หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 688 อาจารย์ย่าเช่นนั้นหรือ

กระบวนเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลลอยอยู่ใกล้ๆ ดาวพุธ คล้ายกับว่าจะรู้สึกได้ถึงการมาถึงของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน เรือบินรบทั้งมวลต่างก็แปรขบวนมุ่งหน้าไปหาทั้งคู่ แสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะขัดขวางอย่างชัดเจน

หวังเป่าเล่อได้เปรียบเพราะมีทั้งความเร็วและความคล่องตัวสูง แถมขณะนี้ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ชายหนุ่มมองเห็นโชคชะตาของตนเองอยู่บนทะเลดวงดาว ความรู้สึกราวกับเป็นปลาที่เพิ่งหวนคืนสู่ท้องสมุทรอันยิ่งใหญ่มอบความหยิ่งผยองมากล้นให้ ชายหนุ่มยกมือไขว้หลังพลางหันหน้าไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ที่ตามอยู่ข้างหลัง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเฉยชา

“ผู้อาวุโสชิวหรัน ต่อไปข้าจะเร่งความเร็วแล้ว ตัวข้ามีเกราะจักรพรรดิแถมยังมีกำลังกายที่เข้มแข็งนัก ความเร็วของข้าในตอนนี้นั้น แม้ตัวข้าเองยังตะลึง เพราะบ้านเกิดของข้าอยู่ในหมู่ดาว หากท่านตามไม่ทันก็อย่าฝืนร่างกายเลย ได้โปรดบอกข้าโดยเร็วเถิด” หวังเป่าเล่อกำลังจะห้อตะบึงออกไปในขณะที่เฟิ่งชิวหรันจู่ๆ ก็มีสีหน้าแปลกแปร่ง นางยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะมีแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของนาง

แสงสว่างเจิดจ้านั้นมาหยุดอยู่ข้างกายเฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะขยายตัวขึ้นและแปรสภาพกลายเป็นกระบี่ขนาดยักษ์ขนาดยาวสามร้อยเมตร!

แม้ว่าจะมีรูปทรงคล้ายอาวุธ แต่คลื่นพลังวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาและโครงสร้างก็ดูชัดเจนว่าเป็นเรือบินรบขนาดย่อม อันที่จริงแล้วเรียกว่าเป็นกระสวยอวกาศอาจจะถูกต้องกว่า!

ผิวภายนอกของมันส่องแสงเรื่อเรืองที่ทำให้อากาศรอบๆ บิดเบี้ยว ดูคล้ายอสูรที่อยากพุ่งทะยานออกไปแต่มีผู้ควบคุมขี่อยู่บนหลัง มันพยายามดิ้นรนอยู่ไปมา และเมื่อใดก็ตามที่เชือกซึ่งคล้องคออยู่คลายออก มันก็พร้อมพุ่งทะยานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที!

หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นกระสวยนั้น เฟิ่งชิวหรันก้าวขึ้นกระสวยอย่างใจเย็น ก่อนจะหันศีรษะมามองหวังเป่าเล่อที่ยังตะลึงอยู่ นางไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่นัยน์ตาพูดแทนทุกสิ่ง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงดูอยากเสียแรงเหาะไปในเมื่อมีกระสวยอวกาศให้ใช้ได้ตลอดเวลา…

“หากเจ้าอยากเหาะไปด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่ขัดข้อง…” เฟิ่งชิวหรันจ้องลึกเข้าไปในตาหวังเป่าเล่อขณะที่เอ่ยตอบอย่างเห็นอกเห็นใจ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป…

ชายหนุ่มจ้องกระสวยตาไม่กะพริบ เห็นได้ชัดว่ากระสวยนี้เป็นวัตถุเวทที่น่าทึ่ง จากนั้นเขาจึงหลุบศีรษะลงมองขาทั้งสองข้างของตน หวังเป่าเล่อนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ต่อให้เป็นคนอับจนปัญญาก็ยังบอกได้ว่าการเดินทางด้วยกระสวยอวกาศและการใช้ขาทั้งสองข้างนั้นแตกต่างกัน…แต่ชายหนุ่มได้พูดไปเสียใหญ่โตก่อนหน้านั้น และคงน่าอับอายหากจะต้องคืนคำ เขาไม่แน่ใจนักว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็มองเห็นเรือบินสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาล้อมพวกเขาไว้ ผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งรีบรุดออกมาจากเรือบินเหล่านั้น ดาวพุธอยู่ใต้เท้าของพวกเขา เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ติดตามพวกเขามาในรูปขอพายุหมุนขนาดยักษ์เช่นกัน สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจังขึ้นในบัดดล

“ผู้อาวุโสชิวหรัน ช่างน่าเสียดาย สหพันธรัฐขณะนี้กำลังพบกับการรุกรานจากพลังชั่วร้าย ในฐานะศิษย์น้อง ข้าเสียใจที่ไม่อาจนำทางท่านต่อไปในขณะที่เราท่องอวกาศไปด้วยกันด้วยเท้าทั้งสองข้าง และจ้องมองดวงดาวต่างๆ ในสหพันธรัฐไปด้วยข้าขอปฏิญาณ ข้าจะชดเชยให้ท่านเมื่อเราขจัดพวกคนชั่วช้าเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินได้สำเร็จ เอาละ…เรารีบไปกันเถิด” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกเท้าก้าวขึ้นกระสวยไป ชายหนุ่มขึ้นไปยืนอยู่เคียงข้างเฟิ่งชิวหรันโดยไม่ใส่ใจสายตาแปลกแปร่งของนางที่จ้องมองมา สีหน้าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่มีร่องรอยของความเหนียมอายอยู่เลยแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถได้การพูดจากล่อมตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เฟิ่งชิวหรันเป็นศิษย์พี่ของตนและเป็นว่าที่ภรรยาของหลี่ซิงเหวิน ตนควรเรียกนางว่าอาจารย์ย่าด้วยซ้ำไป และไม่มีอะไรน่าอับอายหากต้องยอมอ่อนข้อให้ผู้เป็นอาจารย์ย่า การรู้จักนบนอบให้กับผู้ใหญ่ย่อมเป็นเรื่องดี!

หลังจากที่ได้ปลอบใจตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเขาช่างประพฤติตนได้เหมาะสมเสียจริง

เฟิ่งชิวหรันหันมาจ้องหวังเป่าเล่อครั้งหนึ่ง ความไร้ยางอายของเขาไม่ได้ทำให้นางขุ่นเคืองแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว มันออกจะน่าเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ นางเริ่มมองเขาเป็นเด็กที่ทำตัวสมอายุอีกครั้ง

เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น นางหัวเราะอย่างชื่นใจ ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยมือขวา ส่งให้มีแสงสีขาวจำนวนมากอาบชโลมพวกเขาก่อนจะไหลบ่าท่วมบริเวณนั้นราวกับเป็นแสงดาว แสงนั้นเริ่มเคลื่อนที่ ก่อนจะปลดปล่อยพลังอันรุนแรงและเคลื่อนตัวด้านหน้าด้วยความเร็วตัดผ่านอวกาศราวกับเป็นมีดที่ทะลุผ่านเนยเหลวกระนั้น กระสวยพุ่งออกไปไกลนำหน้าเรือบินรบและผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ มันทะยานหนีไปก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อในรูปพายุหมุนจากดาวพุธจะมาถึงตัว

กระสวยนั้นรวดเร็วกว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเสียอีก นับเป็นหนึ่งในสมบัติระดับสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดได้เห็นทั้งความรุ่งโรจน์และการล่มสลายของสำนัก กระสวยนี้มาอยู่ในความครอบครองของนางเนิ่นนานเสียจนอาจจะนับว่าเป็นของใช้ส่วนตัวของนางก็ได้ ความเร็วของมันพาเฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อลอยละล่องผ่านแนวสกัดของเรือบินรบศัตรูมาได้อย่างง่ายดาย

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อรู้สึกถึงความเร็วของกระสวย มีวงแหวนปราณอันหนึ่งฉาบเคลือบกระสวยเอาไว้ มันก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้ผู้โดยสารในกระสวยไม่รู้สึกวิงเวียนแม้จะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อก็ตามที ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้อความเสียง เพราะชายหนุ่มสามารถพูดได้ตามสบาย เขาหันหน้าไปมองดาวพุธที่หดเล็กลงทุกทีด้วยสายตาฉงนสงสัย

“เจ้าสิ่งนี้น่าประทับใจเสียเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อย่อตัวลงไปสัมผัสผิวภายในของกระสวย ความรู้ด้านวัตถุเวทบอกชายหนุ่มว่ากระสวยนี้ต้องเป็นอาวุธเวทระดับเก้าเป็นอย่างน้อย แม้จะไม่ใช่อาวุธเทพ แต่ระดับพลังของมันก็ถือว่าใกล้เคียง เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปทางเฟิ่งชิวหรัน

“ผู้อาวุโสชิวหรัน…ข้าขอยืมกระสวยไปศึกษาเสียหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”

เฟิ่งชิวหรันเลิกคิ้ว นางกำลังจะอ้าปากพูด แต่แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลของหลี่ซิงเหวินดังมาตามสาย

“เจ้าตัวแสบ ยังไม่ตายใช่หรือไม่ เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า”

หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความอบอุ่นเมื่อได้ยินเสียงของชายชรา ชายหนุ่มกดเปิดลำโพง ก่อนจะพูดเข้าไปในแหวนสื่อสารว่า

“ข้าน้อยขอบคุณท่านอาจารย์ปู่ที่เป็นห่วง โปรดวางใจได้ เป่าเล่อจะทำหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมา ข้าจะนำอาจารย์ย่าไปส่งถึงดาวศุกร์อย่างปลอดภัยให้จงได้ ต่อให้ต้องตายก็ตาม!”

หลี่ซิงเหวินเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เป่าเล่อ ทำได้ดีมาก อาจารย์ย่าของเจ้าสำคัญสำหรับข้ามากนัก ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดระยะเวลานี้ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง”

ลมหายใจของเฟิ่งชิวหรันขาดช่วงไปเมื่อได้ยินเสียงที่ดังผ่านแหวนสื่อสาร อารมณ์ความรู้สึกมามายถาโถม ฉายชัดอยู่ในแววตาและสีหน้าที่แปลกแปร่ง หวังเป่าเล่ออดที่จะชื่นชมหลี่ซิงเหวินไม่ได้ นับว่ามีประสาทสัมผัสไวสมกับเป็นอดีตผู้นำแห่งสหพันธรัฐโดยแท้ ชายชราเดาถูกตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อเรียกเฟิ่งชิวหรันว่าอาจารย์ย่า ว่าชายหนุ่มกดเปิดลำโพงแหวนสื่อสาร

“เป่าเล่อ ข้ากำลังไป เจ้าจงปกป้องอาจารย์ย่าและระวังพวกตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยเล่า… เป่าเล่อ ข้าติดหนี้เจ้าครั้งใหญ่แน่นอน ข้า…” หลี่ซิงเหวินมีน้ำเสียงร้อนรนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะพบเฟิ่งชิวหรันโดยเร็ว ชายชราไม่ได้มีโอกาสบอกความรู้สึกของเขาอย่างหมดเปลือก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกเคอะเขินเมื่อเฟิ่งชิวหรันกระแอมกระไอออกมา นางเองก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน

“หลี่ซิงเหวิน…”

“ชิวหรัน!” เสียงดังสนั่นเหมือนเก้าอี้ล้มดังมาจากอีกฝากหนึ่งของแหวนสื่อสาร ตามมาด้วยเสียงของหลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งขณะนี้แทบจะสิ้นสติด้วยอารมณ์ที่ถาโถม

“หลี่ซิงเหวิน เจ้า…”

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ชิวหรัน เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ปวดเมื่อยหรือเปล่าเล่า ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลเจ้าเองทันทีที่เจ้ามาถึงสหพันธรัฐ ข้าจะทำให้พวกคนที่รังแกเจ้าต้องชดใช้อย่างสาสม!”

เฟิ่งชิวหรันถึงกับเงียบงันเพราะถ้อยประกาศอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของหลี่ซิงเหวิน นางมีชีวิตผ่านสงครามมา ทำให้แก่ลงไปถนัดตา ความรักกลายมาเป็นสิ่งแปลกหน้าที่เกินจะเอื้อมถึง ถ้อยคำของหลี่ซิงเหวินทำให้นางสั่นไหวจนลึกถึงในใจ ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมาถนัดตา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอเบาๆ หลี่ซิงเหวินตอนนี้ทำตัวราวกับเป็นคนหนุ่มที่ลุ่มหลงในคนรักจนโงศีรษะไม่ขึ้น

หลี่ซิงเหวินรู้จักหวังเป่าเล่อดี ชายชราบอกหวังเป่าเล่อทันทีว่าให้ส่งแหวนสื่อสารให้เฟิ่งชิวหรันเสีย ชายหนุ่มไม่อาจทัดทานจึงต้องยอมทำตาม เมื่อแหวนสื่อสารไปอยู่ในมือนางแล้ว นางจึงหรี่เสียงลงก่อนจะพูดคุยกันหลี่ซิงเหวินต่อไป

หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่าหลี่ซิงเหวินพูดอะไรบ้าง แต่ใบหน้าของเฟิ่งชิวหรันดูจะแดงก่ำขึ้นมากหลังจากที่คุยกับอีกฝ่ายจบ นัยน์ตาของนางไม่สับสนอีกต่อไป แต่มีความศรัทธาและมั่นใจเข้ามาแทนที่

“อาจารย์ย่าชิวหรันขอรับ”

เฟิ่งชิวหรันผงกศีรษะขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อ นางไม่ได้ปฏิเสธชื่อใหม่นี้แม้แต่น้อย ทว่านางกลับหันเหทิศทางที่กระสวยกำลังมุ่งไป จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเร่งรีบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อาจารย์ปู่ของเจ้าบอกเส้นทางนี้กับข้า หากเราไปตามทางนี้ น่าจะใช้เวลาราวสองวันก็จะถึงจุดหมายและพบกับเขาก่อน หลังจากนั้น…” จู่ๆ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันศีรษะไปทันที แสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาก่อนจะแผ่กระจายออกเป็นทะเลสีแดงที่ปกคลุมกระสวยเอาไว้ทันที

อากาศข้างบนทะเลสีแดงบิดเบี้ยว ก่อนที่เรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลจะปรากฏขึ้นนับหมื่นลำ แต่ละลำส่องแสงสีแดงกล้าออกมา ซึ่งเป็นที่มาของทะเลสีแดงนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันต้องติดอยู่ภายในกระสวย!

ซ้ำร้าย หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่คุ้นเคยสี่กระแสซึ่งพวยพุ่งออกมาจากเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาล…ทั้งหมดต่างอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสิ้น!

………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset