หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 648 ชั้นที่สาม!

บทที่ 648 ชั้นที่สาม!
พื้นที่สว่างไสวสุดปลายทางคือโลกแห่งใหม่!

ดูน่ากลัวและแตกต่างจากโลกทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็น แม้แต่ดาวหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นถล่มไปยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่าที่แห่งนี้!

ฟากฟ้ามืดมิดจากหมอกหนาสีดำ ท่อลำเลียงที่ถักทอจากเลือดเนื้อโผล่ออกมาจากหมอก ตรงดิ่งลงไปยังผืนดิน!

ในโลกใบนี้มีท่อลำเลียงคล้ายกันนี้อีกนับพันกระจายอยู่ทั่วฟ้า ส่วนปลายสายบรรจบรวม ณ จุดเดียวกันบนพื้นดิน!

จุดนั้นคือผืนดินสีดำสนิท…ที่มีเสาตั้งสูงตระหง่าน ขนาดกว้างกว่าสามร้อยเมตร!

เสาต้นนั้นก็สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อที่เต้นตุบๆ ท่อลำเลียงนับพันเชื่อมต่อกับเสา ส่วนที่เต้นตุบๆ เหมือนจะดูดเอาเศษเลือดเนื้อจากท่อลำเลียงเข้าไป!

เสากลมตั้งตระหง่านให้เห็นเพียงแค่ส่วนเหนือพื้น ไม่มีใครรู้ว่าใต้ดินจมลึกลงไปอีกไกลเท่าใด ถัดจากเสามีดินสีดำที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อ แต่ละก้อนมีตัวอ่อนอยู่ด้านใน ไม่ใช่ทารกของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เป็นอสูรสายพันธุ์หนึ่ง!

เห็นได้ชัดว่ามีการปรับปรุงโลกใบนี้ใหม่ ท่อลำเลียงมากมายดูน่าสะพรึงกลัว รอบเสาขนาดใหญ่มีม่านแสงสีฟ้าคุ้มกันกว้างกว่าสามหมื่นเมตรคอยกีดกันไม่ให้ผู้บุกรุกเข้ามาใกล้ได้

ม่านสีฟ้าคล้ายๆ กันนี้มีอยู่รอบท่อลำเลียงทุกสายด้วยเช่นกัน ทำให้ด้านหลังม่านเหมือนเป็นโลกใบหนึ่ง ส่วนด้านนอกม่านเป็นโลกอีกใบ

เสียงสั่นสะเทือนดังก้องอยู่ทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัวเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าและเสียงที่ก้องโสตประสาท ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็สูดหายใจลึกและตกอยู่ในภวังค์ความคิด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะปีนลงท่อลำเลียง ผ่านหมู่เมฆไปพบกับโลกเบื้องล่างด้วยตาของตนเอง

โลกทั้งใบเหมือนจะมีเสาค้ำเป็นจุดศูนย์กลาง ม่านแสงสีฟ้าคอยคุ้มกันเสาไม่ให้สิ่งใดย่างกรายเข้าไปใกล้ได้ โชคดีที่เขาหาท่อลำเลียงในโม่หินเจอจึงมาถึงโลกใบนี้ในฝั่งด้านในของม่านคุ้มกัน!

หัวใจของเขาเต้นถี่รัว ลมหายใจเริ่มผิดจังหวะ เขาเกาะท่อลำเลียงและมองไปรอบๆ เสาค้ำเป็นเหมือนกับรังไหมที่คอยดูดเอาสารอาหารจากโม่หิน จากสิ่งที่ได้พบเห็นมาในโม่หินทำให้ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่าอาจจะมีโลกอีกใบอยู่อีกด้านหนึ่งของเสา ลึกลงไปใต้ดิน!

ถ้าดินแดนศพคือชั้นแรก นี่ก็คือชั้นที่สอง… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ภาพเรือบินรบปรากฏขึ้นในหัว เขาจำได้ว่าเรือบินรบลำนี้สร้างจากแผ่นวงแหวนยักษ์สามแผ่น

มีแผ่นวงแหวนที่สี่เชื่อมต่อกับอีกสามแผ่น ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหลักของเรือบินรบ ตั้งอยู่กึ่งกลางด้านล่างของแผ่นวงแหวนทั้งสามที่ประกบกันอยู่

ถ้ายึดตามนี้ แผ่นวงแหวนที่สี่ก็คือชั้นที่สอง เมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันน่าจะอยู่ที่นี่! เขานวดหน้าผากขณะจ้องมองออกไปไกล โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินไปจนมองไม่เห็นขอบสุด

ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลิกล้มความคิดที่จะออกนอกม่านแสงคุ้มกันไป การที่ได้อยู่ภายในม่านคุ้มกันเช่นนี้น่าจะเป็นการนำหน้าทุกคนไปหลายก้าว แม้จะดูอันตราย แต่นี่ก็น่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองขณะครุ่นคิดเช่นนั้น เขาปีนท่อลำเลียงลงไปก่อนจะกระโดดลงพื้น จากนั้นก็เดินไปตรงขอบม่านคุ้มกันและปล่อยหุ่นเชิดออกไป ชายหนุ่มพบว่าแม้จะมีความลำบากอยู่บ้างในการข้ามม่านคุ้มกันออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่พอหุ่นเชิดจะกลับเข้ามาในม่านอีกครั้งกลับทำไม่ได้ เมื่อได้ข้อสรุป เขาก็หันไปมองเสาค้ำใหญ่โตเบื้องหน้า

ชายหนุ่มยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินวนดูรอบเสา ดวงตาของเขาฉายแสงวาบเมื่อกลับมาหยุดอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ปล่อยหุ่นเชิดให้เดินเข้าไปใกล้เสาค้ำ หวังเป่าเล่ออยากตรวจดูว่าหุ่นเชิดจะสามารถจมหายเข้าไปในเสาหลักและมุดลงไปยังบริเวณที่เขาคาดว่าจะเป็นชั้นที่สามของเรือบินรบได้หรือไม่

แม้เสาหลักจะดูนุ่มนิ่มจากการที่มันเต้นตุบๆ ไม่หยุด แต่กลับแข็งกว่าท่อลำเลียงอยู่มาก ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถมุดเข้าไปด้านในได้โดยไม่ดึงเปลือกชั้นนอกออกและเจาะรูเข้าไปด้านใน

หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขามั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่างเป็นแน่ อาจจะเป็นความลับของเรือบินรบหรือไม่ก็ช่องทางหนี แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปตรวจดูด้านในเสาค้ำได้ง่ายๆ โดยไม่เสี่ยงภัยอะไร

ชายหนุ่มไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เขาหรี่ตาคิดหาทางออก ตั้งใจจะลองใช้หุ่นเชิดทดสอบดูก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึกและประเมินความแข็งของเสาค้ำอีกครั้ง ก่อนจะหรี่ตาเล็ก เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏรอบกายท่ามกลางเสียงดังสนั่น เส้นปราณสีเลือดถักทอรวมกันเป็นเกราะทรงพลังขณะที่แขนอาวุธเทพส่องแสงจ้า

เขาไม่คิดลังเลใจ เดินถอยห่างออกไปสามสิบเมตร กระทืบเท้าขวาลงพื้นเสียงดัง รวบรวมพลังทั้งหมด ก่อนจะพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ชายหนุ่มทะยานตรงไปยังเสาค้ำ ยกแขนอาวุธเทพขึ้นนำหน้า

หวังเป่าเล่อพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะกำมือขวาปล่อยหมัดเมื่อเข้าใกล้เสาค้ำ พลังเกราะจักรพรรดิ พลังปราณของตนเอง และการพุ่งออกตัวเมื่อครู่เสริมแรงให้หมัดที่ปล่อยออกไปทรงพลังเกินกว่าหมัดครั้งไหนๆ พลังเทพพลันปะทุขึ้นเกิดเป็นเสียงกัมปนาท หมัดตรงเข้าปะทะเสาค้ำอย่างจัง!

เกิดรูโหว่ขนาดประมาณกำปั้นขึ้น ไม่ได้เกิดแรงปะทะกลับใดๆ รอยที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นเหมือนกับรอยบาดเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไร

หมัดที่ปล่อยก่อให้เกิดเสียงปะทะอู้อี้ ของเหลวสีม่วงไหลออกมาจากรูโหว่ ทันทีที่หวังเป่าเล่อดึงหมัดกลับ รูโหว่เบื้องหน้าก็เริ่มฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว!

ชายหนุ่มไม่มีเวลาพอที่จะขยายรูให้กว้างขึ้นเพื่อส่งหุ่นเชิดเข้าไป ขณะที่รูโหว่กำลังจะปิดสนิท ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววมุ่งมั่น ร่างกายพลันเลือนรางก่อนที่ร่างอวตารจะปรากฏตัวขึ้น ร่างอวตารแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าไปในรูโหว่ก่อนที่จะปิดสนิท

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย เขาเรียกหุ่นเชิดออกมายืนคุ้มกันเมื่อพบจุดปลอดภัยที่สามารถนั่งลงได้ สมองต้องแบ่งความสนใจออกเป็นสองส่วนเพื่อคอยเฝ้าระวังรอบพื้นที่และคุมร่างอวตารดำลึกลงไปในเสาค้ำที่เต็มไปด้วยของเหลวสีม่วง

ร่างอวตารต้องพบกับฤทธิ์กัดกร่อนของของเหลวสีม่วงทันทีที่โดนตัว หากเป็นร่างจริง เลือดเนื้อคงจะโดยกัดกร่อนไปจนหมด

หุ่นเชิดเองก็คงไม่สามารถทนการกัดกร่อนได้ไหว แต่ร่างอวตารนั้นสร้างขึ้นจากสายฟ้าไม่ใช่เลือดเนื้อ จึงสามารถทนได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้านานเกินไปก็ไม่น่าจะรอดเช่นกัน เขาจึงต้องรีบลงไปตามหาชั้นที่สามให้ได้เร็วที่สุด

แต่…ของเหลวสีม่วงก็ไม่ใช่สิ่งอันตรายเพียงอย่างเดียวในเสาค้ำ ยังมีภัยร้ายอื่นๆ ที่ไม่รู้จักซ่อนอยู่อีก ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อดำลึกลงไปได้ประมาณสามสิบเมตรก็พบกับแสงสีทองสว่างวาบขึ้น ยังไม่ทันจะเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างอวตารก็สลายกลายเป็นสายฟ้าจมหายไปในของเหลวสีม่วง

หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในชั้นที่สองลืมตาตื่นทันใด เขาตรวจสอบเสาเบื้องหน้าก่อนจะเรียกร่างอวตารตนที่สองออกมา จากนั้นก็ต่อยเสาจนเกิดเป็นรูโหว่และส่งร่างอวตารเข้าไปอีกรอบ ครั้งนี้เขาระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม จึงใส่อาวุธเวทป้องกันระดับแปดติดตัวร่างอวตารไปด้วย

ซึ่งก็ถือว่ามีประโยชน์ทีเดียว ทันใดที่แสงสีทองสว่างวาบขึ้นตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง เสียงนั้นมีแหล่งที่มาจากตัวตนสีทองที่พุ่งเข้าปะทะกับอาวุธเวทจนพังทลายไป ร่างอวตารแหลกสลายไป ครั้งนี้หวังเป่าเล่อมองเห็นได้ทันว่าการโจมตีนั้นมีต้นตอมาจากที่ใด

ต้นตอนั้นก็คือนิ้วหักงอสีทอง!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset