หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 391 เขตปกครองตนเอง!

บทที่ 391 เขตปกครองตนเอง!

เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งจากสำนักสหชุมนุมสกุณา… หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยขณะดูเอกสารที่เจ้านครดาวอังคารส่งมาให้ ในที่สุดชายหนุ่มก็รู้ชื่อเสียงเรียงนามของชายที่พยายามปล้นเขาเสียที หมอนั่นชื่อเวินไหวนี่เอง

หวังเป่าเล่อมีภาพจำติดตรึงเกี่ยวกับเวินไหวว่า… เขาค่อนข้างไม่มีจะกิน

หากแค่จนก็คงจะไม่เป็นไร แต่เวินไหวยังพยายามทำตัวน่าเกรงขาม และนำผ้าพันแผลสีดำมาพันรอบตัวเอง หุ่นเขาไม่ได้ดีเท่าข้าเสียด้วยซ้ำ ดูก็รู้ว่าหมอนั่นผ่านช่วงวัยหนุ่มมาอย่างไม่อุดมสมบูรณ์เหมือนข้า… หวังเป่าเล่อตบพุงตนเอง เมื่อฝีมือเขาพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มกลายเป็นคนที่เบื่อหน่ายกับความไร้เทียมทานของตน ไม่มีใครเอาชนะเขาได้สักที

แต่ความรู้สึกเบื่อหน่ายนั้นก็หายไป เมื่อชายหนุ่มอ่านประวัติของเฉินมู่ดูอีกครั้ง เฉินมู่มาจากตระกูลนภาห้าสมัยที่ทรงอำนาจเสียยิ่งกว่าตระกูลจั่ว แม้ทั้งสองจะเป็นตระกูลใหญ่เหมือนกัน แต่ตระกูลเฉินนั้นมีสมาชิกมากถึงเกือบร้อยละสามสิบ ของสมาชิกในตระกูลนภาห้าสมัยทั้งหมด!

เฉินมู่คือบุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน เขาอาจไม่ใช่ผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลนภาห้าสมัยคนต่อไป แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตำแหน่งนั้นจะตกมาถึงเฉินมู่ในที่สุด

เอกสารประวัติที่เจ้านครส่งมาให้ข้านี่… น่าสนใจดีแท้ หวังเป่าเล่อกำแผ่นหยกเอาไว้ในมือและหรี่ตาลง เอกสารแต่ละชุดมีความคิดเห็นซึ่งอาจมาจากเจ้านคร หรือจากใครก็ไม่ทราบได้ เขียนกำกับไว้ บนใบประวัติของเฉินมู่มีเขียนอยู่ประโยคเดียวเท่านั้น

ทะเยอทะยานแต่ความสามารถไม่ถึง!

ความคิดเห็นบนเอกสารของเวินไหวนั้นโหดร้ายเสียยิ่งกว่า มันเขียนว่า จิตใจโหดเหี้ยมและดื้อแพ่ง!

ส่วนของฟางจิ้งจากสำนักสหชุมนุมสกุณานั้นดีขึ้นมาหน่อย ลายมือนั้นเพียงแต่บอกว่านางอารมณ์ร้อนเท่านั้น

หวังเป่าเล่อไม่ทราบว่าความคิดเห็นที่เขียนกำกับไว้นี้จริงหรือไม่ แต่ชายหนุ่มก็คาดว่าน่าจะเป็นความคิดของเจ้านครที่มีต่อบุคคลเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงอดนึกไม่ได้ว่าเจ้านครจะเขียนอะไรลงไปบนใบประวัติของเขา หากนางมีโอกาสได้ประเมินความสามารถของเขา

ไม่เห็นต้องคิดมากข้าก็รู้ว่านางจะพูดว่าอะไร หล่อเหลา หลักแหลม อ่อนโยนที่สุดในสหพันธรัฐ ข้าฟังคำพูดเหล่านี้จนเบื่อเสียแล้ว หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ความคิดเห็นทั้งสามข้อนั้นไม่ได้มีผลอะไรกับเขา ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองควรใช้ความคิดเห็นของคนอื่นเป็นข้ออ้างอิงเท่านั้น เพื่อที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อความคิดตนเอง จนมองว่าทุกคนรอบตัวนั้นช่างโง่เขลาเบาปัญญา

แต่ไอ้เฉินมู่นี่มันโง่เป็นบ้า! หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ ทว่าชายหนุ่มก็รู้ดีว่า แม้ทั้งสามคนนี้จะไม่ได้ได้ตำแหน่งมาด้วยความสามารถแต่ได้รับการแต่งตั้งมา การที่ทั้งสามขึ้นมามีอำนาจได้ก็เป็นผลจากการหารือกันระหว่างสหพันธรัฐ ดาวอังคาร และกลุ่มอำนาจที่เหลือ

นอกจากนี้ในเอกสารยังกล่าวไว้ว่า ทั้งสามไม่ได้มาตัวเปล่า แต่จะนำทรัพยากรจำนวนมากมาด้วย เช่นเดียวกับหลินเทียนหาว กงเต๋า และจินตั้วหมิง ที่จัดหาทรัพยากรมาสร้างนครแห่งใหม่นี้เช่นกัน

กลยุทธ์ของสหพันธรัฐและดาวอังคาร คือทำให้ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุดโดยตนเองเสี่ยงน้อยที่สุด เป็นเช่นนี้ไม่เคยเปลี่ยน… ข้าสงสัยนักว่าไม่มีอย่างอื่นให้เล่นแล้วหรือ หวังเป่าเล่อส่ายหน้า แม้คนที่มอบทรัพยากรให้นครใหม่เยอะที่สุดจะเป็นเฉินมู่ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจอีกฝ่ายอยู่ดี เฉินมู่นั้นเหมือนเสี้ยนหนามขวางหูขวางตาของเขา

แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่านครใหม่แห่งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเขตเมือง ทั้งในด้านความสำคัญ ขนาด และโอกาสในอนาคต นอกจากนี้ตัวเขาเองยังมีอำนาจมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อำนาจและสิทธิประโยชน์เหล่านั้น ย่อมมาพร้อมความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นกับสหพันธรัฐและกลุ่มอำนาจอื่นๆ เสมอ

ความไม่ลงรอยเหล่านี้อาจเรียกว่าเป็นสนามรบขนาดย่อมก็ได้ ทว่ามันไม่ใช่การประลองที่อาศัยพละกำลัง หากแต่เป็นการประลองทางความคิด ห้ำหั่นกันด้วยความฉับไวในการรับสถานการณ์

ขั้นปราณของข้ายังต่ำต้อยนัก หากข้ามีปราณขั้นจุติวิญญาณ แค่ดีดนิ้วทีเดียวพวกน่ารำคาญเหล่านี้คงราบคาบไปเสียหมดสิ้นแล้ว ตระกูลหรือก๊กที่หนุนหลังพวกนี้คงจะไม่กล้าพูดอะไรด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองพลางถอนใจ เขากัดฟันกรอด และเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฝึกปราณต่อไป

ตลอดชีวิตของข้า หวังเป่าเล่อคนนี้ ทุกสิ่งที่ข้าได้มาครอง ล้วนมาจากความพยายามของตัวเองทั้งสิ้น ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเสียหยาดเหงื่อและหลั่งโลหิตไปมากเท่าใด! พวกนั้นไม่มีวันรู้หรอกว่าแม้แต่ตอนที่ข้ากินขนม ข้ายังคิดเรื่องการพัฒนาขั้นปราณไปด้วยเลย! แววแห่งความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้แม่นางน้อยจะช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมาก แต่ถึงไม่มีนาง ความสำเร็จของเขาก็คงไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าตอนนี้เสียเท่าไหร่ หากดูจากพรสวรรค์และใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว

อย่างไรเสียสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว คนหน้าตาดีย่อมได้รับความปรานีจากโลกใบนี้เสมอ ถึงอย่างไรความงามก็ต้องมาคู่กันกับดวง

การที่ข้าได้เจอแม่นางน้อยพิสูจน์เรื่องนี้ได้ดี ข้ารู้ว่าแม่นางน้อยตั้งใจออกตามหาข้าจนเจอ เพราะนางชื่นชมในความสามารถของข้า แม่นางน้อยอยากช่วยให้ข้าประสบความสำเร็จ

หวังเป่าเล่อตัวแทบลอยด้วยความคิดเช่นนั้น เขาสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกเหมือนความมั่นใจในตนเองพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ส่งผลให้แววตาของเขาสว่างวาบ ก่อนพลังปราณจะถูกปลุกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าปราณโลหิตของเขาเพิ่มพลังขึ้นตามระดับความมั่นใจ

ด้วยพลังจากความมั่นใจ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มทำสมาธิและฝึกพลังปราณต่อไป ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังปราณของตนพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าที่แข็งแกร่งขึ้น และวิชาแห่งศาสตร์มืดที่หมุนวนอยู่ภายในร่างกาย

พัฒนาการนี้ทำให้เขาพอใจ และรู้สึกเหมือนพรสวรรค์ของตนเองนั้นช่างแสนประทับใจเกินบรรยาย มิเช่นนั้นเขาคงไม่พาตนเองมาถึงขั้นปลายของระดับรากฐานตั้งมั่นได้ ขณะที่คนอื่นซึ่งเริ่มพร้อมกันกับเขาอย่างมากสุดก็ยังอยู่เพียงขั้นกลาง…

ข้าจะทะนงตนเช่นนี้ไม่ได้! ขณะที่เขารีบปรามตนเอง ประกายก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง คำเตือนที่ชายหนุ่มส่งให้ตนเองนี้ ทำให้เขายิ่งพอใจในความยอดเยี่ยมของตนมากขึ้นไปอีก

วันเวลาเดินหน้าผ่านไป หวังเป่าเล่อฝึกปราณครบวงจรเสร็จหลายครั้ง แต่นายกเทศมนตรีคนใหม่ทั้งสามคนก็ยังมาไม่ถึงเสียที ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องควบคุมการก่อสร้าง แถมเจ้าลาของเขาก็หายไปไหนไม่รู้ในช่วงนี้

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าเจ้าลายังอยู่ครบสามสิบสอง จึงไม่ได้สนใจว่ามันจะไปทำอะไรที่ไหน เขาจึงใช้เวลาว่างนี้ไปกับการปรับปรุงวัตถุเวทของตนเองแทน

เขามีวัตถุเวทในครอบครองมากมาย ทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับปรุงนานไปด้วย แต่ประสบการณ์การหลอมนี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจวัตถุเวทในเชิงลึกมากขึ้นไปอีก

นอกจากนี้เขายังใช้เวลาว่างไปกับการจินตนาการอานุภาพของวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืด ไม่นานนักเวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน

จนป่านนี้ เฉินมู่และนายกเทศมนตรีคนใหม่อีกสองคนก็ยังมาไม่ถึง เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มขมวดคิ้ว เขาคิดว่าควรเรียกหลินเทียนหาวเข้าพบเพื่อถามไถ่ หลังจากที่ออกจากการถือสันโดษเรียบร้อยแล้ว

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของหวังเป่าเล่อ หลินเทียนหาวก็หัวเราะอย่างขมขื่น และลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจบอกความจริง

“ท่านเจ้าเมืองขอรับ ตามข้อมูลที่ข้าได้รับจากนครดาวอังคาร เฉินมู่และนายกเทศมนตรีอีกสองคนที่เหลือเดินทางมาถึงดาวอังคารนานแล้ว แต่หลังจากมาถึง ทั้งสามก็ยังอยู่ที่นครดาวอังคาร เพื่อเข้าพบท่านเจ้านคร รองเจ้านคร และคนอื่นๆ ที่ควบคุมดูแลกรมกองต่างๆ… ข้าได้ยินมาว่าป่านนี้ยังเยี่ยมกันไม่ครบเลย…” หลินเทียนหาวมองหวังเป่าเล่อ และพูดด้วยเสียงเบา

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยิน เขารู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างมาก และคิดว่าทั้งสามคนนี้พยายามส่งสัญญาณอย่างชัดเจนในการเข้าเยี่ยมเยียนคนมากมาย ว่าพวกเขาไม่ต้องการเข้าพบเจ้าเมืองของตน

แต่พวกนั้นไม่ได้โง่แน่นอน เหตุใดจึงกระทำการโจ่งแจ้งเช่นนี้… นี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อยังคิดไม่ตก หลังจากที่หลินเทียนหาวออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังคิดหาเหตุผลอยู่

แต่ไม่ต้องคิดนาน หวังเป่าเล่อได้คำตอบที่ชัดแจ้งในวันที่สองหลังออกจากการถือสันโดษ เมื่อชายหนุ่มได้รับข้อความจากเจ้านคร

“เจ้าเมืองหวัง เฉินมู่ เวินไหว และฟางจิ้งจะเดินทางเข้าประจำตำแหน่งที่นครอาวุธเทพใหม่ในอีกไม่กี่วันต่อจากนี้ สหพันธรัฐได้อนุมัติเรียบร้อยว่า เขตใหม่ทั้งสามจะเป็นเขตที่สหพันธรัฐควบคุมดูแลโดยตรง โดยถือว่าเป็นเขตปกครองตนเอง!”

“ว่าอะไรนะขอรับ” แววเย็นชาวาบผ่านนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้ยิน สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจัง เขาก้มหน้าลงมองแหวนสื่อสารของตน

“ท่านเจ้านคร ท่านไม่คิดว่าสหพันธรัฐทำเกินไปหรือในคราวนี้ นี่คือเมืองที่ข้าปกครองดูแล แต่พวกเขายังกล้าสร้างเขตปกครองตนเองอีกกระนั้นหรือ”

“แม้จะปกครองตนเอง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของเจ้า” เจ้านครก็ไม่พอใจกับนโยบายนี้เช่นกัน แต่นี่เป็นมติของสหพันธรัฐ และนางไม่อยากเข้าไปแทรกแซงการเมืองระหว่างขั้วอำนาจ

หวังเป่าเล่อหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย เขารู้ได้ทันทีว่าตนเองจะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ชายหนุ่มต้องการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเองในฐานะเจ้าเมือง แต่เจ้านครดาวอังคารก็ถอนหายใจอีกครั้ง และย้ำว่านี่คือมติของสหพันธรัฐ

แต่นางก็บอกหวังเป่าเล่อว่าจะไม่ปล่อยให้ทั้งสามลอยนวล หากคนพวกนั้นทำนอกเหนือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย!

กว่าจะถึงตอนนั้นทุกอย่างคงสายไปเสียแล้ว พวกนี้ไม่ใช่หลี่อี้เสียหน่อย… หวังเป่าเล่อคิดแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา หลังจากที่ทำใจให้สงบกับข่าวอันไม่น่าพึงประสงค์นี้แล้ว ชายหนุ่มก็มีสีหน้าดุดันขึ้น ขณะวางสายจากเจ้านครดาวอังคาร

ไอ้สามตัวนี้ คิดว่าตนเองเก่งกล้ามากนักหรือ ข้ายอมให้พวกเจ้าแบ่งผลประโยชน์ไปในตอนแรก แต่ได้คืบกลับจะเอาศอก คราวนี้คิดจะเรียกร้องเอาเขตปกครองตนเองหรือ

ดี รอก่อนเถิด! ความเย็นชาเข้าปกคลุมดวงตาของหวังเป่าเล่อ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset