนจ้องเฟิ่งชิวหรันอยู่อีกข้าง
“เป่าเล่อ ข้าขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่ให้เจ้าเยี่ยเหมิงได้รับอันตรายใดๆ!”
นางโพล่งออกมาทันใด หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าเยี่ยเหมิงเงียบๆ เขาไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนนาง เจ้าเยี่ยเหมิงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มแสนอ่อนโยนให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับเฟิ่งชิวหรันและติดตามนางไป ทั้งคู่ทะยานขึ้นฟ้า ตั้งใจจะปล่อยการโจมตีเมื่อครู่อีกครั้งกลางอากาศ
ความกังวลเกินบรรยายคุกรุ่นขึ้นในใจหวังเป่าเล่อขณะมองทั้งสองทะยานขึ้นฟ้า เข้าอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป ทันใดนั้น…พื้นดินก็เริ่มสั่นไหวรุนแรง!
ผืนดินเบื้องหน้าถล่มลง งูเหลือมยาวสามสิบเมตร ร่างเน่าเปื่อยเป็นหย่อมๆ พุ่งทะลุขึ้นมาจากใต้ดินส่งเศษหินกระจายไปทั่ว มันตรงเข้าไปปะทะกับกลุ่มผู้ฝึกตน!
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวกังวลใจเมื่อได้ยินเสียงปะทะกันดังสนั่น เขาพุ่งหลบการโจมตีพร้อมกับคนอื่นๆ ผืนดินเบื้องหลังถล่มลงอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของงูเหลือยักษ์ตัวที่สอง!
ผืนพสุธารอบตัวเริ่มถล่มลงหลุมแล้วหลุมเล่า งูเหลือมตัวที่สาม สี่ ห้า โผล่พ้นดินขึ้นมาเรื่อยๆ…ฝูงงูเหลือมสี่สิบตัวร้องคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าหาเหล่าผู้ฝึกตน เปลวไฟสีดำพลันพวยพุ่งออกจากปากของพวกมัน!