เทพธิดาหลิงโยวค่อนข้างจะเชื่อตามที่ลูกน้องคนสนิทได้กล่าวมา นางไม่คิดว่าหลงหนานจื่อจะมีพรสวรรค์อันเยี่ยมยอดด้านการหลอมวัตถุเวท ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นแค่เรื่องยิบย่อยในสายตานาง
ภารกิจที่สำคัญที่สุดของนางตอนนี้คือไต่อันดับกองทัพ ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบันและเรือบินรบเวทที่มี กองทัพของนางน่าจะเอาชนะกองทัพลำดับเจ็ดและชิงตำแหน่งมาได้ง่ายๆ
น่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆ จากอีกฝั่ง เพราะบัดนี้นางก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว!
แน่นอนว่าความทะเยอทะยานของเทพธิดาหลิงโยวไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น นางไม่ได้หวังอันดับเจ็ด นางอยากได้อันดับหก เพราะแม้จะห่างกันแค่เลขหน่วยเดียว แต่ทรัพยากรที่กองทัพจะได้รับสนับสนุนนั้นแตกต่างกันมากโข
เป็นเหตุให้นางต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนหวังเป่าเล่อ เทพธิดาหลิงโยวไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ นางไม่ชอบกิริยามารยาทของชายหนุ่มมาตั้งแต่ต้น ถึงกระนั้น นางก็ปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิไม่ได้ แน่นอนว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่ให้สูตรหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไป หญิงสาวคิดว่าหวังเป่าเล่อน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปีจึงจะสามารถหลอมวัตถุนี้ได้สำเร็จ นางไม่ได้กังวลอะไรจึงจบบทสนทนาด้วยการโบกมือ
หวังเป่าเล่อที่ไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้เลยกำลังเดินชมรอบกองทหารวิหคน้ำแข็ง ทุกที่ที่ผ่านตาก็เห็นแต่ผู้ฝึกตนหญิงจำนวนมากที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของกองทัพ น่าเสียดายที่ภาพตรงหน้าไม่ใช่หญิงงามนั่งคุยกันสนุกสนาน แต่เป็นหญิงแกร่งเดินขึงขังผ่านไปผ่านมา…
เขาคิดมาตลอดว่ารูปโฉมอันงดงามคือไพ่ตายของตน แต่เหมือนว่ามันจะใช้ไม่ได้ผลในค่ายแห่งนี้ ไม่มีใครสนใจชายหนุ่มเลย ไม่มีแม้สักคนที่ตอบกลับการทักทายของเขา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างขวยเขินและพยายามหาทางแก้เก้อ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อมาถึงที่พำนักของตัวเอง
เหมือนว่าที่นี่ ผู้ชายจะไม่ได้มีอำนาจมากนัก… หวังเป่าเล่อมองที่พักของตัวเองขณะนึกถึงที่พำนักต่างๆ ที่เห็นตามทาง เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนหญิงนั้นมีตำแหน่งสูงกว่าและได้รับที่พักดีกว่าผู้ฝึกตนชายในกองทหารวิหคน้ำแข็ง
ช่างปะไร ทั้งหมดเป็นเพราะมีผู้บัญชาการเป็นหญิงใจดำ หวังเป่าเล่อส่ายหัวและใช้ตราที่ได้มาเปิดทางเข้าถ้ำ จากนั้นก็เข้าไปด้านใน เขาไม่ค่อยพอใจกับที่พักอันแสนคับแคบ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายตั้งแต่แรก ชายหนุ่มนั่งลง ก่อนจะเริ่มจัดระเบียบความคิด
ตอนนี้ข้าถือเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ตราบใดที่ข้าไม่ทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งยาก ก็ไม่น่าจะต้องกังวลอะไรกับภัยคุกคามจากกองทหารมังกรหยดหมึก
เป้าหมายต่อไปคือหาจุดยืนที่มั่นคงในกองทหารวิหคน้ำแข็ง จากนั้นก็หาทางสร้างกองทัพของตนเองและเก็บเคล็ดวิชาจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มาเพิ่ม!
ข้าควรจะสานสัมพันธ์กับราชวงศ์ด้วยถ้ามีโอกาส…เพราะน่าจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาขณะพิจารณาแผนการในอนาคต รอบตัวตอนนี้มีแต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไหนจะจักรพรรดิที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์อีก แถมปัจจุบันตนอยู่ที่ตัวสำนักใหญ่ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็จะไม่ใช้ความสามารถในการขโมยตัวตนของผู้อื่น
ข้าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาอะไรสักอย่างนี่ ถ้ามันจะทำให้ข้ามีจุดยืนที่มั่นคงในสำนัก และควรใช้โอกาสนี้ศึกษากระบวนการหลอมระดับสูงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์! เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ เขาหยิบแผ่นหยกที่บันทึกวิธีหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาออกมาและเริ่มศึกษาอย่างตั้งใจ
จากการตรวจดูคร่าวๆ รอบที่แล้ว ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นถึงความเยี่ยมยอดของวัตถุชิ้นนี้ พอได้ศึกษาอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้าง ยิ่งศึกษาวิธีหลอมไปมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ในที่สุดชายหนุ่มก็ส่งเสียงตื่นตะลึงออกมา
สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ร่ำรวยขนาดนี้เลยหรือ นี่มัน…วัตถุเวทขั้นจิตวิญญาณอมตะชัดๆ! หวังเป่าเล่อผงะไปด้วยความตื่นตกใจ หญิงกระโปรงเหลือบอกเขาว่านี่เป็นวัตถุเวทที่ใช้ทดสอบนักหลอมวัตถุเวททุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ใช่หรือ
นึกไม่ออกเลยว่ามาตรฐานการหลอมวัตถุเวทของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะสูงส่งเพียงใด…ศิษย์ทุกคนที่เข้ารับการทดสอบจะต้องหลอมวัตถุเวทขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยหรือ หวังเป่าเล่อคิดว่าตนน่าจะเข้าใจผิด แต่ก็มั่นใจว่าอ่านวิธีหลอมได้ถูกต้องหลังจากศึกษาอย่างละเอียดเป็นครั้งที่สอง ความจริงแล้วการอ่านครั้งที่สองนั้นทำให้เขาได้ค้นพบเรื่องน่าตื่นตะลึงขึ้นไปอีกขั้น
หากใช้เกณฑ์ของสหพันธรัฐประเมินโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา มันน่าจะจัดอยู่เหนืออาวุธเวทระดับเก้าไปอีก เกือบจะเป็นอาวุธเทพได้เลย…ความสามารถในการพัฒนาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อาจจะพัฒนาจนเหนือชั้นกว่าอาวุธเทพก็เป็นได้…สวรรค์ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าของเขาซีดเผือด การค้นพบในครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะรับมือได้ไหว
โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้นใช้ป้องกันและสะท้อนพลังโจมตีของวัตถุเวทเป็นหลัก แบ่งออกเป็นแปดระดับตามความแข็งแกร่ง ทุกระดับที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มพลังคลื่นสะท้อนกลับร้อยละห้า เนื่องจากมีแปดระดับ โล่นี้จึงสามารถสะท้อนพลังโจมตีดั้งเดิมของศัตรูกลับไปได้ถึงหนึ่งในสี่ นอกจากนี้ยังมีระดับการพัฒนาที่สูงกว่าระดับแปดขึ้นไปด้วย แม้ข้อมูลในแผ่นหยกจะไม่ได้พูดถึงจุดนี้ แต่ประสบการณ์และสัญชาตญาณของหวังเป่าเล่อก็บอกตนเองว่าต้องมีระดับที่สูงกว่าระดับแปดขึ้นไปอีกแน่นอน!
มันเป็นการค้นพบอันน่าตื่นตะลึงจนทำให้หวังเป่าเล่อต้องถ่อมตนลงมา เขาเลิกประเมินสำนักต่ำกว่าที่ควรและเริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้น เหมือนมีภูเขามาตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้หายใจได้ยาก
ข้าต้องพยายามอย่างหนักแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกขณะมองแผ่นหยกในมือ ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวเมื่อเขาวิเคราะห์และศึกษาเนื้อหาในแผ่นหยก เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวันนับตั้งแต่ชายหนุ่มมายังค่ายกองทหารวิหคน้ำแข็ง
เขาแทบไม่ได้นอนหรือพักผ่อนเลยตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เอาแต่ศึกษาเรื่องโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา นำประสบการณ์การหลอมวัตถุเวทที่ได้จากสหพันธรัฐ กระบี่สำริดเขียวโบราณ และอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มารวมกัน ในที่สุด ชายหนุ่มก็จับจุดสูตรหลอมระดับแรกได้
ตัวตนของเขาได้รับการลงทะเบียนในบันทึกของกองทหารวิหคน้ำแข็ง ตำแหน่งของชายหนุ่มไม่ได้สูงส่งอะไรจึงมีเพียงสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อทรัพยากรจากทางกองทหารวิหคน้ำแข็ง
หวังเป่าเล่อเริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหลังจากซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นเสร็จ แต่ก่อนจะเข้าสู่การถือสันโดษ ชายหนุ่มก็ปล่อยเจ้าลาออกมา เหมือนกับว่าจู่ๆ ก็รู้สึกผิด
“ลูกข้า บิดาของเจ้าทำดีกับเจ้ามากเลยใช่หรือไม่ จำไว้ว่าให้ทำตัวดีๆ อย่าไปสร้างปัญหา ไม่อย่างนั้นข้าจะขังเจ้าไปร้อยปี!” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลา รู้สึกว่าวิธีสอนลูกของตนเองจะได้ผล ซึ่งก็คือ…ทุบตีสั่งสอนจนกว่าลูกจะหลาบจำ!
เขานึกถึงตอนเด็กที่ตนหนักกว่าปู่ จากนั้นก็จำได้ว่าถูกทุบตีหนักขนาดไหนจึงตระหนักว่าต้องประพฤติตัวให้ดี ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ชายหนุ่มดุด่าต่ออีกสักพัก แต่ก็ต้องตะลึงงันไปเมื่อได้เห็นท่าทีของเจ้าลา
เจ้าลามักจะทำตัวน่าสงสารหรือไม่ก็สั่นกลัวอยู่ตลอดเมื่อเจอหวังเป่าเล่อดุ บางครั้งก็ถึงกับเข้ามาอ้อนเอาอกเอาใจ พยายามทำตัวให้ชายหนุ่มรักใคร่มาโดยตลอด แต่วันนี้เจ้าลากลับเปลี่ยนไป…มันดูกลัดกลุ้ม ถึงขนาดร้องเสียงดังใส่หวังเป่าเล่อ
“ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า!”
มันดูกังวลหนักและเหมือนจะร้องขอบางอย่างจากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจ้องเจ้าลาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าคลังเก็บและโยนวัตถุดิบไปให้ เจ้าลาเหลือบมองวัตถุดิบคร่าวๆ ไม่ได้แตะต้องอะไรแม้แต่นิด จากนั้นก็ร้องขึ้นอีก
หวังเป่าเล่อเริ่มไม่พอใจ
“เจ้าเริ่มจะเลือกกินมากไปแล้ว รู้ไหมว่าตัวเองได้กินฟรีๆ ไม่ได้ทำงานเพื่อแลกมา!”
“ลูกข้า!”
“ยังจะบ่นอีกหรือ”
“ลูกข้า!”
หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าลาคือลูกของตน เขาทนเจ็บปวดใจที่ต้องเสียวัตถุดิบราคาแพงและโยนชิ้นที่ดีกว่าเดิมไปให้ เจ้าลามองเพียงแวบเดียว มันยังคงไม่พอใจ ชายหนุ่มเริ่มสงสัยจึงขยายสัมผัสสวรรค์ไปสื่อสารกับเจ้าลา
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อดูแปลกไปเมื่อคุยเสร็จ
“เจ้าลาสัปดน!” หวังเป่าเล่อร้องขึ้นด้วยความโมโห เจ้าลาบอกเขาว่ามันหาของบางอย่างอยู่ เป็นของที่ได้มาจากตอนสู้กับกองทหารมังกรหยดหมึกและได้ระเบิดเรือบินรบสังหารผู้ฝึกตนไปมากมาย เจ้าลาไม่รู้ว่าของชิ้นนี้เป็นของใคร แต่…มันคือหุ่นเชิดที่มีกลไกการทำงานเพียงอย่างเดียว ดูภายนอกแล้วไม่มีอะไรแปลก แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ก็จะเริ่มคิดจินตนาการไปไกล สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมนั้นมีลักษณะนิสัยและความชอบอย่างไร…
ของชิ้นนี้ทำให้เจ้าลาสามารถใช้พลังงานอันไร้ขีดจำกัดของมันได้ระดับหนึ่ง ยิ่งใช้ของชิ้นนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งปรารถนาอยากใช้อีกซ้ำๆ ไม่รู้จักเบื่อ…
หวังเป่าเล่อรู้สึกรังเกียจ แต่ถึงอย่างไรเจ้าลาก็เป็นแค่อสูรตัวหนึ่ง เขาได้แต่ถอนหายใจและเริ่มค้นหาของดังกล่าวในกระเป๋าคลังเก็บ แต่ค้นอยู่นานก็ไม่เจอ เจ้าลาดูสิ้นหวัง ชายหนุ่มทำได้แค่ยักไหล่และเลิกค้นหา จากนั้นก็ปล่อยเจ้าลาไปและนั่งลง เขาสูดหายใจลึกและเริ่มการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหยิบวัตถุดิบสำหรับหลอมออกมาเพื่อเริ่มกระบวนการ ภาพความทรงจำหนึ่งก็แล่นขึ้นมาในหัว เขานึกขึ้นได้ว่าได้ให้กระเป๋าคลังเก็บกับผู้ฝึกตนหญิงที่มีไฝบนใบหน้าเพื่อแลกกับข้อมูล ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นทันใด ครู่ต่อมาก็ทำสีหน้าแปลกๆ
ข้าเลือกเป้าหมายผิด ถ้ารู้เช่นนี้ ข้าจะให้กระเป๋าคลังเก็บใบนั้นกับเทพธิดาหลิงโยว…
………………………………