จากที่ตั้วโหย่วจื่อบอกและข้อมูลที่หามา หวังเป่าเล่อรู้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีกองทัพสามสิบกองที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ
กองทัพที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจะถือเป็นสาขาย่อยของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาอยู่ใต้การบังคับบัญชาแต่ก็มีอิสระในระดับหนึ่ง ทางสำนักจัดหาทรัพยากรจำนวนมากให้ทั้งสามสิบกองทัพเป็นประจำทุกปี แต่ไม่ได้ให้พวกเขาส่งมอบทรัพยากรที่ไปปล้นมาทั้งหมด ทำให้กองทัพมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการใช้งานและได้รับการสนับสนุนจากทางสำนักเพิ่มเติมอีก ข้อบังคับเดียวของพวกเขาคือ…ร่วมสู้ในนามสำนักเมื่อสำนักเรียกหา!
นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีการจัดอันดับในหมู่กองทัพ ทรัพยากรที่ทางสำนักจัดสรรให้แต่ละกองทัพและจำนวนบรรณาการที่ทางกองทัพต้องส่งมอบนั้นมีอันดับเป็นตัวกำหนด!
ยกตัวอย่างเช่น กองทัพอันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพยากรให้ทางสำนักเลย แต่ได้รับทรัพยากรสนับสนุนจากทางสำนักจำนวนมากจนน่าตกใจทุกปี ยิ่งมีอันดับสูงเท่าไหร่ ความแตกต่างระหว่างสัดส่วนทรัพยากรที่ต้องส่งมอบและทรัพยากรที่ได้รับสนับสนุนจากทางสำนักก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ขอแค่ขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับต้นก็จะได้ทรัพยากรมากกว่าที่จะต้องส่งมอบให้สำนัก!
ส่วนกองทัพสิบอันดับกลางจะได้รับทรัพยากรสนับสนุนเท่าๆ กับที่ส่งมอบ ส่วนกองทัพสิบอันดับท้ายจะต้องส่งมอบมากกว่าที่ได้รับสนับสนุน ถึงกระนั้นทรัพยากรที่กองทัพสิบอันดับท้ายได้รับก็มากกว่าทรัพยากรที่จัดสรรให้กองทัพที่อยู่ในสังกัดของสำนักมหาศาลเลยทีเดียว
ระบบนี้จึงทำให้เกิดการแข่งขันอันดุดันระหว่างทั้งสามสิบกองทัพที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพราะยิ่งขึ้นไปอยู่ในระดับสูงก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์มาก
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการท้ารบอยู่บ่อยๆ เหล่ากองทัพต้องเสียค่าใช้จ่ายในการท้ารบ แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อยสำหรับพวกเขา
แน่นอนว่า…กองทัพของสำนักย่อยในสังกัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เองก็ได้รับโอกาสในการเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นกองทัพทางการเช่นกัน พวกเขาแค่ต้องมีคุณสมบัติพร้อมจึงจะมีสิทธิ์ท้ารบกองทัพทางการที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักใหญ่ หากชนะก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปแทนที่กองทัพทางการนั้นทันที!
การท้าสู้นี้จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา ชัยชนะอาจทำให้ได้ขึ้นไปยืนอยู่ตำแหน่งสูงในสำนัก แต่การจะได้สิทธิ์ในการท้าสู้มานั้นยากมาก พวกเขาต้องส่งมอบทรัพยากรจำนวนมากเป็นการยื่นความประสงค์ จากนั้นจะต้องมีคนในกองทัพห้าอันดับต้นเป็นผู้รับรอง เงื่อนไขแรกนั้นวัดเรื่องความมั่งคั่งทางกายภาพ ส่วนเงื่อนไขที่สองมีมูลค่าที่แตกต่างไปแต่ก็สูงเช่นเดียวกัน
หากผู้ท้าชิงพ่ายแพ้ ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของผู้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ยังต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก โดยค่าชดเชยนั้นจะต้องส่งให้สำนักใหญ่เก็บไว้ก่อนจะเริ่มศึก!
หลังจากจัดแจงข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่ได้มาเสร็จ หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งน่าจะขอท้าชิงเร็วๆ นี้
เทพธิดาหลิงโยวเพิ่งจะบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางในการท้าสู้ชิงอันดับ เว้นเสียแต่นางจะไม่ได้เล็งกองทัพอันดับเจ็ด แต่เป็นกองทัพอันดับหกที่มีผู้บรรชาการเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเหมือนกัน!
ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อขณะที่เทพธิดาหลิงโยวนำทางมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเข้าไปในดาวบริวารและปรากฏอยู่ด้านบนน่านฟ้าเหนือรูปปั้นวิหคยักษ์สีเขียว
รูปปั้นวิหคดูตระการตา มีตำหนักมากมายสร้างอยู่ในรูปปั้น ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย ทันทีที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นรวมถึงผู้ฝึกตนรอบๆ ค่ายสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อและเทพธิดาหลิงโยวมาถึงแล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นฟ้าทำความเคารพทันที
“ขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการผู้ยิ่งใหญ่!”
เสียงของพวกเขาดังก้องขึ้นพร้อมกันราวกับเป็นสายฟ้าฟาด หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสัดส่วนที่ไม่เท่ากันระหว่างจำนวนผู้ฝึกตนหญิงและผู้ฝึกตนชาย ร้อยละเจ็ดสิบเป็นผู้ฝึกตนหญิง
กองทหารหญิงหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตา ตระหนักได้ว่าตนมีข้อได้เปรียบสูงเพียงใดที่นี่ ก่อนจะเริ่มเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของตนเอง ขณะกำลังครุ่นคิดจินตนาการอย่างหน้าไม่อาย เทพธิดาหลิงโยวก็พยักหน้าเบาๆ ให้กับคำทักทาย ใบหน้าของนางปราศจากอารมณ์ใดๆ นางลากชายหนุ่มก้าวเข้าไปในโถงหลักซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังรูปปั้นวิหคเขียว จากนั้นก็เหวี่ยงแขนตัวเอง โยนหวังเป่าเล่อไปด้านข้าง ก่อนจะไปนั่งบนที่นั่งหลักในโถง
หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณออกมาทันทีที่โดนเหวี่ยง เขากระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะลงเหยียบพื้น ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังออกมาได้ถูกจังหวะจึงสามารถต้านแรงเหวี่ยงของเทพธิดาหลิงโยวได้ ใบหน้าของเขาแสดงอาการเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ชายหนุ่มรู้ว่าแรงเหวี่ยงเมื่อครู่นั้นสามารถทำให้ตนเจ็บหนักได้ถ้าระดับขั้นการฝึกตนไม่สูงพอ เหมือนว่าผู้บัญชาการหญิงจะยังไม่จบการสำแดงอำนาจบารมีของตัวเอง
เป็นคนหน้าตาดีไปไหนก็เจอแต่ปัญหา หวังเป่าเล่อแอบแค่นเสียงไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกทางสีหน้า ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำเมื่อครู่ เขายืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมหนึ่งของโถง
สายตาเย็นชาของเทพธิดาหลิงโยวดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของชายหนุ่ม นางละสายตาจากเขาก่อนจะหยิบแผ่นหยกออกมาตรวจสอบ
จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนหญิงสามคนเดินเข้ามาในโถงจากทางประตูด้านหลังหวังเป่าเล่อ คนแรกใส่ชุดคลุมสีม่วง คนที่สองสวมกระโปรงสีเขียว ส่วนคนที่สามสวมชุดเกราะออกศึก
ผู้ฝึกตนหญิงคนแรกสวมชุดคลุมสีม่วงรัดเรือนร่างแน่นจนเหมือนเป็นผิวหนังชั้นที่สอง เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้ายั่วยวนใจอย่างชัดเจน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หญิงสาวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ตราตรึงกับความงดงามของนางที่กำลังเดินกรีดกรายไปยังด้านหน้าของโถง
ผู้ฝึกตนหญิงคนที่สองที่สวมกระโปรงสีเหลืองดูสูงส่ง ผมสีดำนุ่มสลวยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้ารูปไข่โดดเด่นด้วยรอยยิ้มแม้จะยังไม่ได้ปริปากพูด นางเป็นเหมือนสายลมนุ่มนวลของฤดูใบไม้ผลิ พลังรัศมีที่แผ่ออกมาแตกต่างจากผู้ฝึกตนหญิงชุดคลุมม่วง เป็นพลังอันบริสุทธิ์ไร้มลทิน ส่วนอีกคนดูยั่วยวนร้ายกาจ
หญิงคนสุดท้ายผู้สวมชุดเกราะให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากสองคนแรก นางงดงามไม่แพ้กัน แต่เป็นเหมือนเทพธิดาหลิงโยวอีกคน เย็นชาและห่างเหิน แค่เพียงยืนนิ่งก็แผ่รังสีสังหารออกมา
ทั้งสามอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แต่ละคนเปล่งพลังล้นเหลือไม่แพ้กัน พวกนางปรายตามองหวังเป่าเล่อตอนเข้ามาในโถง แต่มีท่าทีแตกต่างกันออกไป สายตาของผู้ฝึกตนหญิงชุดม่วงดูยั่วยวน ส่วนสายตาของหญิงกระโปรงเหลืองดูเป็นมิตร ในขณะที่ผู้ฝึกตนชุดเกราะมองเขาด้วยความเหยียดหยาม หญิงทั้งสามกล่าวทักทายเทพธิดาหลิงโยวที่นั่งอยู่
ความงามของทั้งสามตราตรึงอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของโถงและมองทั้งสามคร่าวๆ จากมุมมองของผู้ชายที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ชายหนุ่มนึกชื่นชมสาวชุดเกราะ อยากจะทำความรู้จักกับสาวกระโปรงเหลืองให้มากขึ้น และไม่สามารถห้ามตนเองไม่ให้มองไปยังผู้ฝึกตนหญิงชุดม่วงได้
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังยืนพิจารณาอยู่เงียบๆ เทพธิดาหลิงโยวก็วางแผ่นหยกลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวทั้งสามพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่ม
“ถึงจักรพรรดิจะให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพของข้า แต่ก็ไม่ใช่ว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งจะรับใครหน้าไหนมาเข้าร่วมก็ได้ บันทึกของเจ้าจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ระบุว่าเจ้าเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวท เช่นนั้นก็ต้องลองทดสอบดูว่าเจ้าเก่งกาจเรื่องวัตถุเวทจริงหรือไม่ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าควรทำอะไรกับเจ้า จงกลับมาหาข้าเมื่อเจ้าหลอมสิ่งนี้เสร็จ ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว” เทพธิดาหลิงโยวออกคำสั่ง จากนั้นก็โบกมือ โยนแผ่นหยกในมือไปให้สาวกระโปรงเหลือง และสั่งให้นางเก็บข้อมูลหวังเป่าเล่อเข้าบันทึกของกองทัพ ขณะเดียวกันก็ให้สิทธิ์ในการเข้าถึงขั้นพื้นฐานกับชายหนุ่มและโยนแผ่นหยกอีกแผ่นให้
“โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหรือ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นด้วยความแปลกใจพร้อมขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปตรวจดูข้อมูลในแผ่นหยกคร่าวๆ ในนั้นมีวิธีหลอมสมบัติเวท ชื่อของวัตถุชิ้นนี้บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของมันได้เป็นอย่างดี
“โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาคือหนึ่งในสมบัติเวทที่เราใช้ทดสอบมาตรฐานการหลอมวัตถุเวทของศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ถือเป็นวัตถุที่มีความท้าทายในการหลอมสำหรับนักหลอมอาวุธเวทในสำนักเรา แต่แค่พยายามสักหน่อย ส่วนใหญ่ก็มักจะหลอมออกมาได้สำเร็จ” แน่นอนว่าการอธิบายเช่นนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากของเทพธิดาหลิงโยว เป็นผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงเหลืองที่ยิ้มและตอบคำถามในใจของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ยื่นตราถ้ำที่พักพร้อมตำแหน่งที่พักของเขาให้
หวังเป่าเล่อกะพริบตามองตราและแผ่นหยกในมือก่อนจะกลับออกไป เหมือนกลุ่มหญิงสาวจะมีเรื่องต้องพูดคุยกันต่อ จะแอบฟังบทสนทนาของพวกนางกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคงเป็นเรื่องยาก เขาจึงออกจากโถงตรงไปตามพิกัดที่ระบุในตราที่ได้รับมาเพื่อไปยังที่พัก
เป็นดั่งที่ชายหนุ่มคาดเดา หลังจากที่เขากลับออกไป เทพธิดาหลิงโยวก็เริ่มการประชุมอย่างจริงจังถึงวาระต่างๆ ในกองทัพ จัดแจงเตรียมการต่างๆ สำหรับการท้าชิงกับกองทัพอื่นที่เดิมพันไว้ด้วยการเลื่อนอันดับของพวกตน หลังจากจบการประชุม ผู้ฝึกตนหญิงที่สวมกระโปรงเหลืองก็ทำท่าลังเลใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผู้บัญชาการ ถึงหลงหนานจื่อจะได้เข้ากองทัพของเราเพราะคำสั่งของจักรพรรดิ แต่จะเหมาะสมหรือที่ให้เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา…เพราะสิ่งนั้นเอาไว้ประเมินศิษย์ในสำนักของเราและเป็นถึงวัตถุขั้นจิตวิญญาณอมตะ ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุนี้ถือเป็นความลับระดับสูง…”
เมื่อนางพูดจบ สาวชุดเกราะก็แค่นเสียงทางจมูก นางเป็นคนที่มองหวังเป่าเล่อด้วยความเหยียดหยาม
“ข้าได้ยินมาว่าหลงหนานจื่อชอบซุ่มโจมตีศัตรู ผู้ฝึกตนเช่นเขามักจะไม่มีฝีมืออะไร อีกอย่าง พวกนักหลอมวัตถุเวทนอกสำนักเราก็หลอมได้แค่โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสาม พวกเขาไม่มีทางหลอมอะไรที่สูงไปกว่านั้นได้ วัตถุที่ต่ำกว่าระดับสี่ถือเป็นวัตถุขั้นเชื่อมวิญญาณ ไม่ใช่วัตถุขั้นจิตวิญญาณอมตะ ส่วนนักหลอมวัตถุเวทในสำนักเรา มีไม่กี่คนที่หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับห้าหรือสูงกว่านั้นได้สำเร็จ มีเพียงอัจฉริยะหาตัวจับได้ยากเท่านั้นที่จะสามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดได้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแม้แต่น้อย”
……………………………..