หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 747 อารยธรรมกลายพันธุ์!

ขณะที่หวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักสถานการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อาวุโสคนอื่นอยู่เนืองๆ ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็บรรลุข้อตกลงกันอย่างรวดเร็ว

เมื่อไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขาจึงตัดสินใจจะใช้โอกาสนี้ขโมยของให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หากพวกเขาขโมยของได้มากพอ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อาจสามารถพลิกสถานการณ์วิกฤตทางการเงินได้

ขณะเดียวกัน หากสิ่งของที่พวกเขาขโมยมาไม่เพียงพอ พวกเขาก็ยังต้องหาสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายกลับบ้านจากผู้อาวุโสสูงสุดอยู่นั่นเอง ส่วนความคิดเห็นของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ นั้นไม่มีความหมายแต่อย่างใด

ทันทีที่ทั้งเจ็ดบรรลุข้อตกลงกันได้ ก็ต่างพากันไปคารวะผู้อาวุโสสูงสุดอย่างนอบน้อมและบอกกล่าวการตัดสินใจให้ได้รับรู้ ผู้อาวุโสสูงสุดระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะเมินบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเช่นกัน แล้วจึงปล่อยให้หวังเป่าเล่อและบรรดาผู้อาวุโสช่วยขับเรือบินรบไปด้วยกัน เรือบินรบพวยพุ่งออกไปในอวกาศด้วยความเร็วเต็มพิกัด

เมื่อเทียบกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว ห้วงอวกาศที่นี่มืดมิดกว่ามาก แต่ความรู้สึกแปลกแปร่งที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ รู้สึกไม่ได้ต่างกันมากนัก

กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เองก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เขาจำนองสำนักแลกสิทธิ์ในการเปิดดวงเนตรหมื่นปีศาจมา แต่ก็ต้องเลือกระยะทางการเคลื่อนย้ายอย่างคร่าวๆ เพราะไม่มีพิกัดที่แน่นอน

เพราะเหตุนี้ผู้อาวุโสสูงสุดจึงรู้เพียงว่าไม่เคยมีใครจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาเหยียบระบบดาวเคราะห์นี้มาก่อน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะพบเจออารยธรรมที่มีทรัพยากรให้แย่งชิงหรือไม่

ในความไม่แน่นอนนี้ หากจะจินตนาการว่าห้วงอวกาศเป็นดั่งมหาสมุทรมืดดำ เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็เป็นดั่งเรือเดียวดายที่ลอยเท้งเต้งอยู่ภายใน เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่สามเดือนจะพ้นไปในชั่วพริบตา

ตลอดสามเดือนนี้ ผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้แต่ก้มหน้ายอมรับโชคชะตาอย่างเงียบงัน แต่ประกายดุร้ายในดวงตาของพวกเขาก็ยังปรากฏขึ้นอยู่บางครั้งราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่หิวโหย แทบจะจินตนาการได้เลยว่าความไม่มีที่ไปนี้จะทำให้พวกเขาปลดปล่อยความดุร้ายออกมาทันทีที่พบเหยื่อ

ฝ่ายหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้อาวุโสดูผ่อนคลายกว่าผู้ฝึกตนที่เหลือมาก แต่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าความอึมครึมที่ลอยอยู่รอบๆ ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ เริ่มรุนแรงขึ้น แม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนความรู้สึกเอาไว้ อาการของเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาของหวังเป่าเล่อไปได้เช่นกัน ชายหนุ่มเห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ

มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ไม่กระวนกระวาย ในแง่หนึ่ง หากเขาต้องการจะหนี เขาก็สามารถหนีได้ทุกเมื่อ อีกแง่หนึ่ง ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์การใช้งานผนึกดวงเนตรหมื่นปีศาจเพื่อกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในกำมือ แม้จะสามารถชิงมาได้อย่างง่ายดายก็ตาม

ดังนั้นสำหรับชายหนุ่มแล้ว เขาไม่เพียงไร้ซึ่งความวิตกกังวล แต่ยังได้รู้เรื่องราวของราชวงศ์ สำนักใหญ่ทั้งสาม และประวัติศาสตร์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้นจากการพูดคุยกับบรรดาผู้อาวุโสในช่วงนี้อีกด้วย

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสักพัก ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องลงมือ หวังเป่าเล่อหรี่ตา สายตาของเขากวาดไปยังผู้คนรอบข้าง ชายหนุ่มลอบมองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดที่มีสีหน้าอึมครึมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปยังอวกาศสีดำสนิทอย่างผ่อนคลาย แต่ขณะที่จ้องมองออกไปนั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ถึงกับกระตุก

แทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเกร็งกระตุก เรือบินรบที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ทุ่มเทกายใจไปในการซ่อมแซมก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมในอวกาศที่ห่างออกไป ก่อนจะเปิดสัญญาณเตือนภัยขึ้น

ทันทีที่เสียงสัญญาณเตือนภัยดังก้องสะท้อนไปทั่ว ผู้ฝึกตนทุกคนบนเรือบินรบก็ตัวสั่นเทา ลมหายใจเริ่มกระชั้นถี่เร็ว โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดและบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคน พวกเขาต่างจ้องออกไป มีประกายแสงฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดขณะที่เขาสะบัดข้อมือหยิบเข็มทิศผลึกออกมา

เข็มทิศผลึกนี้มีขนาดเล็กจ้อย มันปล่อยคลื่นแสงเรืองเรื่อออกมาขณะที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของผู้อาวุโส เมื่อเขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือซ้ายและชี้ออกไป แสงนั้นก็เริ่มสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงอื้ออึงดังก้องไปทั่ว ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นเริ่มใช้ปากกาขีดวาดแผนที่ดวงดาวขึ้นในอากาศ

เมื่อแผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้น สายตาทุกคู่ในเรือบินรบก็เบนไปจับจ้องทันที

ดาวดวงแรกที่ปรากฏขึ้นคือดารานิรันดร์ที่ดูใกล้แตกดับเต็มที จากนั้นก็มีดาวเคราะห์ขนาดแตกต่างกันอีกหกดวงปรากฏขึ้นรายล้อมดารานิรันดร์เอาไว้…

ดารานิรันดร์ที่ใกล้จะดับสูญนั้นซีดจาง ขณะที่ดาวเคราะห์สองในหกดวงมีสีดำสนิท อีกสามดวงมีสีออกเขียวอมเหลืองที่หนักไปทางเขียวมากกว่า

ส่วนดวงที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้เป็นสีเขียว หากแต่กำลังเปล่งแสงสีเหลืองเรื่อเรืองออกมา!

ขณะที่แผนที่ดวงดาวและสีของดาวเคราะห์เริ่มปรากฏให้เห็น ลมหายใจของผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำบนเรือบินรบก็เริ่มถี่เร็ว ผู้อาวุโสข้างๆ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าขึงขัง ก่อนที่ใครสักคนจะตะโกนขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

“ไม่มีสีเหลืองบริสุทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไม่มีสีส้มที่แสดงถึงระดับดาวพระเคราะห์ และไม่มีสีแดงที่แสดงถึงผู้ที่แข็งแกร่งระดับดารานิรันดร์เช่นกัน!”

“ดาวเคราะห์หกดวง มีสองดวงเป็นสีดำ แสดงถึงการไร้ซึ่งความผันแปรของปราณวิญญาณ พวกเราลืมดาวเหล่านั้นไปได้เลย อีกสามดวงเป็นสีเขียวกึ่งเหลือง แปลว่าพลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวสามดวงนั้นอยู่ในขั้นจุติวิญญาณหรือเชื่อมวิญญาณเท่านั้น”

“ดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายเปล่งรัศมีสีเหลือง จากประสบการณ์ในอดีต พลังยุทธ์บนดาวดวงนี้เทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย!”

“อารยธรรมนี้ดูเป็นภัยพอสมควร แต่ก็ประหลาดอยู่พอประมาณ ดารานิรันดร์ของพวกเขากำลังจะแตกดับแท้ๆ ทำไมพวกเขายังไม่รีบหนีไปอีก”

หวังเป่าเล่อฟังคำพูดของบรรดาผู้อาวุโสข้างกาย ก่อนจะหรี่ตาลงและพูดขึ้นมาอย่างปุบปับ

“หากอารยธรรมนี้มีผู้นำที่แข็งแกร่งในขั้นเชื่อมวิญญาณ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีดาวเคราะห์ที่ว่างเปล่า แต่กระนั้น ที่นี่กลับมีดาวเคราะห์เปล่าอยู่ถึงสองดวง” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุด

ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มองไปยังแผนที่ดวงดาวและจ้องดาวเคราะห์สีดำทั้งสองดวงอย่างใกล้ชิด จากนั้นเขาก็พินิจมองดาวเคราะห์ที่ส่องแสงสีเหลือง ตามหลักการปฏิบัติพื้นฐานของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อพวกเขาพบอารยธรรมที่อ่อนแอกว่า พวกเขาจะเข้าไปใช้กำลังกำจัด และชิงทุกสิ่งมาจนหมด

แต่เมื่อต้องเผชิญกับอารยธรรมที่อาจจะเป็นภัย พวกเขาจะลอบเข้าไปใกล้ กระจายตัวออก และออกปล้นเป็นรายคน พวกเขาจะจดพิกัดของอารยธรรมนี้เอาไว้และมารวมตัวเพื่อหลบหนีในเวลาที่ตกลงกัน จากนั้นจึงเข้าไปปรึกษาบรรดาผู้นำของสำนักและตัดสินใจว่าจะเดินทางไกลมาบุกอารยธรรมนี้ดีหรือไม่

“ในเมื่อเราได้พบอารยธรรมใหม่ ขอให้เข้าไปตรวจดูว่ามันมีมั่งคั่งเพียงใด หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล เราจะออกจากที่นั่นทันที เรายังสามารถใช้พิกัดที่มีไปขอรางวัลจากสำนักใหญ่ได้!” ประกายแสงสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ขณะที่กำลังพูดด้วยความมุ่งมั่น

ในฐานะผู้นำแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จึงไม่กล้าพูดขัด เรือบินรบจึงเร่งความเร็วขึ้น วัตถุเวทที่ใช้พรางตัวจากการตรวจจับด้วยประสาทสัมผัสถูกเปิดใช้งาน ทำให้เรือบินรบทั้งลำพรางตัวเข้ากับจักรวาล ดูราวกับเป็นวิญญาณเร่ร่อนสีดำสนิทที่เคลื่อนที่เข้าใกล้ระบบดาวเคราะห์ของอารยธรรมแปลกหน้าเข้าไปทุกขณะ

ไม่กี่วันต่อมา เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในรูปแบบพรางตัวก็เข้าใกล้อารยธรรมแปลกหน้าได้สำเร็จ พวกเขาเดินทางเข้ามาสู่ระบบดาวเคราะห์โดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย ผู้อาวุโสสูงสุดบนเรือบินรบสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่แผนที่ดวงดาวสามมิติซึ่งชัดเจนกว่าอันที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้จะปรากฏขึ้นภายในเรือบินรบ

แผนที่ดวงดาวอันใหม่นี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง และเพราะเป็นสามมิติ มันจึงแสดงผลดาวเคราะห์ทั้งหกได้เกือบสามร้อยหกสิบองศา เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นพื้นผิวของดาวเคราะห์เหล่านั้นได้รางๆ เลยทีเดียว

เมื่อทุกคนมองเห็นดาวเคราะห์เหล่านี้ ผู้ฝึกตนพลังปราณต่ำต่างก็ตื่นตะลึง หวังเป่าเล่อหรี่เองก็ตาลงเช่นกัน ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ และผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป

เป็นเพราะ…ภายใต้การแสดงผลสามร้อยหกสิบองศา พวกเขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาวเคราะห์สีดำทั้งสองดวงนั้นร่วงโรยไปอย่างสมบูรณ์ไม่ต่างจากส้มเหี่ยวแห้งสองลูก สัญญาณชีวิตหายสาบสูญไปจากดวงดาวทั้งสองโดยสิ้นเชิง!

ส่วนดาวเคราะห์อีกสี่ดวงที่เหลือ แม้ว่าจะยังมีสัญญาณชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังร่วงโรยเช่นกัน มองเห็นหลุมบ่อจำนวนมากได้อย่างชัดเจนและยังเห็นเหมือนมีสิ่งโบกไหวอยู่ไปมา ภาพเหล่านี้ให้ความรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย!

เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เห็นอารยธรรมที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะจ้องมองต่อไปอีกสักพัก เขาสัมผัสได้ถึงพลังความตายอันแรงกล้าในระบบดาวเคราะห์นี้ผ่านวิชาแห่งศาสตร์มืด

ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดพึมพำ

“อารยธรรมพื้นเมืองกลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสสูงสุดขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจ

“ทุกคน จับกลุ่มแล้วแยกย้ายกันออกสำรวจ ติดต่อกันไว้ตลอดเวลา กลับมาพบกันที่เรือบินรบอีกครั้งในเวลาครึ่งเดือน!” เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวหนึ่งครั้ง เรียกผู้อาวุโสสองคนพร้อมผู้ฝึกตนระดับต่ำอีกกลุ่มหนึ่งให้ติดตามไป ก่อนจะพากันขึ้นกระสวยมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่ส่องแสงสีเหลือเรื่อเรืองอยู่บนแผนที่ดวงดาว

บรรดาผู้อาวุโสที่เหลือบนเรือบินรบรวมทั้งหวังเป่าเล่อเริ่มพูดคุยกัน ก่อนจะตัดสินใจและแยกย้ายกันไป หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่คนเดียว ผู้อาวุโสลำดับห้าของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเดินทางไปกับเขาด้วย ทั้งคู่พาผู้ฝึกตนระดับต่ำกลุ่มหนึ่งขึ้นกระสวยมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์เป้าหมายทันที

เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้าต่างก็มองเห็นหลุมบนพื้นผิวของดวงดาวได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อได้เห็น แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง!

 ……………………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset