หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนขณะเอื้อนเอ่ย ชายหนุ่มกระโจนก้าวเดียวเข้าไปในความว่างเปล่าอันมืดมิดและอันตรธานหายไป ท้องฟ้าและพื้นดินของโลกภายนอกแปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ลมพายุพัดโหมกรีดร้อง หมู่เมฆหมุนวนถอยกลับ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ เหนือนครอาวุธเทพใหม่!
ชายหนุ่มไม่ได้เรียกชุดเกราะจักรพรรดิออกมา ไม่เรียกแม้กระทั่งดวงตาปีศาจ ไม่แม้แต่จะใช้เคล็ดเวทใดๆ เพียงแต่ลอยอยู่บนอากาศด้วยสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็นเท่านั้น สิ่งเดียวที่แตกต่างไปจากยามปกติ…คือเปลวไฟสีดำที่โชติช่วงอยู่ในดวงตาของชายหนุ่ม!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่ปลดปล่อยตนเองออกจากสถานการณ์อันตรายก่อนหน้านี้ได้ กลืนกินเลือดเนื้อของหุ่นเชิดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นนับไม่ถ้วนเข้าไป และกลับมามีสภาพร่างกายที่ยอดเยี่ยมจนดียิ่งกว่าเดิม กลับผงะถอยหลังไปเมื่อเห็นเปลวไฟสีดำนั้น!
พลังที่ร่างของหวังเป่าเล่อปล่อยออกมาทำให้ชายชรารู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่มีชุดเกราะจักรพรรดิ ไม่มีดวงตาปีศาจอยู่เบื้องหลัง พลังปราณก็อยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณ ทว่า…หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรง พร้อมด้วยเปลวไฟสีดำที่โชติช่วงอยู่ในดวงตา กลับทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรงที่กำลังจะมาเยือน เลือดในกายของชายชราเดือดพล่านปั่นป่วน ร่างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พาลสั่นสะท้านบอกเขาว่าไม่มีทางเลย…ที่เขาจะเอาชนะชายตรงหน้าได้!
เมื่อไม่มีศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันคอยเสริมกำลัง การต่อสู้บนสมรภูมิก็กลับมาสูสีคู่คี่กันอีกครั้ง การเตรียมตัวของกองทัพดาวอังคารและการโต้กลับอย่างแข็งแกร่งก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่การแปรพักตร์ของผู้ฝึกตนฝ่ายหนึ่งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและมาช่วยผู้ฝึกตนบนดาวอังคารก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเสมอกัน ฝ่ายที่แปรพักตร์นำโดยตู้กูหลินนั่นเอง พวกเขาร่วมสู้กับสหพันธรัฐ และเริ่มโจมตีหุ่นเชิดผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น
ความช่วยเหลือที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัว และคำพูดที่ฝ่ายของตู้กูหลินประกาศต่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมีผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขามากเช่นกัน ความเหนื่อยล้าจากการสู้รบ ทำให้พวกเขาเริ่มสงสัยในการกระทำของตนเอง การปรากฏตัวของเฟิ่งชิวหรันและคำบัญชาการที่ตามมาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ ทำให้ทุกคนเริ่มสองจิตสองใจ…แม้จะไม่เปลี่ยนข้าง แต่ก็เริ่มถอยร่นไปโดยสัญชาตญาณ และเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้แทน
ผู้ฝึกตนชั้นนำของสหพันธรัฐ รวมถึงเจ้านครดาวอังคาร หลี่ซิงเหวิน และต้วนมู่ฉี เฝ้าสังเกตการณ์การต่อสู้อย่างดุเดือดผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ตอนนี้ทุกคนสังเกตเห็น…อีกการต่อสู้หนึ่งที่กำลังอุบัติขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนครอาวุธเทพใหม่แล้ว!
ทุกคนเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าปะทะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เห็นความพยายามที่ไร้ผลของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ เห็นศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่แหกกรงขังออกมาได้สำเร็จและร่างใหม่ของเขาที่แข็งแกร่งกว่าเดิม รวมถึงวินาทีที่…ร่างจริงของหวังเป่าเล่อปราฏตัวขึ้น!
การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อเป็นห้วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของสงครามในครั้งนี้ การต่อสู่ระหว่างชายหนุ่มและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันคือการต่อสู้นัดที่สำคัญที่สุด หลี่ซิงเหวิน ต้วนมู่ฉี และเจ้านครดาวอังคารมองเห็นทุกอย่างผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคาร ในตอนนั้นเอง…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็เริ่มเปิดฉากโจมตี!
ความรู้สึกประหลาดที่หวังเป่าเล่อมอบให้เขา ทำให้ความหวาดกลัวถึงขีดสุดก่อตัวขึ้นในจิตใจ ส่งให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเริ่มใจเย็นไม่ลง เขารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แรงสังหารเข้ากัดกินดวงตา ขณะที่ร่างพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ใบหน้าทั้งหมดที่ปกคลุมร่างกายส่งเสียงกู่ร้องออกมาพร้อมๆ กัน พลังที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันปล่อยออกมานั้นพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า ผ่านขีดจำกัดของขั้นเชื่อมวิญญาณไปในที่สุด
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเปรียบเสมือนคลื่นยักษ์ที่โถมเข้าหาแพน้อยกลางทะเล เขาตั้งใจจะทำลายหวังเป่าเล่อให้สิ้นซาก ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งร่างกายและวิญญาณให้ดูต่างหน้า!
ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในดวงตาของชายหนุ่มก็สั่นระริก เขาดูไม่ยี่หระกับอันตรายที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่กลับยกมือขวาขึ้นชี้นิ้วลงไปที่ผืนดินแทน!
“เรือสำปั้นแห่งความมืด เข้าประจำที่!”
พื้นดินสั่นสะเทือนเมื่อสิ้นสุดคำพูด หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากใต้ดินรอบกายชายหนุ่ม กระจายขึ้นไปบนผืนฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง
หมอกสีดำเหล่านี้ปล่อยพลังงานรุนแรงออกมา เข้าห้อมล้อมร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้จนมิด เกราะกำบังปรากฏขึ้นเพื่อกันศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ให้ทะลวงเข้ามาได้ สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่จะทันได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางสิ่งก็ทำให้เขาต้องก้มลงไปมองที่พื้นเบื้องล่างเสียก่อน
พื้นดินดาวอังคารสั่นสะเทือน ผู้ที่มีพลังปราณสูงพอจนสามารถปล่อยจิตสัมผัสวิญญาณออกไปสำรวจ โดยมองข้ามพลังงานที่วัตถุเวทแห่งความมืดปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ที่ใต้ดิน สิ่งที่ถูกฝังอยู่ลึกลงไปในดินสีแดงของดาวอังคารใต้นครอาวุธเทพใหม่ คือวัตถุเวทขนาดยักษ์!
วัตถุเวทนั้นหน้าตาเหมือนเรือสำปั้นที่ดูเก่าแก่และอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ กระนั้นก็ยังมองเป็นรูปเป็นร่างอยู่ หากพินิจดูใกล้ๆ อาจสัมผัสได้ว่าเรือสำปั้นนี้อายุมากเพียงใด แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือพลังอันแข็งแกร่งที่ตัวเรือปล่อยออกมา
เรือสำปั้นสั่นไหวจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวในนครใหม่และพื้นที่โดยรอบเป็นบริเวณกว้าง หมอกสีดำยังคงพวยพุ่งขึ้นจากใต้พื้นดินไม่ขาดสายและมุ่งหน้าขึ้นสู่สวรรค์เบื้องบน จำนวนของมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ดูราวกับว่า…เรือสำปั้นนั้นหมายมั่นจะทำลายพื้นดินให้แหลกสลายลงเพื่อโผล่ขึ้นมา และกลับไปสู่ห้วงจักรวาลไพศาลที่มันจากมาให้ได้!
“นั่นมัน…” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่เห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ที่ใต้ดิน แต่ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล หัวใจของเขาเต้นระส่ำอยู่ในอก ความไม่อยากเชื่อเข้าจับจองดวงตาทั้งสองข้าง ในตอนนั้นเอง…พื้นดินเบื้องล่างก็ระเบิดราวกับโดนสายฟ้าฟาด ส่งเสียงดังลั่นกังวานไปในอากาศ
พื้นดินรอบนครอาวุธเทพใหม่ยุบตัวลง เรือสำปั้นแยกส่วนตนเองออก กลายร่างเป็นพลังปราณมืดเข้มข้นที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนทะเลหมอกสีดำ พลังปราณมืดวิ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างใต้เท้าของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง หมอกมืดก็กลายสภาพเป็น…เรือสำปั้นสีดำในที่สุด!
นี่คือ…หนึ่งในสมบัติเวทที่ไม่เคยห่างกายบุตรแห่งความมืด…เรือสำปั้นแห่งความมืดนั่นเอง!
การปรากฏตัวของมันทำให้ทั้งท้องฟ้าและพื้นดิน รวมถึงดาวอังคารทั้งดวงสั่นสะเทือน ห้วงอวกาศกระเพื่อมเป็นระรอก กระแสพลังปราณระเบิดพวยพุ่งสู่โลกภายนอก พร้อมพลังอำนาจยิ่งใหญ่ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน แม้กระทั่งคนที่แข็งแกร่งอย่างศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังรู้สึกตกใจกลัว เขากู่ร้องขณะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตรึงที่มั่นของตนเองไว้ แต่อำนาจอันยิ่งใหญ่ของเรือสำปั้นก็ทำให้ชายชราต้องล่าถอยไปในที่สุด
พลังของเรือสำปั้นแข็งแกร่งจนราวกับเป็นกำปั้นที่ทุบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าและทุกชีวิตให้แหลกเป็นผุยผงได้!
ไม่ว่าจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นเรือสำปั้นที่กำลังก่อรูปร่างขึ้นใต้ฝ่าเท้าของหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมัน พลังอำนาจของสมบัติเวทนี้ทำให้ผู้ฝึกคนจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลที่เลือกไม่สู้ต่อ ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เช่นกัน!
แม้กระทั่งหุ่นเชิดจากตระกูลไม่รู้สิ้นยังสั่นไหว รับรู้ได้ถึงอำนาจที่กดทับลงบนกายของพวกมัน จนเริ่มแสดงพฤติกรรมแปลกประหลาด อำนาจที่ควบคุมพวกมันอยู่เริ่มอ่อนกำลังลง เมี่ยเลี่ยจื่อและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน คำสาปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสาปไว้เพื่อล้างสมองเมี่ยเลี่ยจื่ออ่อนแอลงทันทีที่เรือสำปั้นแห่งความมืดปรากฏขึ้น ในตอนนั้นเองประกายความแจ่มแจ้งก็กลับมาปรากฏในดวงตาของเขาอีกครั้ง!
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากผู้ที่กำลังสังเกตการณ์ทุกสิ่งผ่านอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารอย่างเจ้านครดาวอังคาร หลี่ซิงเหวินจำเรือสำปั้นแห่งความมืดได้ในทันทีที่มันเผยโฉมสู่สาธรณชน มันคือ…อาวุธเทพลึกลับบนดาวอังคารนั่นเอง!
“ข้าว่าแล้ว! เป่าเล่อเป็นผู้ครอบครองอาวุธเวทนี้มาตลอด!” ความดีใจและความตื่นเต้นเอ่อล้นดวงตาของหลี่ซิงเหวิน ตอนนั้นเองเขาก็สัมผัสได้ถึงความหวังเป็นครั้งแรกตลอดสงครามที่ยืดเยื้อนี้!
ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และเจ้านครดาวอังคารต่างพากันตื่นเต้นดีใจถ้วนหน้า แน่นอนทุกคนเดาได้ว่าเรือสำปั้นนี้คืออาวุธเทพแห่งดาวอังคาร แต่ผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขากลับอุทานด้วยความตกใจ
“เรือสำปั้นประจำสำนักแห่งความมืด!” ผู้ที่อุทานนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก…ผู้ที่เป็นหัวใจหลักของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การวิญญาณแห่งสหพันธรัฐ ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เจ้าผินฟางนั่นเอง!
แต่พวกเขาก็ไม่มีเวลาซักถามเจ้าผินฟางเพิ่มเติมว่าอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีมองหน้ากันและตัดสินใจได้ในทันที หลี่ซิงเหวินสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โดยไม่ลังเลเพื่อปลุกอำนาจของวงแหวนปราณระบบสุริยะที่กำลังเดินหน้าทำงานต่ออย่างยากลำบาก แต่หลี่ซิงเหวินก็เชื่อมต่อพลังของมันเข้ากับพลังของอภิมหาวงแหวนปราณแห่งดาวอังคาร เพื่อถ่ายทอดภาพการต่อสู้นี้ไปทั่วสหพันธรัฐ!
สหพันธรัฐกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจนอาจถึงคราวล่มสลาย และกำลังต้องการวีรบุรุษ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทั้งอาณาจักรต้องการที่สุดในเวลานี้ คือความหวัง!
หวังเป่าเล่อคือวีรบุรุษที่สหพันธรัฐต้องการเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ เขาคือความหวังเพียงหนึ่งเดียว และชายหนุ่มตรงหน้าก็กำลังต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้!
ไม่ว่าผลจะออกมาว่าแพ้หรือชนะ… การต่อสู้นี้ต้องการสักขีพยานจากทุกภาคส่วนในอาณาจักร ถือเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเห็นด้วยตาของตนเอง!
ด้วยเหตุนี้ ในวินาทีถัดมา ทุกหน้าจอบนโลก ดาวอังคาร และที่อื่นๆ ในระบบสุริยะที่มีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอาศัยอยู่ จึงถ่ายทอดฉากการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น!
ดวงตาทุกคู่กำลังจับจ้องภาพที่เกิดขึ้นเหนือท้องฟ้าของนครอาวุธเทพใหม่ผ่านหน้าจอมากมายหลายล้านจอ ไม่ว่าจะเป็นในบ้านพักอาศัย บนถนนหนทาง ทั้งในในและนอกตึกรามต่างๆ!
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังระงมขึ้นทั่วโลก ขณะที่เสียงเคร่งขรึมจริงจังของหลี่ซิงเหวินประกาศก้องไปทั้งอาณาจักร
“ท่านผู้นี้คือเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐ เจ้าเมืองนครอาวุธเทพใหม่ประจำดาวอังคาร ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้บัญชาการแห่งดวงจันทร์ และผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในสหพันธรัฐ!
“นามของเขาก็คือ…หวังเป่าเล่อ!
“บทสรุปของการต่อสู้นี้ จะเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตของสหพันธรัฐและอารยธรรมของเรา!”
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะในชั่วอึดใจ ก่อนที่ทั้งอาณาจักรจะกึกก้องด้วยเสียงอุทานและเสียงตะโกนร้อง ผู้คนมากมายทะยานออกจากที่พักของตนเอง บ้างก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าจอที่อยู่เหนือศีรษะ บ้างก็กำลังตกใจอย่างถึงขีดสุด บ้างก็กำลังตัวสั่นด้วยความกลัวกระวนกระวาย…
ผู้คนทั้งสหพันธรัฐและทั้งโลกรวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทุกถนนและทุกตรอกซอกซอย… ในห้วงเวลานั้น เป็นห้วงเวลาของหวังเป่าเล่ออย่างแท้จริง!
บิดามารดาของเขา อาจารย์ที่เคยสั่งสอนกันมา สหายมากมาย รวมถึงตู้หมินและกระต่ายน้อย ศิษย์น้องร่วมสำนักทั้งชายหญิงจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนกระจัดกระจายอยู่ทั่วสหพันธรัฐในเวลานั้น แต่ก็มองไปที่ดาวอังคารอย่างพร้อมเพรียงกัน!
“เป่าเล่อ!”
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ!”
“เจ้าอ้วน…”
“พี่เป่าเล่อ …”
ดวงตาทุกคู่ในสหพันธรัฐมองชายหนุ่มไม่กะพริบตา ชายหนุ่มผู้ซึ่งยืนเหยียบเรือสำปั้นแห่งความมืด โอบล้อมด้วยพลังปราณมืดหนาแน่นบนท้องฟ้าเหนือนครอาวุธเทพใหม่ ผู้ที่กำลังสำแดงอำนาจให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องล่าถอย ยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้นเหมือนผู้ที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เขากางกั้นหยินและหยาง รวมถึงชีวิตและความตาย… เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงในดวงตาอีกครั้ง สีหน้าของชายหนุ่มสงบราบเรียบ เขายกมือขวาขึ้นและชี้ลงไปที่พื้นดินเบื้องล่างอีกครั้ง!
“ชุดคลุมแห่งความมืด เข้าประจำที่!”
………………………