หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวเบื้องหน้า ด้วยพลังของเขาในปัจจุบัน แค่ตบฉาดเดียวก็เปลี่ยนนางให้กลายเป็นเศษเนื้อและเศษผ้าได้ และคงจะยากทีเดียวที่จะแยกได้ว่าอะไรคืออะไร
แต่พอพิจารณาว่าตอนนี้ตนอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ตัดสินใจมองข้ามน้ำเสียงอวดดีของนางไป และเผยยิ้มที่คิดว่าน่าจะดูดีที่สุดพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอบคุณที่ช่วยนำทางข้า หืม ดูเหมือนเจ้าจะทำกระเป๋าคลังเก็บตกนะ” หวังเป่าเล่อก้าวไปด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มและความแปลกใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง หญิงสาวนิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นก็จ้องชายหนุ่มที่กำลังพลิกฝ่ามือเผยให้เห็นกระเป๋าคลังเก็บและยื่นไปตรงหน้านาง
หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ นางหยิบกระเป๋าคลังเก็บมาตรวจดู หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ของด้านในกระเป๋าทำให้นางหน้าแดงระเรื่อจางๆ หญิงสาวมองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง หลังจากพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็ดูอ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มผุดให้เห็นบนใบหน้า นางกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณสหายเต๋าหลงหนานจื่อที่ช่วยบอก”
หวังเป่าเล่อผุดยิ้มบาง ในกระเป๋าใส่ขนมของเจ้าลาไว้เล็กน้อย ซึ่งก็คือวัตถุดิบต่างๆ ที่เขาคิดว่ามีระดับต่ำกว่าขั้นการฝึกตนของตัวเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ตรวจดูของข้างในอย่างละเอียดและไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร ถ้าให้พวกมันไปแล้วได้ข้อมูลกลับมาสักเล็กน้อยก็ถือว่าได้ใช้วัตถุดิบเหล่านี้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงคอยสงวนท่าทีขณะเดินตามหลังผู้ฝึกตนหญิงไปพร้อมเอ่ยถามอย่างมีมารยาท อาจเป็นเพราะของขวัญที่ให้ไปหรือเพราะเสน่ห์ที่ชายหนุ่มคิดว่าตนมีก็ไม่ทราบ แต่หญิงสาวก็เริ่มบอกข้อมูลให้เขารู้เล็กน้อย
เช่น…มีผู้คนหลายพันคนมาร่วมการประชุมสามัญครั้งนี้ เทียบกับคนส่วนใหญ่แล้ว หวังเป่าเล่อถูกจัดให้นั่งไกลจากแถวหน้า
เช่น…การประชุมสามัญส่วนใหญ่จะกินเวลาประมาณหนึ่งเดือน จักรพรรดิจะมาปรากฏตัววันสุดท้าย ผู้บัญชาการจากแต่ละกองทหารจะเป็นคนนำการประชุมก่อนหน้านี้ทั้งหมด
หลังจากเรียบเรียงข้อมูลเล็กน้อยที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็เริ่มเห็นภาพการประชุมสามัญมากขึ้น ตอนแรกเขาก็เดาไม่ถูกในหลายๆ อย่าง แต่ก็เริ่มเข้าใจภาพรวมชัดเจนขึ้น
จากที่ได้เห็นและได้ฟังก็พิสูจน์ได้ว่าจักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ไม่ได้สนใจในตัวเขามากขนาดนั้น มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกรับเชิญให้มาร่วมการประชุมสามัญ แต่ควรได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิตัวต่อตัวไปแล้ว
การจัดวางตำแหน่งที่นั่งก็บอกได้ชัดเจน ชายหนุ่มได้รับเชิญตามมารยาทเท่านั้น
ข้าอาจจะได้รับรางวัลบางอย่าง แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะได้ขึ้นเป็นสมาชิกของสำนัก… หวังเป่าเล่อเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐ จึงเริ่มจับสถานการณ์ได้หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ รอยยิ้มนุ่มนวลกว่าเก่าผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อชายหนุ่มหันไปหาหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ
เมื่อพวกเขามาที่สถานที่จัดประชุม หญิงสาวก็แตะกระเป๋าคลังเก็บที่หวังเป่าเล่อให้มาอีกครั้ง แก้มของนางขึ้นสีเมื่อสัมผัสถึงของบางอย่างด้านใน หลังจากลังเลใจอยู่สักพัก นางก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าพำนักอยู่ที่ถ้ำสิบหก ในถ้ำที่พักที่เก้า บนยอดเขาที่เจ็ดของสำนักทิศเหนือ…”
อะไรนะ หวังเป่าเล่อที่กำลังสำรวจสถาปัตยกรรมของสถานที่จัดประชุมตะลึงงันไปเมื่อได้ยินนางบอกที่พักของตนอย่างละเอียด เขาหันกลับไปนาง แต่โชคไม่ดีที่เห็นเพียงหลังของอีกฝ่ายที่รีบวิ่งหายไปไกล
มีบางอย่างแปลกๆ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงง เขาสงสัยว่ามีอะไรมีค่าในกระเป๋าคลังเก็บที่เพิ่งให้ไปหรือไม่ ถึงจะไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด แต่หวังเป่าเล่อก็ใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบของด้านในแล้วจึงมั่นใจว่าไม่น่าจะมีของมีค่าอะไรซ่อนอยู่ในขยะกองนี้
แน่นอนว่าของข้างในน่าจะมีค่าสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วพวกมันล้วนแล้วแต่ไร้ค่าทั้งสิ้น
หรือว่า…นางจะพ่ายแพ้ให้กับความหล่อเหลาเกินต้านทานของข้า หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง เขาสรุปเอาเองว่าตนน่าจะหล่อขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่คิดเลยว่าในเวลาสั้นๆ จะมีคนมาชอบตนเพิ่มอีกโดยที่ไม่ได้ทำอะไร
แต่เราไม่เหมาะกันเท่าไหร่ น่าเสียดายจริงๆ เขากระแอมกระไอ ถึงกระนั้นก็รู้สึกดีที่มีคนมาชอบ ชายหนุ่มพิจารณาสถาปัตยกรรมของสถานที่จัดประชุมต่อ ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าลากำลังคุ้ยหาของอยู่อย่างกระวนกระวายภายในกระเป๋าคลังเก็บ ราวกับว่าได้ทำของเล่นชิ้นสำคัญหายไป…
จากด้านนอก ที่จัดประชุมดูเหมือนพญาเผิงที่กำลังสยายปีกพร้อมจะโผขึ้นสู่เวหา ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก อาคารมีสีเขียวอ่อน ตรงประตูทางเข้ามีมวลชนผู้ฝึกตนเดินเข้าเดินออก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูวุ่นวาย ไม่มีใครเลยที่เขาคุ้นหน้าในหมู่ฝูงชน ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นรู้จักทุกคน ทั้งยิ้มและพยักหน้าให้คนที่สบตาระหว่างเดินเข้าไปในที่ประชุม เมื่อเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ ภายในที่ประชุมมีรูปทรงเหมือนขนมวง รองรับคนได้มากถึงหนึ่งหมื่นคน
ตรงใจกลางขนมวงมีแท่นทรงกลมตั้งอยู่ แท่นแบ่งเป็นสามชั้น ชั้นบนสุดมีเบาะรองนั่งวางอยู่ ตรงนั้นคือที่นั่งสำหรับคนที่ทรงอำนาจมากที่สุดในที่ประชุม
ชั้นที่สองมีเบาะรองนั่งต่างสีสี่ใบวางอยู่ตรงมุมทั้งสี่ สี่คนที่ได้นั่งเด่นอยู่กลางคนนับหมื่นจะต้องมีตำแหน่งและสถานะสูงส่งไม่แพ้กัน ส่วนชั้นที่สามของแท่นทรงกลมมีเบาะรองนั่งหกใบ!
หวังเป่าเล่อเลื่อนสายตาผ่านแท่นทรงกลมไปมองรอบๆ เขาไม่ได้มาถึงเร็วหรือช้าเกินไป มีผู้ฝึกตนอยู่ในที่ประชุมประมาณหนึ่งถึงสองพันคนมารออยู่ก่อนแล้ว
เพราะที่ประชุมมีขนาดใหญ่และมีผู้เข้าร่วมประชุมมากมาย การมาถึงของหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ดึงความสนใจจากใคร ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พบชื่อของตนเองบนที่นั่งตรงมุมหนึ่ง เขามองไปยังที่นั่งข้างๆ เจ้าของที่นั้นยังมาไม่ถึง ชายหนุ่มนั่งลงและเห็นผลไม้วิญญาณรวมถึงเครื่องดื่มบนโต๊ะด้านหน้า เขาหยิบผลไม้ขึ้นมากัดคำหนึ่ง
รสชาติดีไม่เบา หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย ในที่สุดก็มีคนมานั่งตรงที่นั่งด้านซ้ายหลังจากชายหนุ่มกินผลไม้วิญญาณลูกที่หกเข้าไป คนด้านซ้ายคือชายชราร่างท้วมที่ยิ้มกว้างให้ เขามีระดับการฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเทียบเท่าหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่เป็นคนจากสำนักในสังกัด ชายชราทำตัวสุภาพมากกับทุกคนที่ชนระหว่างเดินมายังที่นั่ง และยังเป็นผู้เปิดบทสนทนาหลังจากที่นั่งลงข้างหวังเป่าเล่อ
“สหายเต๋า ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย ข้าตั้วโหย่วจื่อจากสำนักทิศเหนือ” ชายชราร่างท้วมกุมหมัดทักทายพร้อมแนะนำตัวอย่างอบอุ่น
“ท่านคือสหายแห่งเต๋าตั้วโหย่วจื่อเองหรือ ชื่อเสียงของท่านเป็นที่กล่าวขาน ได้ยินแค่ชื่อก็สู้เจอตัวจริงไม่ได้ ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอท่าน!” หวังเป่าเล่อวางผลไม้วิญญาณในมือและยิ้มให้ ก่อนจะเริ่มสนทนากับผู้ฝึกตนคนข้างๆ ทันที
หวังเป่าเล่อจำข้อคิดในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงได้ดี อีกทั้งยังเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐมาหลายปี เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องทักษะการสื่อสาร ชายชราเองก็อยากจะได้เพื่อนใหม่เช่นกัน ทั้งสองคุยกันอย่างครื้นเครงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชายชราถามถึงชื่อของเขา หวังเป่าเล่อตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าหลงหนานจื่อ”
“หลงหนานจื่อ…ชื่อคุ้นๆ…เจ้าคือหลงจอมคลั่งนี่!” ชายชราร่างท้วมทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่ม เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้าง ถึงกับผละออกห่างและชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าเป็นมิตรเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพยออกมา
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ อย่าถือโทษโกรธข้าเลย…” ตั้วโหย่วจื่อยิ้มแหยๆ พร้อมรินสุราให้หวังเป่าเล่อเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ
ชายหนุ่มยังคงยิ้มอยู่ เขายกแก้วขึ้นและถามออกไป “เหตุใดท่านถึงเรียกข้าว่าหลงจอมคลั่ง”
“สหายเต๋า…ศึกระหว่างเจ้ากับกองทหารมังกรหยดหมึกทำให้พวกเราตื่นตกใจกันไปทั่ว เพราะศึกครั้งนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกจึงหลุดออกจากกองทัพทรงอำนาจสิบอันดับต้นของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ…ทุกคนจึงคิดว่าเจ้าต้องบ้าไปแล้วถึงกล้าดีเช่นนี้!” ชายชราร่างท้วมพยายามแก้ตัวพร้อมปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เขาโล่งใจเมื่อเห็นว่าฉายานั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองอะไร จากนั้นก็สาปส่งโชคชะตาที่ส่งตนมานั่งข้างหลงจอมคลั่ง ถ้ามีใครเข้าใจผิดว่าตนเป็นสหายของอีกฝ่ายละก็ พวกหิวเงินค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้ต้องมาเคาะประตูบ้านสร้างปัญหาให้ทุกวันแน่
ชายชราร่างท้วมถอนใจเมื่อคิดดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจมองข้ามเรื่องนี้ไปและพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ทำให้ชายโหดจอมคลั่งที่นั่งข้างๆ ต้องขุ่นเคืองใจตลอดการประชุม ที่พวกเขาเรียกขานชายหนุ่มว่าจอมคลั่งนั้นไม่ได้มาจากความกล้าบ้าบิ่น แต่มาจากการที่เขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายมาปล้นเรือบินรบไป คงจะไม่แย่ขนาดนี้ถ้าชายหนุ่มจบที่การสังหารทั้งกลุ่มทิ้ง แต่เขากลับถึงขั้นลงมือสังหารศิษย์รักของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกต่อหน้านางด้วย!
และคงจะไม่แย่ขนาดนี้ถ้าเขาหยุดเพียงเท่านั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็กลับมาปรากฏตัวอีกรอบ จากนั้นก็ใช้กลยุทธ์เรือบินรบระเบิดตัวเองถล่มกองทหารมังกรหยดหมึก การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาแม้แต่น้อย แล้วจะให้เรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่การกระทำของคนคลั่ง…
………………………..