“ใช่ ข้าทำได้แล้ว…” หวังเป่าเล่อนิ่งไปชั่วขณะเพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูด เพราะอย่างไรเสีย โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาก็ยังอยู่ในระดับหก ยังไม่ถึงระดับแปดแต่อย่างใด
เร็วขนาดนี้เลยหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ แม้ว่านางจะตกใจเล็กน้อยในตอนต้น แต่ก็ไม่มีเวลาจะไต่ถามเพิ่มเติม อีกอย่างหนึ่ง นางก็คิดไปตามสัญชาติญาณว่าการ ‘บรรลุขั้น’ ที่หวังเป่าเล่อกล่าวถึงนั้นคือการสามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไปสู่ระดับสองได้
อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็เพิ่งหลอมระดับแรกได้เมื่อครึ่งเดือนก่อนเท่านั้น แม้ว่าการบรรลุสู่ระดับสองได้ภายในครึ่งเดือนจะน่าตกใจอยู่ไม่น้อย แต่นางก็คิดว่าหลงหนานจื่อนั้นโด่งดังในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่พอตัว ดังนั้นเขาเองก็คงมีพรสวรรค์อยู่บ้างเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจของหวังเป่าเล่อ และคำขอสิทธิ์การเข้าถึงเพิ่มเติม ทำให้เทพธิดาหลิงโยวด่วนตัดสินไปเสียแล้ว นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อผิดพลาดมาหลายครั้ง แม้จะซื้อวัตถุดิบไปจนเต็มปริมาณที่สิทธิ์การเข้าถึงให้ซื้อได้แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่การหาซื้อวัตถุดิบเพื่อเสริมพลังเป็นระดับสามจะไม่ง่าย เขาจึงต้องการสิทธิ์การเข้าถึงเพิ่มเติมเพื่อตั้งหน้าตั้งตาหลอมต่อไป
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เทพธิดาหลิงโยวจึงพูดขึ้นว่า
“ได้ ข้าเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้เจ้าแล้ว พยายามเข้าเล่า” ความหงุดหงิดในน้ำเสียงของนางแต่เดิมลดน้อยถอยลง หญิงสาวพูดจาให้กำลังใจหวังเป่าเล่ออีกสองสามคำ และดูเหมือนว่าความรู้สึกที่นางมีต่ออีกฝ่ายก็เริ่มดีขึ้น ถึงกระนั้น นางก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าใดนัก ในสายตาของนางแล้ว ไม่ว่าพื้นฐานของหลงหนานจื่อจะดีเพียงใด ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้เป็นระดับสามได้
แต่หากคิดในแง่นี้ ก็ถือว่าหลงหนานจื่อผู้นี้มีความสามารถสูงใช่เล่น หลังจากที่ชมเชยหวังเป่าเล่อแล้ว เทพธิดาหลิงโยวก็จบการสื่อสารและมองไปทางผู้ติดตามขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทั้งหลายของนาง
“พวกเจ้าจงพูดต่อไปเถิด แน่ใจหรือว่าผู้บัญชาการกองทหารวิญญาณเร้นลับซึ่งอยู่ในอันดับสิบเอ็ด ประมุขหลิงเถาบรรลุขั้นปราณแล้ว”
ผู้ที่รายงานอยู่ต่อหน้าเทพธิดาหลิงโยวคือสตรีท่าทางหยิ่งยโสที่หวังเป่าเล่อพบก่อนหน้านี้ นางพยักหน้าตอบคำถามของเทพธิดา ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา
“พวกเราตรวจสอบแล้ว ประมุขหลิงเถาได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในระดับการฝึกปราณ แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นการฝึกปราณเดียวกับท่านผู้บัญชาการ แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในบรรดาขั้นแสร้งอมตะ ข้าเกรงว่า การบรรลุขั้นปราณของเขาจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาหลายประการ มีความเป็นไปได้สูงว่า การบรรลุขั้นปราณของเขาจะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างกองทหารอื่นๆ ที่ทำให้ความก้าวหน้าของกองทหารวิหคน้ำแข็งต้องพบเจออุปสรรค”
ประมุขหลิงเถา…ประกายเย็บเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของเทพธิดาหลิงโยว นางไม่สนใจว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นแสร้งอมตะหรือไม่ แต่การบรรลุขั้นของเขาในเวลานี้ย่อมมีผลต่อการเลื่อนอันดับของกองทหารวิหคน้ำแข็งแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย เป้าหมายที่แท้จริงของหญิงสาวก็คือการได้เป็นกองทหารอันดับห้า หากนางไปอยู่แทนที่พวกเขาได้สำเร็จเมื่อใด ผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นย่อมมหาศาลนัก
เช่นเดียวกัน หากกองทหารอันดับห้าถูกแทนที่ พวกเขาก็จะหลุดจากตำแหน่งหนึ่งในห้า และความสูญเสียนั้นก็มากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ที่พวกเขาจะร่วมมือกับกองทหารอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หากประมุขหลิงเถาไม่ได้บรรลุขั้น พวกเขาก็คงไม่ร้อนใจเท่าใดนัก เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าอันดับของกองทหารจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด พวกเขาก็จะยังอยู่ในสิบอันดับแรกเสมอ
แต่การบรรลุขั้นของประมุขหลิงเถาเปลี่ยนสถานการณ์ไปจนหมด หากกองทหารอันดับที่เจ็ด แปด และเก้าไม่ระวังตัว พวกเขาก็อาจหลุดหนึ่งในสิบได้ง่ายๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนล้วนต้องระแวดระวังตัวด้วยกันทั้งสิ้น
ในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าขั้นพลังปราณของผู้บัญชาการกองทหารและกำลังยุทธ์ของกองทหารจะสำคัญ แต่การใส่ใจเรื่องการทูตกับโลกภายนอกก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวังเช่นกัน
แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่รู้เรื่องราวที่ทำให้คนอื่นๆ ต้องปวดหัวนี้แม้แต่น้อย และต่อให้เขารู้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หลังจากที่ได้สิทธิ์การเข้าถึงเพียงพอแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าไปซื้อใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากและเริ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต่อทันที
หลายวันต่อมา ด้วยการศึกษาค้นคว้าและทุ่มเทอย่างมุ่งมั่นของหวังเป่าเล่อ เมื่อตัวอักขระบนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเพิ่มอีกห้าหมื่นตัว ระดับของโล่ก็บรรลุไปถึงระดับเจ็ด!
สมบัติเวทระดับเจ็ดถือว่าค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เพราะอย่างไรเสีย ความสามารถในการสะท้อนพลังของมันก็มากถึงร้อยละสามสิบห้า โดยเฉพาะเมื่อการปรับแต่งของหวังเป่าเล่อทำให้รูปลักษณ์ของมันดูเหมือนอยู่ในระดับสามเท่านั้น เพราะแปลว่าคู่ต่อสู้จะไม่คิดกลัวสมบัติเวทนี้ และหากพวกเขาประมาท ก็จะต้องพบความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน
แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าในการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้น สิ่งที่ยากเย็นอย่างแท้จริงคือหลังจากการเสริมพลังมาถึงระดับเจ็ด!
การจะไปถึงระดับแปดได้นั้น ยังมีเรื่องบางอย่างที่ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจ เขามีความรู้สึกว่าหากฝืนหลอมต่อไป อัตราการล้มเหลวจะอยู่ที่ราวๆ ร้อยละเก้าสิบ ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหยุดมือ ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแน่นอยู่นาน
พวกเขาเป็นถึงหนึ่งในสามสำนักใหญ่ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ระดับความยากในการหลอมวัตถุเวทที่ทุกคนต้องไปให้ถึงจึงสูงเสียจนน่ากลัว! หวังเป่าเล่อถอนใจ ยิ่งชายหนุ่มครุ่นคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์น่าหวาดหวั่นขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้
สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นี่ก็แปลกนัก ขนาดแค่สมบัติเวทที่ใช้เพื่อทดสอบศิษย์ยังยากถึงเพียงนี้ นี่พวกเขาบ้ากันไปแล้วหรืออย่างไร…หวังเป่าเล่ออดสงสัยไม่ได้
ไม่ได้การ ข้าจะคิดว่าคนอื่นทำไม่ได้ เพราะข้าเองยังทำไม่ได้ไม่ได้เป็นอันขาด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่ผ่อนคลายความสงสัยในใจลงไปบ้าง นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมาอีก จากนั้นชายหนุ่มก็กลับไปง่วนอยู่กับการค้นคว้าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดอีกครั้ง
เวลาผ่านไปเช่นนั้นถึงเจ็ดวัน พอพ้นเจ็ดวัน ในศีรษะของหวังเป่าเล่อก็มีแต่ความวิงเวียน แต่ก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบรรลุระดับแปดอยู่ดี
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเมื่อใดที่รู้สึกสิ้นหวังหรือพบสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ เขาควรต้องหยุดพัก หาไม่แล้ว การจะดั้นด้นค้นคว้าต่อไปก็รังแต่จะทำให้อะไรๆ ยากขึ้นโดยใช่เหตุ
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็เงยศีรษะขึ้นมองไปนอกถ้ำที่พัก ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา จั่วอี้เซียนดูราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำตลอดทั้งวันทั้งคืน หวังเป่าเล่อชอบใจยิ่งนัก ประจวบกับการที่เขารู้สึกงุ่นง่านใจอยู่พอดี ความคิดหนึ่งที่ชายหนุ่มเคยปัดตกไปแล้วก็ผุดกลับขึ้นมาในมโนสำนึกอีกครั้ง
ทำไมข้าไม่ลองไปดูซากปรักหักพังที่จั่วอี้เซียนเคยพูดถึงดูเล่า…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ใคร่ครวญอยู่อีกชั่วอึดใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา หลังจากที่แจ้งไปยังกองทหารแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากถ้ำที่พัก
พอหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น จั่วอี้เซียนผู้ซึ่งนั่งยองๆ อยู่บริเวณนั้นก็รีบหันศีรษะมามองอย่างระแวดระวังและเคารพ พร้อมรอรับคำสั่งทันที
“ไปกันเถอะ นำทางไปที ไปที่ถ้ำที่เจ้าถูกจับตัวมา”
จั่วอี้เซียนไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทีขัดขืนต่อคำสั่งของหวังเป่าเล่อ จึงรีบพยักหน้าทันที ขณะที่หวังเป่าเล่อขยับชายเสื้อและเรียกเรือบินรบให้มาปรากฏ เขาก็จับตัวจั่วอี้เซียนเอาไว้ ชายหนุ่มพลิกตัวและกระโจนขึ้นมาอยู่บนเรือบินรบทันที เขาใช้ผนึกฝ่ามือติดเครื่องเรือบินรบให้เดินหน้าเต็มกำลัง ภายในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็พุ่งทะยานออกมาไกลจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อแล้ว
แม้ว่าสถานที่ที่จั่วอี้เซียนถูกจับตัวมาจะอยู่ภายนอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลเกินไปนัก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านจักรวาลส่วนกลางของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียด้วยซ้ำ จากตำแหน่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หวังเป่าเล่อสามารถมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นชายแดนแล้วออกเดินทางต่อจากบริเวณนั้นได้เลย
ชายหนุ่มรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของถ้ำ เขารู้ว่าระหว่างที่นั่นและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีซากปรักหักพังของอารยธรรมอยู่สามแห่ง เป็นสามแห่งที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปล้นชิงและกำจัดทิ้ง
ระยะทางจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อไปสู่ถ้ำที่จั่วอี้เซียนเคยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางราวสิบวัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงนั่งลงหลับตาทำสมาธิ การทำเช่นนี้ ในแง่หนึ่งช่วยให้จิตใจของเขาสงบ ในอีกแง่หนึ่ง ชายหนุ่มยังคิดไม่ตกว่าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้เป็นระดับแปดได้อย่างไร
และเพราะหวังเป่าเล่อไม่พูด จั่วอี้เซียนที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ จึงไม่กล้าพูดเช่นกัน ชายหนุ่มระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะกลัวจะถูกลงโทษหากทำให้หวังเป่าเล่อขุ่นเคืองใจ เวลาสิบวันผ่านไปเช่นนั้นท่ามกลางความขมขื่นใจและระแวดระวังของจั่วอี้เซียน เรือบินรบแล่นผ่านซากปรักหักพังของอารยธรรมทั้งสามและมาถึงส่วนของจักรวาลที่จั่วอี้เซียนถูกจับตัวมา
“นำทางข้าไปสิ!” เมื่อมาถึง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น มองไปเห็นโลกที่แห้งแล้งเบื้องหน้า แล้วจึงออกคำสั่งจั่วอี้เซียน
อีกฝ่ายรีบรุดทำตามคำสั่งทันที ตลอดสิบวันที่ผ่านมา จั่วอี้เซียนพยายามคิดทบทวนเรื่องในอดีตอย่างถี่ถ้วน เมื่อได้เห็นโลกภายนอก ความทรงจำของเขาก็ค่อยๆ หวนกลับคืนมา จั่วอี้เซียนรีบรุดนำทางไป เมื่อเรือบินรบค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น แถบของสะเก็ดดาวก็ปรากฏให้เห็นในสายตา
สะเก็ดดาวจำนวนมหาศาลล่องลอยราวกับเป็นสายธารขนาดใหญ่ ในขณะที่ภาพนั้นให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนวิญญาณของผู้พบเห็น แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ออกมาจากสะเก็ดดาวเหล่านั้น
ขณะที่จั่วอี้เซียนรู้สึกว่าแรงกดดันนั้นช่างรุนแรงเกิดต้าน แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกเฉยๆ สถานที่นี้ไม่ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก ด้วยความโลภโมโทสันของกองทหารในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาย่อมต้องมาสำรวจที่นี่อย่างถี่ถ้วนแล้วแน่นอน ดังนั้นโอกาสที่ที่แห่งนี้จะมีอันตรายหลบซ่อนอยู่จึงมีน้อยนัก
ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังระวังตัว ขณะที่พลังปราณของเขาหมุนวนอยู่ภายในกาย ชายหนุ่มก็ยังหยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่เขาหลอมเอาไว้ออกมา อย่างไรเสีย ตามที่จั่วอี้เซียนเล่า ชายหนุ่มถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ แปลว่าที่แห่งนี้ยังมีปรากฏการณ์ประหลาดซึ่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อธิบายไม่ได้หลงเหลืออยู่
ในไม่ช้า ภายใต้การนำทางของจั่วอี้เซียน เรือบินรบก็มาปรากฏอยู่เคียงข้างสะเก็ดดาวขนาดเท่าดวงจันทร์ที่อยู่ท่ามกลางสายธารแห่งสะเก็ดดาว!
“ที่นี่แหละขอรับที่มีถ้ำอยู่ภายใน!” จั่วอี้เซียนสูดลมหายใจลึก จ้องมองไปยังสะเก็ดดาวแล้วหันมามองหวังเป่าเล่อ พลางพูดอย่างเร่งรีบ
หวังเป่าเล่อเพ่งมองไปยังสะเก็ดดาวตรงหน้าก่อนจะอ้าปากค้าง!
……………………