เสียงพึมพำของดวงวิญญาณเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ ไม่ได้แฝงแววความสงสัยหรือกังขาในคำถามที่ถามออกไปเลย ราวกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีไม่ได้นึกสงสัยว่าเหตุใดจื่อเยว่ผู้เป็นภรรยาจึงทำเรื่องโหดร้ายกับเขาได้ลง เหมือนเขากำลังส่งผ่านความเศร้าโศกที่ความสัมพันธ์ต้องจบลงเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก เสียงพึมพำของเขาเป็นดังสองมือที่มองไม่เห็นซึ่งพยายามเอื้อมสัมผัสใบหน้าและลูบผมตรงแก้มของภรรยาที่บัดนี้ไม่ได้อยู่เคียงข้างแต่อย่างใด
แม้จะได้รับบาดเจ็บหนักขนาดที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถนึกภาพตามได้ แต่ดูเหมือนเขาจะยังคงถวิลหาเพียงภรรยาเท่านั้น…
หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ก็พอจะนึกถึงสิ่งที่เคยอ่านเจอเมื่อตอนเป็นเด็กได้รางๆ ว่าหากถลำลึกเข้าไปในภวังค์รักแล้วจะต้องพบเจอกับอะไร
คำตอบมีอยู่มากมาย อาจจะเป็นความถวิลหา อาจเป็นหน้าที่ อาจจะเป็นความเจ็บปวด หรืออาจจะสูญเสียดวงวิญญาณไป
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ เขาไม่ใช่ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับหม่นหมองด้วยอารมณ์มากมาย หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าที่ตนนึกเศร้าใจกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เป็นเพราะว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย หรือเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตาที่ยังหลงเหลืออยู่กันแน่!
หวังเป่าเล่อไม่ได้เสียเวลาค้นหาว่ามีความรู้สึกอื่นใดแฝงอยู่ในเสียงพึมพำของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีอีก เขาไม่รู้ว่าพลังพิเศษของวิชาแห่งศาสตร์มืดสามารถทำให้ล่วงรู้ความรู้สึกนี้ได้ เลือดที่พ่นออกไปและคาถาที่ร่ายคงช่วยสนับสนุนด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มตัวสั่นในทันทีหลังจากที่เสียงพึมพำผ่านหูไป ไม่สามารถเห็นเปลวแสงของดวงวิญญาณราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่แท้จริงได้อีก สิ่งที่เห็นในตอนนี้มีเพียงดวงวิญญาณหม่นหมองที่เกิดขึ้นใหม่เท่านั้น
“จื่อเยว่หรือ” แสงลุ่มลึกฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาหันมามองข้างตัวทันที แม่นางน้อยปรากฏกายขึ้นข้างชายหนุ่ม ดวงตาของนางที่มองไปยังราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้นเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและขมขื่น
หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอะไร เขายืนอยู่เงียบๆ ข้างแม่นางน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็เริ่มสั่นเทิ้ม เหมือนจะพยายามสลัดวิชาแห่งศาสตร์มืดของชายหนุ่มให้หลุดไป ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีร้องคำราม ทันใดนั้นแม่นางน้อยก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “เป่าเล่อ ข้าขอยืมเมล็ดดอกบัวของเจ้าหน่อย”
ชายหนุ่มปลุกเมล็ดดูดกลืนโดยไม่ลังเลใจ ทำให้ดอกบัวสีเขียวกวัดแกว่งไปมา เมล็ดดอกบัวเมล็ดหนึ่งหล่นลงบนมือของหวังเป่าเล่อ
เมล็ดนั่นไม่ใช่ของจริง เป็นเพียงภาพมายาโปร่งแสง หวังเป่าเล่อยื่นเมล็ดดอกบัวให้แม่นางน้อย
“ขอบคุณนะ” แม่นางน้อยกระซิบบอก นางหยิบเมล็ดดอกบัวไป ก่อนจะแปลงกายเป็นแสงพุ่งเข้ากลางหน้าผากราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ครู่ต่อมาราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีก็หยุดดิ้น ค่อยๆ เงียบเสียงและหลับตาลง ราวกับว่าได้หลับใหลไป
หวังเป่าเล่อเฝ้ามองอยู่เงียบๆ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป แสงจางๆ ก็ส่องสว่างออกจากตรงหน้าผากของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีพร้อมแม่นางน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างชายหนุ่ม ใบหน้าของนางดูเหนื่อยอ่อน ความเศร้าโศกเมื่อครู่กลายเป็นความเดือดดาลที่แฝงไปด้วยความเสียใจ
“จื่อเยว่คือเพื่อนคนแรกของข้าในสำนักวังเต๋าไพศาล” แม่นางน้อยกระซิบขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน
“ในวันที่นางแต่งงานกับเฉินโม่เฟิงศิษย์ของประมุขโจว ข้าได้มอบวัตถุเวททรงพลังที่ได้มาจากบิดาเป็นของขวัญให้นาง
“เต๋าที่ทรงพลังที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลคือเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า บิดาของข้ากล่าวยกย่องมันไม่จบไม่สิ้นหลังจากที่ได้อ่านเจอ ประมุขโจวได้ฝึกกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า การจะส่งต่อกระบวนเวทนี้ให้คนอื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่ ในแต่ละรุ่นจะมีผู้สืบทอดเพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น โดยที่ผู้สืบทอดจะต้องได้รับมอบเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณของอาจารย์ผู้ส่งต่อวิชา…”
“เฉินโม่เฟิงเป็นศิษย์คนเดียวของประมุข เขาคือคนต่อไปที่จะได้ฝึกวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล!” แม่นางน้อยกล่าว จากนั้นก็หยุดชะงักไป เหมือนจะไม่สามารถพูดต่อได้อีก
“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ เจ้าอยากทดสอบดูว่าดอกบัวของเจ้าจะใช้ควบคุมเขาได้หรือเปล่าเช่นนั้นสินะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ อย่ารบกวนการพักผ่อนของศิษย์พี่เฉินเลย…ข้าเหนื่อย…” เสียงของแม่นางน้อยเบาบางลงเรื่อยๆ ก่อนจะหายวับไปเมื่อนางกลับสู่หน้ากาก เหมือนว่านางจะเข้าสู่ภวังค์นิทราอีกครั้ง หรือไม่ก็สูญเสียความเป็นตนเองไปหลังจากครุ่นคิดถึงความโหดร้ายที่คนคนหนึ่งสามารถกระทำลงไปได้
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แม่นางน้อยเดาเป้าหมายของเขาถูก ชายหนุ่มตั้งใจจะตรวจดูความสัมพันธ์ระหว่างดอกบัวสีเขียวกับราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เพราะอยากรู้ว่าตนจะสามารถควบคุมราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีได้หรือไม่ เขาไม่รู้เรื่องอดีตของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยทำอะไรลงไปตอนเข้าไปในหน้าผากของราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่ก็พอจะเดาได้บ้างจะสิ่งที่นางพูด
ตระกูลไม่รู้สิ้นบุกมา ก่อนที่ประมุขโจวจะพ่ายแพ้ในการสู้รบ เขาได้ส่งวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าให้เฉินโม่เฟิงศิษย์ของเขา เฉินโม่เฟิงต้องแบกภาระอันหนักอึ้งแต่กลับโดนเนื้อคู่แห่งเต๋าของตนหักหลัง สมองถูกชิงไปเพื่อสกัดเอาความทรงจำ หัวใจถูกควักออกไปเพื่อขโมยดวงวิญญาณ เต๋าโดนทำลายทิ้งทั้งยังถูกชิงพลังปราณไป ทั้งหมดนี้นำไปใช้หลอมเป็นเมล็ดพันธุ์ดวงวิญญาณเพื่อที่เนื้อคู่แห่งเต๋าของเขาจะได้ฝึกกระบวนเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าได้ หวังเป่าเล่อจ้องมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่กำลังหลับใหลอยู่
วิธีการของจื่อเยว่นั้นแสนจะโหดร้ายป่าเถื่อน เหมือนนางจะพยายามกันไม่ให้ราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีตื่นขึ้น นางไม่รู้เลยว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดชังนาง มีแต่ความรู้สึกถวิลหาเพียงเท่านั้น… ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงระหว่างเมล็ดดอกบัวและราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรี เขาถอนหายใจ ความสงสารในแววตาเลือนหายไป หวังเป่าเล่อหันกลับออกจากถ้ำ พริบตาต่อมาก็ไปลอยอยู่กลางอากาศด้านนอกถ้ำแล้ว
เหมือนว่าดอกบัวสีเขียวและราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีจะมีความเชื่อมโยงกัน หรือว่า…เขาจะเป็นเจ้าของคนก่อนของดอกบัวสีเขียว หรืออาจจะไม่ใช่…เจ้าของคนก่อนอาจจะเป็นประมุขโจว อาจารย์ของเขาก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่เอ่ยถามรบกวนแม่นางน้อยที่กำลังเศร้าอยู่ เขาทะยานออกไป เงยหน้ามองหมู่ดาวบนท้องฟ้า
เต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลหรือ ถึงจะเป็นกระบวนเวทอันทรงพลัง แต่ใครกันที่ยอมถึงขั้นทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง…ตัวข้าคงไม่ทำเช่นนั้นแน่ ชายหนุ่มหันมองราชาเผ่าพันธุ์อมตะราตรีที่หลับใหลอยู่ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังฐานทัพดวงจันทร์
สามวันผ่านไป หวังเป่าเล่อคอยควบคุมดูแลและตรวจสอบกระบวนการต่างๆ อย่างละเอียด เขายืนอยู่ในศูนย์บัญชาการของฐานทัพดวงจันทร์ จ้องมองข้อมูลนับไม่ถ้วนเลื่อนผ่านหน้าจอมากมายท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนที่กำลังยุ่งมือเป็นระวิง ในที่สุดชายหนุ่มก็สั่งการให้ออกเดินทาง!
“ออกเดินทางได้!”
เครื่องยนต์ทั้งหมดบนดวงจันทร์ทำงานเต็มกำลังเมื่อเสียงของหวังเป่าเล่อดังก้องขึ้น!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วเมื่อพลังงานจำนวนมากเริ่มมารวมตัวกันภายในดวงจันทร์หลังจากที่เครื่องยนต์ทำงาน พลังงานสะสมรวมมากขึ้น ดวงจันทร์เริ่มสั่นไหวและค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากวงโคจร แรงดึงดูดของโลกยังทำให้ดวงจันทร์อยู่กับที่ พวกเขาต้องการเวลามากกว่านี้ในการพาดวงจันทร์ออกจากวงโคจรปกติได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังต้องการเวลาให้ดวงจันทร์รวบรวมพลังงานมาต้านทานแรงดึงดูดของโลกอีกด้วย
“วงแหวนปราณดวงจันทร์เปิดทำงานสมบูรณ์ จากการจำลองข้อมูลพบว่าถึงจะใช้ความเร็วเต็มพิกัด ดวงจันทร์ก็ยังคงเสถียรภาพไว้ได้อยู่!”
“ตอนนี้รวบรวมพลังได้ร้อยละหกสิบ กำลังขึ้นไปถึงร้อยละเจ็ดสิบ!”
“ค่าทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขออนุญาตดำเนินการจุดระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกเพื่อเพิ่มแรงผลัก!” หลายฝ่ายส่งรายงานเข้ามายังศูนย์บัญชาการอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อพยักหน้ายินยอมให้จุดระเบิดต้านทานวิญญาณ
ในดวงจันทร์นั้นมีระเบิดต้านทานวิญญาณอยู่จำนวนมาก หวังเป่าเล่อเพิ่งจะทราบหลังจากได้สิทธิ์ควบคุมดวงจันทร์ เขาตระหนักว่าสหพันธรัฐพยายามแสร้งทำเป็นดูอ่อนแอ แต่จริงๆ แล้วคอยสร้างระเบิดต้านทานวิญญาณเก็บเอาไว้อยู่หลายปี
ระเบิดต้านทานวิญญาณสิบลูกระเบิดขึ้นสร้างเสียงดังกึกก้อง ส่งแรงขับเคลื่อนดวงจันทร์ให้เพิ่มขึ้นไปเป็นร้อยละเก้าสิบ ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงปะทะ
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผน รอการอนุมัติเพื่อผสานเข้ากับวงแหวนปราณระบบสุริยะเพื่อส่งแรงผลักครั้งสุดท้ายให้ดวงจันทร์!”
“อนุมัติ!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและตะโกนสั่งการ ดวงจันทร์และระบบสุริยะเริ่มทำการผสานรวมกัน เมื่อเสร็จสมบูรณ์ ดวงจันทร์ก็สั่นไหว พลันหลุดออกจากแรงดึงดูดของโลก…จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังหมู่ดวงดารา!
การออกตัวของดวงจันทร์สร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงโลก ประชากรบนโลกเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ตรงที่ที่เคยอยู่อีกต่อไป บัดนี้มันเริ่มลอยออกไปไกล ขนาดค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ!
ใครได้เห็นก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด คลื่นทะเลปั่นป่วนเมื่อดวงจันทร์หลุดออกจากวงโคจร คลื่นยักษ์มากมายพลันก่อตัวขึ้น พร้อมจะถล่มผืนดินให้กลายเป็นดินแดนใต้ทะเล
โชคดีที่สหพันธรัฐเตรียมการรับมือเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เหล่าผู้ฝึกตนที่หลงเหลืออยู่บนโลกปลดปล่อยพลังต้านคลื่นยักษ์เต็มกำลัง ในที่สุดก็สามารถทำให้สงบได้ แต่ในหัวของเหล่าประชาชนยังคงจำภาพดวงจันทร์ลอยหายไปและคลื่นยักษ์ที่พลันก่อตัวขึ้นกะทันหันได้ไม่มีวันลืม!
สหพันธรัฐออกประกาศให้ทุกคนทราบถึงคนที่รับผิดชอบสั่งการฐานทัพดวงจันทร์ หวังเป่าเล่อคือคนที่ควบคุมดวงจันทร์และคอยกำกับดูแลกระบวนการทั้งหมด!
ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในสหพันธรัฐ อาจจะเหนือกว่าต้วนมู่ฉีไปอีก!
ขณะที่ดวงจันทร์หลุดออกจากวงโคจรและมุ่งหน้าทะยานไปในห้วงอวกาศ ณ ที่แห่งใดสักแห่งบนดาวพุธ บนเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น โยวหรันที่นั่งสมาธิและซ่อมแซมชุดคลุมออกศึกที่ใช้ควบคุมเรือบินรบก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ชุดคลุมออกศึกเบื้องหน้าเกือบจะฟื้นฟูสมบูรณ์ เขาเงยหน้าขึ้นมองดาวศุกร์ ดวงตาเป็นประกายดำมืด ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงสั่งการก็ระเบิดดังก้องไปทั่วสำนักวังเต๋าไพศาล!
“ทำลายดาวศุกร์ให้พินาศ!”
……………………..