หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 419 น้ำตาลโรยหน้าเค้ก!

บทที่ 419 น้ำตาลโรยหน้าเค้ก!

เมื่อมองเห็นใบหน้าที่ตื่นตะลึงของแขกผู้มาเยือน และแม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังยืนตาค้าง หลิวต้าวปินก็ภาคภูมิใจอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มลอบมองไปทางหลินเทียนหาวพลางหัวเราะอยู่ในใจ เขาคิดไปว่าหลินเทียนหาวนั้นมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะความสามารถก็จริง แต่หากเทียบกันแล้วก็ยังห่างชั้นกับตัวเขาหลายขุมนัก

เพราะหลิวต้าวปินนอกจากจะเก่งกาจแล้ว ความสามารถในการเอาอกเอาใจหวังเป่าเล่อของเขาก็ไม่เป็นรองใคร สำหรับเขาแล้ว ความสามารถข้อหลังสำคัญพอๆ กับข้อแรก มันเป็นความสามารถที่บิดาของเขาได้แสดงให้เห็นแถมยังสอนถึงความสำคัญให้ตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ บิดาเตือนเขาเรื่องนี้อยู่ตลอด และหลิวต้าวปินก็ไม่เคยลืมคำบิดาที่พูดขณะยกมือตบขาอย่างอารมณ์ดีตอนกำลังร่ำสุรา

“มนุษย์น่ะชอบถ้อยคำหวานหู ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หน้าไหนก็ชอบทั้งนั้น มีเพียงม้าและวัวเท่านั้นละที่จะไม่ชอบ เจ้ารู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลโรยหน้าเค้กคือสิ่งใด หากเจ้ามีเค้กแล้ว มีน้ำตาลโรยหน้าแล้ว ข้าก็คงไม่ต้องเป็นห่วงอนาคตของเจ้าอีกต่อไป ต้าวปินเอ๋ย หากวันใดเจ้าสามารถฝึกทักษะนี้จนสมบูรณ์ได้ เจ้าก็ก้าวนำทุกๆ คนไปก่อนแล้วก้าวหนึ่ง!”

ตอนแรกหลิวต้าวปินไม่ได้ใส่ใจคำพูดของบิดามากนัก เมื่อเขาได้เข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แผนชีวิตของเขาคือการได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวท ทว่าราวกับโชคชะตาเล่นตลก แผนชีวิตของเขาต้องพับไปก่อนเมื่อได้มาพบหวังเป่าเล่อ…

เช่นนั้นเอง หลิวต้าวปินจึงเดินตามรอยเท้าบิดา บนเส้นทางนี้ ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าชีวิตของบิดาตนไม่ได้ง่ายดาย ขณะเดียวกัน จากความรู้ของเขาเรื่องการประจบสอพลอ หลิวต้าวปินก็ได้พัฒนาทฤษฎีการประจบสอพลอในแบบของตนเองขึ้นมา

หลายๆ ครั้งการประจบไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด การกระทำอันเงียบเชียบนั้นได้เปรียบการโอ้อวดอย่างเปิดเผย แถมยังเป็นการแสดงถึงทักษะการประจบระดับสูงอีกด้วย! หลิวต้าวปินกระหยิ่มยิ้มย่องและไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับรูปปั้นเหล่านั้นแม้แต่น้อย ชายหนุ่มกลับนำทางหวังเป่าเล่อและคณะที่ยังคงตกใจไม่หายให้เดินชมเขตต่อ ขณะที่พวกเขาก้าวเดินไป รูปปั้นของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏให้เห็นตัวแล้วตัวเล่า เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงค่อยๆ จางหายไป หลินเทียนหาวผู้ยังคงตกใจอยู่ก็ทำใจยอมแพ้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว

พวกเขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องเดินชมอีกต่อไป เป็นที่เข้าใจได้ว่าภายในเขตปกครองตนเองของเวินไหวนี้ มีหวังเป่าเล่ออยู่ในทุกตรอกซอกซอย…ทุกคนจึงหันไปมองเวินไหวด้วยสายตาสงสาร

เวินไหวมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาในตอนนี้รู้สึกชินชากับทุกสิ่ง ตั้งแต่วันที่หลิวต้าวปินได้ตั้งรูปปั้นตัวแรกในเขตปกครองตนเองจนกระทั่งบัดนี้ รูปสลักของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มจำนวนขึ้นจนเกินจะนับ เวินไหวค่อยๆ ชินกับวิธีการที่หลิวต้าวปินใช้เพื่อล้างสมองลูกน้องของเขา…

ผลก็คือเวินไหวสูญเสียผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ไปมากอยู่ เขาเริ่มรู้สึกว่าแม้ศิษย์จากสำนักรุ่งสางจักรพิภพจะรู้จักเพียงการฆ่าฟัน แต่หากเทียบกับหลิวต้าวปินแล้ว พวกเขาก็บริสุทธิ์ผุดผ่องและไร้เดียงสากว่ามากนัก

ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมองเห็นเล่ห์เหลี่ยมของหลิวต้าวปิน แต่เพียงแค่ในแง่หนึ่งนั้น หวังเป่าเล่อก็มีอำนาจ และในอีกแง่หนึ่งก็คือหลิวต้าวปินเองไม่เคยซ่อนเจตนาที่แท้จริงของตน ชายหนุ่มกำลังบอกทุกคนว่าเขากำลังประจบสอพลอเจ้าเมืองอยู่และจะไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้

เช่นนั้นเอง คนอื่นๆ ก็พากันจนปัญญาที่จะหยุดเขา นอกจากไม่มีทางใดที่พวกเขาจะหยุดหลิวต้าวปินจากการประจบเอาใจหวังเป่าเล่อได้แล้ว ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ไม่อยากทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจตนเองผิด…ด้วยเหตุนี้ จำนวนรูปปั้นจึงเพิ่มมากขึ้นทุกที

ขณะที่เวินไหวรู้สึกไม่มีความสุขและสับสนในอารมณ์ หลินเทียนหาวและคณะกลับเงียบกริบ ส่วนหวังเป่าเล่อแม้จะตกใจแต่ก็ยังอยากดูต่อ เมื่อมองไปยังหมู่รูปปั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าพวกมันทั้งหมดช่างหล่อเหลา ยิ่งนัก เขาจึงมองไปยังหลิวต้าวปินด้วยสายตาพึงพอใจกว่าเดิม

เมื่อเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อ หลิวต้าวปินก็รู้สึกเปี่ยมพลัง พลางคิดไปว่าความพยายามของเขาในคราวนี้นั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็รู้ถึงขีดจำกัดของตนเองดีและรู้ว่าการประจบสอพลออย่างเดียวนั้นไม่พอ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มชวนหวังเป่าเล่อคุยอย่างร่าเริง

“ท่านเจ้าเมือง ท่านมาที่นี่เพื่อจะสืบว่าทำไมจึงไม่มีใครในเขตนี้ฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะใช่หรือไม่ขอรับ”

เมื่อได้ยินหลิวต้าวปินเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็ยิ่งพอใจ รอยยิ้มบนใบหน้าฉีกกว้างกว่าเคย ชายหนุ่มชี้ไปที่หลิวต้าวปินแล้วยิ้ม พลางหันไปมองหลินเทียนหาวและคณะที่อยู่ข้างกาย

“พวกเจ้าดูเสียสิ พวกเรายังไม่ได้ปริปากถาม แต่เขาก็เลือกที่จะตอบคำถามของเราก่อน”

หลินเทียนหาวยิ้ม เหล่าผู้ติดตามจึงต้องหันไปยิ้มให้หลิวต้าวปินกันทุกคน

“ท่านเจ้าเมือง เหตุที่ไม่มีใครในเขตนี้ฝึกวิชามารนั่นเลย เป็นเพราะข้าได้อธิบายให้ทุกคนฟังอย่างชัดแจ้งแล้ว ชัดเสียจนทุกคนรู้ดีว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้คิดค้นระบบการตบรางวัลและการลงโทษ ที่ทำให้ทั้งเขตนี้เปี่ยมไปด้วยผู้คนที่ขยันขันแข็ง!” หลิวต้าวปินละล่ำละลักรายงาน คำพูดของเขาทุกคำช่างไพเราะน่าฟัง ทว่าทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อต่างก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป

หลินเทียนหาวกระแอมกระไอก่อนจะส่งข้อความเสียงไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อเล่าถึงผลการสืบสวน เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟัง สีหน้าของเขาก็เริ่มไม่สู้ดี หลังจากที่รวมข้อมูลที่ได้ฟังเข้ากับข้อมูลของหลิวต้าวปิน ชายหนุ่มก็เข้าใจทันทีว่าสถานการณ์แปลกประหลาดนี้คืออะไร

อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่หลิวต้าวปินมาถึงเขตปกครองตนเองของเวินไหว เขาก็เข้าควบคุมฝ่ายวินัยของเขต และเริ่มใช้ระบบการร้องเรียนที่ง่ายดายมากๆ ทุกคดีที่มีการร้องเรียนเข้ามาถูกจัดการอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีการลงโทษหลากหลายระดับกับผู้กระทำความผิดและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนผู้ที่แจ้งเบาะแสจะได้รับรางวัล!

หลิวต้าวปินเริ่มสะสมผู้ติดตามส่วนตัวของเขา และจากความพยายามของหลิวต้าวปิน การร้องเรียนก็ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปในเขตปกครองตนเองของเวินไหว…

แม้จะไม่ค่อยมีผู้ร้องเรียนมากนักในตอนแรก แต่เมื่อจำนวนผู้ร้องเรียนเพิ่มขึ้น ประชาชนทุกคนก็เริ่มหวาดระแวงและกลายมาเป็นผู้ร้องเรียนบ้าง พวกเขาจะแจ้งทุกอย่างที่รู้สึกไม่ชอบใจ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กน้อยหรือรุนแรงเพียงใดก็ตาม

ในขณะเดียวกัน คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็กลายเป็นนักร้องเรียนมืออาชีพ พวกเขาร้องเรียนจนกระทั่งได้ทรัพยากรและศิลาวิญญาณจำนวนมากเพื่อการฝึกตน

เวินไหวเองก็จนปัญญา ทีแรกเขาตั้งใจสะสางเรื่องนี้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลิวต้าวปินเป็นตัวแทนของหวังเป่าเล่อ เขาก็ล้มเลิกความตั้งใจไปเสีย

ขณะที่ทุกคนเริ่มเคยชินกับการร้องเรียน ผู้ฝึกตนคนแรกที่มาเผยแพร่เคล็ดเวทอายุวัฒนะก็ถูกร้องเรียนโดยคนนับร้อยว่ามีท่าทีน่าสงสัย เขามาอยู่ในเขตได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำก่อนจะถูกลากตัวออกไป

ตอนนั้นหวังเป่าเล่อยังไม่ได้ตั้งกฎห้ามฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะ ทว่าการปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันของทักษะการฝึกตนนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องผิดปกติในเขตอื่นๆ แต่กลับเป็นความผิดร้ายแรงในเขตนี้ที่ทุกคนติดนิสัยการร้องเรียน ไม่ว่ามันจะเป็นปัญหาหรือไม่ ทุกคนก็เลือกที่จะร้องเรียนไปก่อน เพราะพวกเขาจะได้รับรางวัลหากเรื่องที่ร้องเรียนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมาจริงๆ

และถึงแม้จะไม่เป็นปัญหา การร้องเรียนก็เป็นโอกาสในการพิสูจน์ว่าพวกเขาเอาจริงเอาจังกับหน้าที่พลเมือง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้ว่าต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายหลิวต้าวปินกำลังรู้สึกสุขใจ พลางคิดไปว่าตนได้จัดการปัญหาอย่างไร้ที่ติ แต่เขาก็รู้สึกว่ายังสามารถแสดงความพยายามออกมาได้มากกว่านี้ ดังนั้นหลิวต้าวปินผู้พยายามจะดูเป็นลูกน้องที่มีความรับผิดชอบและซื่อสัตย์ จึงได้ประกาศกับหวังเป่าเล่อด้วยเสียงอันดังว่า

“ท่านเจ้าเมือง ตอนที่เคล็ดเวทอายุวัฒนะปรากฏขึ้นที่นี่เป็นครั้งแรก แม้ว่าจะยังไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุม แต่ต้าวปินผู้นี้ก็จำคำสั่งสอนของท่านเจ้าเมืองได้ขึ้นใจและไม่มีนิ่งนอนใจแม้แต่น้อย ในเวลาเดียวกัน ข้าก็ไม่อยากทำให้ท่านผิดหวังและไม่อาจปล่อยให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่นี่ได้ ดังนั้นข้าจึงสั่งห้ามมิให้ผู้ฝึกตนทั้งหลายฝึกเคล็ดเวทอายุวัฒนะ ข้าคิดจะตัดสินใจให้เด็ดขาดยิ่งขึ้นหลังจากสังเกตการณ์ไปสักระยะ แต่กลับเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน”

“โชคยังดี ที่ท่านเจ้าเมืองทั้งเก่งกาจและสามารถ จึงจัดการล้มแผนชั่วช้าที่อาจสั่นคลอนถึงความมั่นคงของดาวอังคารและนครใหม่ของเราได้ ต้าวปินผู้นี้ขอเป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนนับพันในเขตนี้ ขอบพระคุณท่านเจ้าเมืองที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้!” ขณะที่หลิวต้าวปินพูด เขาก็ก้มศีรษะต่ำพลางยกมือคำนับหวังเป่าเล่อ

เมื่อเห็นหลิวต้าวปินทำเช่นนี้ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในเขตที่ยืนล้อมเขาอยู่ก็ชะงักกันชั่วครู่ ก่อนจะพากันกุลีกุจอก้มหน้าคำนับหวังเป่าเล่อกันทั้งหมด แม้แต่เวินไหวและพวกก็จนปัญญา เมื่อเห็นว่าทุกคนทำกันหมด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกต้องก้มคำนับไปด้วย ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม

หลินเทียนหาวถึงกับหมดสิ้นถ้อยคำเมื่อได้เห็น ความระแวดระวังหลิวต้าวปินเพิ่มมากขึ้นในใจ เขาเองก็รีบโค้งคำนับหวังเป่าเล่อเช่นกัน หวังเป่าเล่อถึงกับนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินถ้อยคำขอบคุณที่ดังกระหึ่มอยู่รอบกาย เขาพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มหันไปปรามหลิวต้าวปินสั้นๆ ทว่าความพึงพอใจที่มีในตัวอีกฝ่ายกลับเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทุกคนเดินชมเขตกันต่ออีกระยะหนึ่ง หลังจากที่ได้เห็นว่าหลิวต้าวปินสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างในเขตได้ หวังเป่าเล่อและหลินเทียนหาวจึงเดินทางกลับหลังจากกล่าวชมเวินไหว

ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางกลับ ในห้องทำงานหนึ่งภายในเขตปกครองตนเองของเฉินมู่ เฉินมู่กำลังจ้องมองผู้ฝึกตนวัยกลางคนตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เจ้าเป็นใคร” เฉินมู่กล่าวอย่างแช่มช้า

ผู้ฝึกตนคนนั้นใส่เสื้อคลุมเต๋าของตระกูลนภาห้าสมัย เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ช่วยของเฉินมู่และเป็นคนที่นอบน้อมกับเฉินมู่อยู่เสมอ มาวันนี้ จู่ๆ ชายผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยต่อหน้าเฉินมู่ อากัปกิริยาและสีหน้าท่าทางต่างจากที่เคยเป็น ดูราวกับว่าเป็นคนละคน เฉินมู่สัมผัสได้ถึงอันตรายจากบุคคลผู้นี้

“สหายเต๋าเฉิน ไม่สำคัญหรอกว่าข้าเป็นใคร สิ่งที่สำคัญก็คือข้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเคล็ดเวทอายุวัฒนะ เจ้าจะให้คนของเจ้าจับข้าไปส่งหวังเป่าเล่อก็ได้ หาไม่แล้ว ก็จงมอบโอกาสให้ข้าและตัวเจ้าเอง ขอให้ข้าได้เป็นตัวแทนของเจ้านายข้าและอธิบายแผนของเราให้เจ้าฟัง…”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset