สงครามระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น แต่หวังเป่าเล่อยังไม่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากเขายังไม่ได้สติอยู่ แม่นางน้อยใช้แท่นคงกระพันส่งหวังเป่าเล่อไปยังที่ที่ตัวเขาเองคงไม่ได้กล้ำกรายด้วยระดับพลังปราณที่มีอยู่ตอนนี้!
แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้อยู่ดี เนื่องจากต้องรอให้โอกาสพอเหมาะพอเจาะ และแม่นางน้อยก็เป็นผู้มอบโอกาสนั้นให้เขา!
ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีดำมืดเช่นเดียวกับบริเวณซากปรักหักพังในตัวกระบี่ ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงเพลิง หากมองบรรยากาศบนท้องฟ้าใกล้ๆ จะเห็นว่าอากาศถูกดึงให้บิดเบี้ยวในด้านที่เป็นทะเลเพลิง ท้องฟ้าสีแดงเดือดปะทุด้วยความร้อนรุนแรงมหาศาล!
ส่วนท้องฟ้าอีกครึ่งที่เป็นสีหมึกนั้นพร่างพรายด้วยดวงดาว ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่ทั่ว พื้นดิน…เป็นที่ราบไร้เนิน ไม่มีทะเลเพลิงร้อนแรง ไม่มีทุ่งหญ้าเขียวขจี ไม่มีกระทั่งซากปรักหักพังหรือศพที่เป็นสัญญาณว่าเคยเกิดเหตุรบพุ่งที่นี่
หวังเป่าเล่อนอนอยู่บนพื้นไม่ไหวติง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างแน่นิ่งไร้สติ เยียวยาตนเองได้อย่างเชื่องช้า แม้จะมีพลังของดอกบัวสีเขียวช่วยด้วยก็ตาม
เวลาค่อยๆ เดินผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่านานเท่าใดเนื่องจากท้องฟ้าคงสภาพเดิมไม่เสื่อมคลาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะไม่มีทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ราวกับดินแดนนี้จะคงอยู่ตราบชั่วกัลปาวสาน หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์
ข้าอยู่…ที่ไหนกัน… ความอ่อนล้าและความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกใจ
เขาตื่นมาหนึ่งวันเต็มแล้ว แต่จิตใจยังคงพร่ามัวว่างเปล่า ความทรงจำของเขาขาดหายไปบางส่วน จึงทำได้เพียงนอนมองท้องฟ้าอย่างไร้ปฏิกิริยาอยู่หนึ่งวันเต็ม ไร้ซึ่งการตอบรับต่อบรรยากาศโดยรอบ
ในหนึ่งวันที่ผ่านไปนั้น บาดแผลของหวังเป่าเล่อเริ่มเยียวยาตนเอง ความทรงจำที่ขาดหายค่อยๆ ได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง แต่ก็ยังคงสับสนอยู่มาก อาจเป็นเพราะว่าก่อนจะหมดสติไป เขาได้ใช้เคล็ดเวทที่ทรงพลังจนน่ากลัว จึงทำให้สมองได้รับผลกระทบ
เรือบินรบเต๋ามรณะ…โยวหรัน…ถูกตามฆ่า…ฝักกระบี่… ชิ้นส่วนความทรงจำค่อยๆ ปะติดปะต่อเข้าหากัน หวังเป่าเล่อนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น เรื่องราวมากมายสับสนวุ่นวายอยู่ในหัว ชายหนุ่มหายใจหนักขึ้นเมื่อดวงตาเริ่มชัดเจนขึ้นอีกนิด
จำได้แล้ว ข้าโดนโยวหรันตามฆ่า แล้วตอนสุดท้ายข้าก็ปล่อยพลังของเส้นคำสาปออกมาจากฝักกระบี่…ฆ่าโยวหรันตาย! ความทรงจำนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้ง ทั้งร่างกายและจิตใจพลันเครียดขึง ชายหนุ่มรีบผุดตัวลุกขึ้นนั่งทันที ก่อนมองไปรอบตัวและเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้า
ความเวิ้งว้างของพื้นที่โดยรอบและท้องฟ้าที่ไม่คุ้ยเคย ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบอยู่เป็นเวลานาน เขาหลับตาลงเรียกแม่นางน้อยในใจ แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบกลับ
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สำรวจบาดแผลบนร่างกายตนเอง และพบว่ามันสมานตัวไปเกือบครึ่งแล้ว จิตใจของเขายังคงเลือนไปด้วยเมฆหมอก ความคิดได้รับผลกระทบมากกว่าร่างกายเสียอีก ความทรงจำในหัวนั้นมีมาก แต่ก็ดูห่างไกลเหลือเกิน
หวังเป่าเล่อพอจะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ความคิดของเขาได้รับความกระทบกระเทือนออกสองสามอย่าง แต่สิ่งที่ดูเป็นไปได้มากที่สุด…คือการบังคับใช้ฝักกระบี่ในการต่อสู้
“ขั้นปราณของข้ายังไม่สูงพอที่จะใช้ฝักกระบี่ เป็นเช่นนี้หรือเปล่านะ พอข้าบังคับใช้พลังของมัน ความทรงจำจึงถูกลบออกไปบางส่วน…” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตนเอง เขานวดหน้าผากก่อนหันไปมองพื้นที่รอบตัวอีกครั้ง อยากรู้ว่าตนเองมาตกอยู่ที่ใด
เมื่อสติกลับมาครบอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็เริ่มสำรวจบรรยากาศ ยิ่งมองลมหายใจของเขาก็ยิ่งถี่ขึ้น ความรู้สึกมากมายวาบผ่านขึ้นมาบนใบหน้า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ทะลึ่งตัวขึ้นยืน พยายามสู้กับความวิงเวียนขณะวิ่งไปรอบๆ เพื่อตรวจตราพื้นที่ เมื่อเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลับมายืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิมด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน
นี่ไม่ใช่บริเวณด้ามหรือตัวกระบี่ หรือเกาะอะไรทั้งสิ้น ไม่มีทะเลเพลิง ไม่มีพื้นที่ต้องสาป!
อุณหภูมิ…ต่ำกว่าที่ด้ามและตัวกระบี่… หัวใจของหวังเป่าเล่อระเบิดอยู่ในอก เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านที่เป็นสีแดงอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองท้องฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขามองดวงดาว พยายามหากลุ่มดาวที่คุ้นเคย แล้วก็ต้องตัวสั่นเทา เขารู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด!
ข้าอยู่ที่ปลายกระบี่… หวังเป่าเล่อมองพื้นที่อยู่แทบเท้า จิตใจรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด ส่งให้ร่างกายสั่นเทิ้ม ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับความจริงได้ เขาอยู่ที่ปลายกระบี่จริงๆ เสียด้วย
ชายหนุ่มพอจะเดาออกว่าตนเองมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
“ต้องเป็นแม่นางน้อยแน่ๆ … นางพาข้ามาที่นี่ระหว่างที่ข้าหมดสติอยู่” เขาพึมพำบอกตนเอง ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ได้แต่นั่งลงกับพื้นและหยิบโอสถออกมาเริ่มกระบวนการเยียวยาตนเอง
หวังเป่าเล่อจำได้ว่าโยวหรันเสียชีวิตแล้ว ซึ่งแปลว่าสงครามระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาลจะไม่มีอีกต่อไป แต่ต่อให้เกิดการรบพุ่งกันขึ้น ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว สหพันธรัฐคงไม่โดนสำนักวังเต๋าไพศาลทำลายล้างได้ง่ายๆ แน่
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ตื่นตูม เขาใช้เวลาสองสามวันรักษาบาดแผลตนเองให้หาย ความทรงจำกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งเช่นกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สายตาตื่นตัว เริ่มสำรวจสถานที่ทุกซอกทุกมุม
สถานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทำให้หวังเป่าเล่อรู้ข้อมูลที่ศิษย์ทั่วไปไม่ทราบ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ว่าที่ปลายกระบี่…เป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนัก ตำนานกล่าวเอาไว้ว่า ดินแดนนี้เป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสแต่โบราณกาลนิทราอยู่นั่นเอง!
ผู้อาวุโสที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้มีปราณระดับดาวพระเคราะห์ บางคนก็มีปราณอยู่ที่ระดับดารานิรันดร์ เฟิ่งชิวหรันเคยบอกเขาว่า นางเชื่อว่ามีผู้อาวุโสระดับดาราจักรหลายคนที่รอดชีวิต และกำลังเยียวยาตนเองอยู่ที่ปลายกระบี่
นางไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็เชื่อเช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อฟังสิ่งที่นางพูดโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาเคยคิดว่าตนเองต้องมาเหยียบปลายกระบี่ให้ได้สักวันหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้!
ด้วยความที่แม่นางน้อยกำลังจำศีลอยู่ หวังเป่าเล่อจึงต้องระวังทุกย่างก้าว เขาเดินช้าลงขณะสำรวจพื้นที่รอบตัว ปลายกระบี่นั้นกว้างใหญ่ แต่ก็เทียบไม่ได้กับตัวกระบี่แม้แต่น้อย ชายหนุ่มเดินทางอยู่หลายวัน ก่อนที่พื้นดินจะเริ่มเปลี่ยนสภาพไป แม้กระนั้นท้องฟ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ราวกับว่าดินแดนแห่งนี้ถูกใครบางคนขีดเส้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ชั้นป้องกันสร้างจากน้ำแข็งและหิมะพาดยาวเป็นเส้นต่อหน้าชายหนุ่ม กว้างไกลจรดปลายฟ้าสุดลูกหูลูกตา
หวังเป่าเล่อยืนอยู่เบื้องหน้าหิมะและน้ำแข็ง มองพื้นที่สีขาวเย็นเยียบตรงหน้าห่างไปหลายเมตร เขาคิดสะระตะอยู่สักพัก ก่อนจะก้าวข้ามไปยังดินแดนน้ำแข็งนั้น
ลมหนาวพัดกรรโชกเข้าใส่ชายหนุ่มทันทีที่เท้าของเขาก้าวข้ามไปยังแดนเหมันต์ ลมพัดเข้าใส่ชั้นป้องกันที่บัดนี้อยู่เบื้องหลังเขาและหยุดชะงักไป ราวกับโลกน้ำแข็งนี้อยู่คนละมิติกับพื้นที่ราบเรียบที่อยู่เบื้องหลัง
ท้องฟ้าแบ่งออกเป็นสองซีก ซีกแรกร้อนระอุ อีกซีกสว่างไสวด้วยแสงดาวพร่างพราย พื้นดินปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งจนมิด ภาพประหลาดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อระวังยิ่งกว่าเดิม เขาไม่หยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบจนไม่ระมัดระวัง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มก็เห็นสิ่งปลูกสร้างหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ขนาดใหญ่สามหลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เขาหยุดชะงักอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้าง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อหายใจเอาลมเย็นเข้าปอดและเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น อาคารสูงทั้งสามชัดเจนขึ้นในสายตาเมื่อเข้าไปใกล้
อาคารทั้งสามนี้…คือวังสูงสามร้อยเมตรห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ดูราวกับเป็นธารน้ำแข็งยักษ์สามธารที่ตั้งตระหง่านอย่างไรอย่างนั้น!
หวังเป่าเล่อตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการของสิ่งปลูกสร้างทั้งสามมาก เขาเข้าไปใกล้อาคารพอประมาณ ทันใดนั้น…กระแสจิตหนึ่งก็พุ่งออกจากวังทางด้านซ้าย!
กระแสจิตนั้นเปรียบเสมือนพายุล่องหนน่าหวาดหวั่น ที่พัดหอบเอาอากาศเข้ามาปะทะหวังเป่าเล่อเหมือนคลื่นทรงพลัง ชายหนุ่มเป็นเพียงแพน้อยที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล จิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า กระแสจิตน่ากลัวนั้นไม่ได้ตรึงตัวเขาไว้นาน แต่ล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงเยือกเย็นไร้อารมณ์ก็ดังสะท้อนขึ้นในอากาศ
“ในฐานะศิษย์อุปถัมภ์ เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นใหม่อีกครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับแรก เพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”
หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตอบโต้คำประกาศนั้น วังยักษ์ทางด้านซ้ายก็ปล่อยเสียงแตกร้าวออกมา น้ำแข็งที่ห่อหุ้มวังแรกแตกกระจายฉับพลัน น้ำแข็งร้าวร่วงลงบนพื้น เผยให้เห็นหน้าตาของวังที่แท้จริงเบื้องหน้าชายหนุ่ม!
เมื่อออกจากคุกน้ำแข็งได้ วังก็เริ่มเรืองแสงสีแดงเข้มออกมา แสงนั้นเปลี่ยนเป็นเสายักษ์ที่พุ่งทะยานขึ้นไปยังสรวงสวรรค์!
……………………………………..