“ยันต์ใบนี้มีลักษณะเหมือนยันต์ทั่วไป มีการลงอักขระ วัสดุที่ใช้ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากกระดาษธรรมดาทั่วไป ตอนนี้มันอยู่ใต้ทะเลสาบในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หากสหพันธรัฐล่มสลายขึ้นมาจริงๆ หลังจากจบสงคราม เจ้าต้องเป็นคนไปเก็บยันต์มาและทำหน้าที่เป็นผู้ปกปักอารยธรรมของเราต่อไป ข้าได้ตรวจสอบยันต์มาแล้วและพบว่ายันต์ใบนี้…เหมือนจะเป็นสิ่งที่คล้ายกับของดูต่างหน้า!” หลี่ซิงเหวินมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาลุ่มลึกขณะพูดอย่างจริงจัง
หวังเป่าเล่อตะลึงงันไป ช่างเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการไปไกล สิ่งมีชีวิตใดกันที่สามารถหลอมวัตถุที่มีพลังมหาศาลขนาดปกป้องอารยธรรมหนึ่งขึ้นมาได้ด้วยการเขียนตัวอักขระลงบนกระดาษเท่านั้น
ศิษย์พี่จะมีพลังทำเช่นนี้ได้หรือไม่นะ… ชายหนุ่มหายใจถี่รัว นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมด จนไม่ทันสังเกตเห็นว่าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีหันมองกับด้วยสีหน้าลังเลใจ
เขาใช้เวลาไปพักหนึ่งกว่าจะทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ฟังมาทั้งหมดได้ หลี่ซิงเหวินเหมือนจะตัดสินใจอะไรได้จึงพูดต่อ
“เพราะเหตุนี้เราจึงต้องปกป้องดาวศุกร์ไว้ด้วยชีวิต แม้สุดท้ายมันจะถูกศัตรูถล่มราบคาบ มันก็ยังช่วยให้เราได้เตรียมพร้อมกับศึกตัดสิน และการเสียสละครั้งสุดท้ายของเราบนดาวอังคาร!
“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่ามีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ในดาวอังคาร และดูเหมือนว่าเจ้าล่วงรู้ความลับเหล่านั้นแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะทุ่มเต็มที่ในสงครามบนดาวอังคาร!”
หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและพยักหน้ารับอย่างจริงจัง หลี่ซิงเหวินรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร ชายหนุ่มก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ หากไม่ได้หลี่ซิงเหวินช่วยปิดเรื่องให้ ตนคงไม่สามารถเก็บเรื่องวัตถุเวทแห่งความมืดไว้เป็นความลับได้ ต้องมีคนอื่นล่วงรู้เป็นแน่
หลี่ซิงเหวินบอกขั้นตอนต่างๆ ให้หวังเป่าเล่อรู้อีกเล็กน้อย เมื่อราตรีมาถึง หวังเป่าเล่อก็ออกจากห้องลับไปด้วยดวงใจอันหนักอึ้ง
ต้วนมู่ฉีเองก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาหันมาหาหลี่ซิงเหวินพร้อมกับอ้าปากเตรียมพูด แต่ก็ไม่สามารถหาคำที่จะเอ่ยออกไปได้ ผ่านไปสักพัก เขาก็ถามขึ้น “เราจะไม่บอกความจริงทั้งหมดกับเขาจริงๆ หรือ”
“ให้บอกเรื่องอะไร เรื่องรูปปั้นในนครหลวงที่มาจากอารยธรรมโบราณของโลกน่ะหรือ เราไม่มีเวลาพอที่จะปลุกพวกมันขึ้นมาได้ ทำได้แค่ใช้งานเพียงครั้งเดียว เราสองคนก็ตรวจสอบกันมาแล้ว พวกมันไม่น่าจะสู้กับศัตรูได้ไหว แทนที่จะเอามาใช้เป็นอาวุธโจมตี เราควรเก็บมันไว้เป็นเครื่องป้องกันเหล่าผู้เหลือรอดดีกว่า!” ดวงตาของหลี่ซิงเหวินฉายแววแน่วแน่ เขาพูดเสียงเบาพร้อมกับยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ดึงพลังจากวงแหวนปราณระบบสุริยะมารวมอยู่รอบตัวสร้างเป็นชั้นป้องกัน
“อีกอย่าง ที่เขาไม่รู้คือส่วนสุดท้ายของความลับ เหตุการณ์นั้น…ถูกเก็บเงียบไปตั้งแต่หลายสิบปีก่อน เขาไม่ควรจะต้องมาแบกรับภาระนี้ ถ้าเราชนะศึกครั้งนี้ก็ดีไป แต่ถ้าเราแพ้ขึ้นมา ข้าอยากให้อดีตเป็นเพียงแค่อดีต กลายเป็นฝุ่นพัดหายไปกับสายลม เหลือไว้แค่ชีวิตใหม่และความหวังใหม่!” หลี่ซิงเหวินมองต้วนมู่ฉีขณะกล่าว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ลึกลงไปในดวงตามีแววกล้ำกลืนฝืนทนซ่อนอยู่ ราวกับว่ายังไม่อยากยอมแพ้ให้กับอะไรบางอย่าง
ต้วนมู่ฉีเห็นถึงอารมณ์ทั้งสองในแววตาของหลี่ซิงเหวินอย่างชัดเจน เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา ใบหน้าดูแก่ลง ในใจรู้สึกห่อเหี่ยว
“คนพวกนั้น…เลือกที่จะหนีไปหลายปีก่อน เลือกที่จะทิ้งที่แห่งนี้ไป แล้วจะทิ้งยันต์นี่ไว้ทำไมกัน…ท่านใบ้หวังเป่าเล่อไปว่ามันเป็นของดูต่างหน้า ไม่ใช่ว่านั่นคือเครื่องพิสูจน์ว่าท่านยังมีความหวังอยู่หรือ” ต้วนมู่ฉีถามเสียงเบา หลี่ซิงเหวินหลับตาลง ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่าย
ความเงียบงันเข้าปกคลุมห้องลับ ไม่มีใครพูดอะไรอีก หลี่ซิงเหวินถอนหายใจอยู่ภายใน ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่นที่ส่งผ่านไปถึงในปาก เขาไม่ได้บอกความลับส่วนสุดท้ายของโลกให้หวังเป่าเล่อฟัง แม้แต่ต้วนมู่ฉีก็ยังไม่รู้ความจริงทั้งหมด มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
จะบอกทั้งสองไปก็ได้ แต่ก็ไม่อยากทำเช่นนั้น ชายชราไม่อยากบอกหวังเป่าเล่อ ตอนที่ได้ค้นพบยันต์เมื่อหลายปีก่อน เขาได้ศึกษาและตรวจสอบมัน เขาขุดคุ้ยบันทึกทางประวัติศาสตร์และขุดค้นโบราณสถานต่างๆ ที่เคยปรากฏอยู่บนโลก ได้พบวัตถุต่างๆ และข้อมูลมากมาย ท้ายที่สุดแล้ว หลี่ซิงเหวินก็ค้นพบอะไรอย่างหนึ่งเข้า
เหล่าผู้ฝึกตนที่ปรากฏขึ้นในยุคกำเนิดวิญญาณไม่ใช้ผู้ฝึกตนกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ!
ทุกสิ่งประกอบรวมกันได้ข้อสรุปเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือ…โลกเคยเป็นกลุ่มย่อยหนึ่งของอารยธรรมโบราณอันยิ่งใหญ่ที่ต่อมาถูกละทิ้งไป หลี่ซิงเหวินเคยสงสัยว่าโลกน่าจะไม่สำคัญต่ออารยธรรมที่ยิ่งใหญ่นี้ ไม่มีโลกก็คงไม่ส่งผลอะไร อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้น่าจะมีอารยธรรมย่อยคล้ายโลกอีกนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาล
เราคงจะมีความสำคัญแค่มีสายโลหิตคล้ายกัน ทำให้ผู้คนบนโลกสามารถนำไปใช้เป็นทาสได้ พวกเขาใช้ที่แห่งนี้ทำอะไรกันแน่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์เช่นนั้นหรือ หลี่ซิงเหวินหลับตา เก็บงำความขุ่นเคืองไว้ภายใน เขาบอกใบ้หวังเป่าเล่อไปว่ายันต์แผ่นนี้อาจเป็นของดูต่างหน้า ไม่แน่ว่าต้วนมู่ฉีอาจพูดถูก ลึกๆ ภายในใจ ตนยังคงมีหวังอยู่
เขามั่นใจว่าคนที่ทิ้งยันต์ไว้ให้ไม่ใช่คนจากอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นคนบนโลกที่ถูกอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่พาตัวไป จึงแอบทิ้งยันต์เอาไว้บนโลกอย่างลับๆ!
เวลาผ่านไป คนทั้งคู่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ หวังเป่าเล่อไม่ทราบเลยว่าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีคุยอะไรกันหลังจากที่เขากลับออกไปแล้ว ชายหนุ่มไม่รู้ความลับเรื่องอารยธรรมโบราณและการคาดเดาของหลี่ซิงเหวิน แต่ระดับการฝึกตนของเขาแซงหน้าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีไปแล้ว จิตสัมผัสวิญญาณจึงแข็งแกร่งขึ้นมาก ทำให้…หวังเป่าเล่อสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะที่ส่งมาคุ้มกันห้องลับหลังจากตนกลับออกมา
อาจารย์ปู่…ไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง หวังเป่าเล่อตามผู้ฝึกตนจากฐานทัพดาวศุกร์ไปยังที่พักชั่วคราว เขาเดินเข้าไปนั่งในห้อง ความลุ่มลึกฉายชัดในแววตา
“ยันต์ใบนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” ชายหนุ่มพูดพึมพำ เขาเชื่อว่าหลี่ซิงเหวินไม่ได้คิดร้ายกับตนเอง หากให้วิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ตามความเชื่อนี้ ก็จะได้ข้อสรุปอย่างง่ายดาย สิ่งที่หลี่ซิงเหวินปิดบังอยู่ย่อมเกี่ยวข้องกับที่มาของยันต์แน่ ที่ชายชราไม่ได้บอกเขา คงเพราะมีเหตุผลบางอย่างทำให้บอกไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มเป็นกังวลเกินไป
เหล่าผู้สูงวัยล้วนอยากให้พวกเด็กน้อยปราศจากความกังวล พวกเขายอมแบกรับความเหนื่อยยากเอาไว้เอง พวกเขาอยากจะเป็นต้นไม้ใหญ่คอยปกป้องคุ้มครองลูกหลานให้ปลอดภัยจากสายลมและหยาดฝน ใช่แล้ว แต่เด็กคนนี้ที่ได้รับการปกป้องมาโดยตลอดอยากจะเติบใหญ่ในเร็ววันเพื่อปกป้องต้นไม้ใหญ่บ้าง หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ
เขาหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาติดต่อหาพ่อกับแม่ หวังเป่าเล่อหายไปหลายเดือน ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกท่านเป็นเช่นไร แต่ก็พอเดาได้ว่าคงเป็นกังวลกันมาก โชคดีที่เจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาที่เลิกเก็บตัวฝึกตนไปเยี่ยมทั้งสองอยู่บ่อยๆ ให้พอได้ใจชื้น การปลอบใจของคนทั้งคู่ทำให้คู่รักวัยชราคลายความกังวลไปได้บ้าง
พอได้รับข้อความเสียงที่หวังเป่าเล่อส่งไปบอกว่ายังปลอดภัยดี คู่รักวัยชราก็หายเป็นกังวล ผ่านไปสักพัก เขาตัดสายไป จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง จั่วอี้ฟาน และคนอื่นๆ เพื่อบอกว่าตนกลับมาแล้ว ชายหนุ่มได้รับการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ดูจากความเร่งรีบและข้อความที่ตอบกลับมาสั้นๆ หวังเป่าเล่อก็ทราบว่าพวกเขาคงกำลังง่วนอยู่กับภารกิจของตนเอง
จั่วอี้ฟานเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ตอบกลับ หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดอะไรมาก เขาปล่อยหัวให้โล่ง พยายามไม่หมกมุ่นอยู่กับความลับที่หลี่ซิงเหวินไม่ยอมเปิดเผย ชายหนุ่มเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา อาจารย์ปู่คงบอกเรื่องราวทั้งหมดกับเขาเอง
ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยแววความคิดตรึกตรอง เขาเริ่มประเมินสิ่งต่างๆ ที่จะใช้ในศึกครั้งต่อไป เวลาผ่านไปเนิ่นนานก่อนที่จู่ๆ หวังเป่าเล่อจะร้องออกมาเสียงดัง “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องอันเป็นที่รักของท่านกำลังมีปัญหา ท่านศิษย์พี่ผู้หล่อเหลาและแสนไร้เทียมทานอยู่หรือไม่”
เขารออยู่นานแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจึงเริ่มขุ่นเคือง เขาไม่เชื่อว่าศิษย์พี่จากไปแล้ว แต่จะยอมเดิมพันทุกสิ่งว่าอีกฝ่ายยังอยู่แถวนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าศิษย์พี่ไม่อยู่ขึ้นมาจริงๆ จะกลายเป็นปัญหาขึ้นมาได้
“แม่นางน้อยผู้งดงามที่สุดในจักรวาล เจ้าอยู่หรือไม่…” หวังเป่าเล่อถอนใจและเรียกหาแม่นางน้อยในหัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น การตอบกลับของแม่นางน้อยขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาง และตอนนี้เหมือนว่านางจะอารมณ์ไม่ดีอยู่ ไม่ว่าจะเรียกสักกี่ครั้ง นางก็ไม่ยอมตอบกลับเสียที
พวกเขาเมินข้า! ได้ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเองไม่ได้! หวังเป่าเล่อแค่นเสียงไม่พอใจ เริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก
ยังมียักษ์อยู่บนดวงจันทร์และมีวัตถุเวทแห่งความมืดบนดาวอังคาร…แถมข้ายังใช้ความสามารถพิเศษของวิญญาณจุติดวงดาราได้ด้วย…
……………………..