บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ซึ่งท้องฟ้าที่มืดมัวเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดของห้วงอวกาศ และพื้นที่ต้องสาปปกคลุมทั่วผืนดิน หวังเป่าเล่อยืนนิ่ง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึมและโทสะ ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟื้นคืนกลับมาหลังจากที่ถูกจู่โจมอย่างรุนแรงได้อย่างไร
ร่างนั้นเป็นร่างอวตารหรือ หวังเป่าเล่อเงียบงัน ความเคลือบแคลงใจฉายชัดอยู่ในแววตา ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่รอบกายขณะที่พลังปราณมหาศาลไหลบ่าออกมา พลังนั้นแทรกแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง
เหลือเวลาไม่มากแล้ว…หวังเป่าเล่อหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าสองสามครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าคลังเก็บของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขึ้นมาโดยไม่รอช้า ก่อนจะพบเฟิ่งชิวหรันที่ถูกผนึกเอาไว้อยู่ภายใน
เฟิ่งชิวหรันบาดเจ็บสาหัสและไม่ได้สติอยู่ ทั้งพลังชีวิตและพลังวิญญาณของนางถูกใช้ไปจนเหือดแห้ง ไม่ใช่เพียงเพราะอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่เพราะนางไม่มีเวลาจะได้พักรักษาตัวแม้แต่น้อย ส่งผลให้อาการบาดเจ็บย่ำแย่ลงและพลังปราณของนางก็ตกลงมาสู่ขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น
เฟิ่งชิวหรันคอยยืนเคียงข้างและปกป้องหวังเป่าเล่อมาโดยตลอด ทัศนคติของนางต่อสหพันธรัฐเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องช่วยนางเอาไว้ แม้ว่าจะรู้สึกกังวลไปหมด เขาก็ต้องบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ ก่อนจะดึงขวดออกมาขวดหนึ่ง และเทของเหลววิญญาณที่อยู่ภายในออกมา หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือส่งของเหลววิญญาณเหล่านี้เข้าไปในกายเฟิ่งชิวหรัน
ของเหลววิญญาณนี้ไม่ใช่ของเหลวธรรมดาๆ เพียงแค่ขวดเดียวก็ยังให้ผลสุดมหัศจรรย์ ใบหน้าอันซีดเซียวราวกับศพของเฟิ่งชิวหรันมีสีเลือดขึ้นมาทันทีที่นางได้รับของเหลววิญญาณไป นางตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่น
นัยน์ตาของนางกระตุกเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ชายหนุ่มอธิบายไปยืดยาวนางก็เริ่มเชื่อว่าเขาเป็นตัวจริง เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อรู้ว่าหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว ถึงกระนั้น นางก็ยังทึ่งเมื่อมองเห็นศพผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เรียงรายอยู่รอบกาย
นางสัมผัสได้ว่าการบรรลุขั้นของชายหนุ่มไม่ธรรมดา แต่ขณะนี้ก็ไม่ใช่เวลาถามหารายละเอียด พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย หลังจากที่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็พุ่งทะยานมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ณ ด้ามกระบี่ทันที
วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเครื่องมือเดียวที่จะพาพวกเขาออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ ทั้งคู่รู้ดีว่าพอไปปรากฏอยู่อีกฟากหนึ่งของวงแหวนปราณเมื่อใดก็อาจพบอันตรายได้ทุกเมื่อ ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐ
“เป่าเล่อ ของเหลววิญญาณในขวดนี้ช่างยอดเยี่ยม ความเข้มข้นขนาดนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้กระทั่งในยุครุ่งเรืองของสำนักวังเต๋าไพศาลก็ตาม ช่างเป็นโชคชะตาของเจ้าแล้วที่ได้พบของเหลวขวดนี้เข้า อย่าเอามาสิ้นเปลืองกับข้าเลย เก็บไว้เถิด เมื่อเรากลับไปยังสหพันธรัฐ เจ้า…” เฟิ่งชิวหรันควบคุมอาการบาดเจ็บของนางไว้ได้เพราะของเหลววิญญาณที่หวังเป่าเล่อมอบให้ก่อนหน้านี้ นางยื่นขวดส่งคืนให้ชายหนุ่ม หญิงวัยกลางคนรู้ระดับการบาดเจ็บของนางดี แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหายดีในระยะเวลาเพียงเท่านี้ ของเหลววิญญาณขวดนี้ช่วยให้นางรักษาระดับพลังปราณในขั้นจุติวิญญาณเอาไว้ได้เพียงเท่านั้น
ของเหลววิญญาณมีมูลค่ามหาศาล และจะเป็นประโยชน์กับหวังเป่าเล่อมากกว่า เพราะอย่างไรเสีย เมื่อดูจากศพของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกาย หวังเป่าเล่อในขณะนี้นั้นทรงพลังกว่าเฟิ่งชิวหรันไปแล้ว
“ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านต้องใช้ของเหลววิญญาณมากเพียงใดจึงจะรักษาระดับพลังปราณให้กลับไปอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณได้” หวังเป่าเล่อไม่ได้ยื่นมือออกมารับขวดแต่กลับถามคำถามนางแทน
เฟิ่งชิวหรันชะงัก ความไม่อยากเชื่อและความหวังเลือนรางปรากฏขึ้นในใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มถาม ประกายกล้าส่องสะท้อนอยู่ในแววตานาง ลมหายใจรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย
“ห้าขวด…ไม่สิ สามขวดก็พอ!”
หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นมาอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มตบกระเป๋าคลังเก็บของตนเองหนึ่งครั้ง ดึงขวดของเหลววิญญาณออกมาหกขวดก่อนจะโยนไปให้เฟิ่งชิวหรัน แต่ละขวดบรรจุของเหลววิญญาณจนแทบล้นออกมา การปรากฏของขวดทั้งหกทำให้อากาศโดยรอบหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น
“นี่มัน…” เฟิ่งชิวหรันจ้องมองขวดทั้งหก นางรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นของของเหลววิญญาณภายใน ซึ่งทำเอานางผงะ ไป เฟิ่งชิวหรันยกมือขวาขึ้นและเก็บขวดทั้งหกเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่ออย่างจริงจังและกล่าวว่า
“เป่าเล่อ ขอเวลาข้าสองสัปดาห์ ข้าจะ…”
“สองสัปดาห์ยาวนานเกินไป! ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านสามารถรักษาตัวให้กลับไปอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณภายในสามวันได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อหมุนมือขวาอีกครั้งก่อนจะดึงขวดของเหลววิญญาณออกมาอีกหลายสิบขวดจากบรรดานับร้อยๆ ขวดที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะยื่นให้นางอีกครั้ง
“ได้!” เฟิ่งชิวหรันที่ตาแทบถลนตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาทั้งคู่ของนางส่องประกายกล้า จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้หลังจากที่ตอบไปอย่างเร่งรีบ นางยกมือขวาขึ้นและส่งกำไลคลังเวทอันหนึ่งให้หวังเป่าเล่อ
“อันนี้เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าเก็บมันเอาไว้ให้ตั้งแต่เรือบินรบนั้นจากไป”
หวังเป่าเล่อลิงโลดขึ้นมาเมื่อได้เห็น มันเป็นของเขาจริงๆ ชายหนุ่มทิ้งกำไลคลังเวทอันนี้ไว้กับร่างอวตาร มันจึงหายไปพร้อมๆ กับตอนที่ร่างอวตารถูกทำลาย ชายหนุ่มเก็บวัตถุเวทและสมบัติจำนวนมากเอาไว้ในนั้น
เพราะการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างตัวเขากับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำให้ชายหนุ่มหมดสติไป หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็วุ่นอยู่กับการบรรลุขั้นหลายครั้ง จึงยังไม่มีเวลาคร่ำครวญกับการเสียกำไลคลังเวทไปเท่าใดนัก ชายหนุ่มตั้งใจจะออกตามหามันหลังจากทุกอย่างสงบเรียบร้อย แต่ตอนนี้มันกลับมาหาเขาแล้ว หวังเป่าเล่อตรวจสอบของด้านในทันทีที่ได้รับ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เฟิ่งชิวหรันเป็นเชิงขอบคุณ จากนั้นทั้งคู่ก็เร่งความเร็วพุ่งไปไกลลิบ
พวกเขาอยู่ห่างจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลพอสมควร ต้องใช้เวลาราวสองสัปดาห์หากเดินทางด้วยความเร็วธรรมดา แต่ด้วยความรอบรู้ของหวังเป่าเล่อเรื่องแท่นคงกระพัน การเดินทางระยะไกลจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
ชายหนุ่มนำเฟิ่งชิวหรันไปยังแท่นคงกระพันที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่ทั้งคู่จะละลายกลายเป็นหมอกเคลื่อนที่และเดินทางมุ่งไปยังเกาะหลักบนด้ามกระบี่อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิวหรันคุ้นเคยกับแท่นคงกระพันดี แต่นางไม่มีสิทธิ์เปิดใช้แท่น แถมยังไม่รู้วิธีการควบคุม แม้ในยุครุ่งเรืองของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ที่ใช้แท่นคงกระพันได้ก็จะต้องเป็นศิษย์เอกขึ้นไปเท่านั้น
เฟิ่งชิวหรันมองวิธีที่หวังเป่าเล่อใช้แท่นคงกระพันอย่างชำนิชำนาญแล้วก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าชายหนุ่มเป็นศิษย์อุปถัมภ์ที่แท้จริง แต่ก็ยังไม่วายนึกสงสัย นางคิดว่าการที่หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นการฝึกปราณได้อย่างต่อเนื่องนั้นต้องเป็นเพราะชายหนุ่มพบโอกาสชิ้นงามอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่หลับไหลอยู่ด้วย
หวังเป่าเล่อไม่ปริปากพูดสิ่งใดแม้แต่น้อย เฟิ่งชิวหรันอาจจะคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเช่นกัน นางรู้ดีว่าเป้าหมายเดียวของหวังเป่าเล่อในยามนี้คือการเดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐ ชายหนุ่มกังวลเรื่องนี้มากกว่านาง และแน่นอนว่าเขาเองยังกังวลเรื่องสงครามครั้งนี้มากกว่านางเช่นกัน
เมื่อชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร ก็แปลว่าโอกาสที่เขาได้รับและข้อมูลที่เขาได้มานั้นไม่มีประโยชน์กับสงครามครั้งนี้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หวังเป่าเล่อเพิ่งจะค้นพบว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังไม่ตาย ชายหนุ่มอยากเดินทางกลับยังวังลำดับสามและร้องขอให้เหล่าบรรดาปรมาจารย์ตื่นจากการจำศีลและมาช่วยรณรงค์ในสงครามครั้งนี้!
ทว่าสุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น!
ไม่มีใครรับรองได้ว่าความพยายามนั้นจะส่งผลดี มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าการปลุกพยัคฆ์มาไล่จิ้งจอกนั้น…อาจมีผลสะท้อนกลับรุนแรง พวกเขาอาจถูกพยัคฆ์ขย้ำกินเสียเองในตอนท้ายก็เป็นได้!
สหพันธรัฐในปัจจุบันไม่มีทั้งรากฐานและประสบการณ์ของการเป็นอารยธรรมฝึกปราณ ตามหลักการแล้ว พวกเขาควรจะแก้ปัญหาในปัจจุบันด้วยตนเองและค่อยๆ เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายที่ยากเกินหลีกเลี่ยง หวังเป่าเล่อก็เลือกจะพึ่งพาศิษย์พี่ของเขามากกว่าผู้อาวุโสสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วต้องการสิ่งใดกันแน่
คนสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างไรเสียก็เป็นคนนอกอยู่นั่นเอง…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มยังคงระมัดระวังตัวอยู่เสมอกระทั่งกับเฟิ่งชิวหรัน แต่เขาได้ซ่อนความระแวดระวังนี้เอาไว้เป็นอย่างดีขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไปสู่เกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ผ่านไปสองวัน!
สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิบริเวณด้ามกระบี่โหดร้ายน้อยกว่าตัวกระบี่มากนัก ความเร็วของหมอกเคลื่อนย้ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมาถึงเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลในอีกสองวันให้หลัง และตอนนั้นพลังปราณของเฟิ่งชิวหรันก็ฟื้นกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว
เกาะหลักนั้นแทบจะว่างร้างผู้คน มีเพียงผู้ฝึกตนจำนวนหยิบมือที่หลงเหลืออยู่ มีคนตระกูลไม่รู้สิ้นยืนยามอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจรับมือหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันได้ ทั้งคู่สังหารผู้ฝึกตนเหล่านั้นอย่างไร้เมตตา
การปะทะกันใช้เวลาไปเพียงสามสิบนาที สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดหรือแปดคนที่เหลืออยู่บนเกาะถูกสังหารสิ้น การกลับมาของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีการส่งสัญญาณ ไม่มีการปล่อยข่าว ทั้งคู่เดินทางต่อไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันที เมื่อสำรวจตรวจตราวงแหวนปราณเสร็จ พวกเขาก็รีบเปิดใช้งานมัน
ลำแสงส่องสว่างขึ้นส่งเสียงดังกระหึ่ม ก่อนจะฉายโชนขึ้นไปยังฟากฟ้า แผ่นดินสั่นไหว หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมองตากัน
“ผู้อาวุโสชิวหรัน เราควรจะอยู่ด้วยกัน โปรดตามข้ามา…เราจะสู้ฝ่าออกไปพร้อมกัน!”
“เรารออีกวันหนึ่งไม่ได้หรือ ข้าต้องการเวลาอีกวันเดียวเท่านั้นในการฟื้นฟูพลังปราณ ตอนนี้ข้าเกือบจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว” เฟิ่งชิวหรันนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะถาม
หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยคำ หากแต่หันหน้าไปหานางและก้มคำนับต่ำ
เฟิ่งชิวหรันจ้องมองหวังเป่าเล่อ นางสัมผัสได้ถึงภาระที่ชายหนุ่มแบกเอาไว้บนบ่า หญิงวัยกลางคนทำได้เพียงทอดถอนใจและไม่ตอบคำ เพียงแต่เรียกใช้พลังปราณของตน พลังขั้นเชื่อมวิญญาณทะลักล้นออกมาจากร่างขณะที่นางก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เส้นปราณสีโลหิตปรากฏขึ้นทั่วกาย ส่งเสียงดังเปรียะขณะที่รวมตัวกันเข้าเป็นเกราะจักรพรรดิสีโลหิต ร่างใหญ่ยักษ์น่าสะพรึงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระหายการต่อสู้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเช่นกัน
วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มทำงานในวินาทีนั้น แสงสว่างจ้าฉายฉาบไปยังสรวงสวรรค์ขณะที่พลังวิญญาณทะลักเป็นคลื่นออกมาภายนอก ทั้งสวรรค์และพื้นปฐพีสั่นสะเทือน สายลมคลั่งพัดโบกอย่างรุนแรงทำให้ก้อนเมฆแตกกระจาย ก่อนที่ทั้งคู่…จะหายตัวไป!
………………………………