หวังเป่าเล่อกำลังจะเตะครั้งที่สองร้อย แต่ก็ยั้งเท้าเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม ก่อนก้มศีรษะลงมองอีกฝ่าย
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อลดเท้าลง เจ้าหนุ่มก็แอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ เขายังคงสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ในใจแต่ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า กลับกัน เด็กหนุ่มกลับพ่นคำพูดประจบประแจงออกมาเพื่อหวังให้หวังเป่าเล่อพอใจ
“ท่านเหนื่อยหรือเปล่าขอรับ ท่านบิดา ข้านวดเก่งมากเลย ทำไมท่านไปนอนลงตรงโน้นเล่า เดี๋ยวข้าจะช่วยนวดให้ท่านผ่อนคลายความเมื่อยล้า แล้วท่านคอยสอนวิชาข้าเมื่อพักผ่อนเสร็จแล้วก็ได้”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองไปยังใบหน้าประจบประแจงของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มทำสิ่งนี้อย่างชำนิชำนาญเพราะทำมาเป็นประจำ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในใจหวังเป่าเล่อปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มรู้สึกว่า นอกจากร่างกายที่แปลกประหลาดแล้ว เด็กหนุ่มนี่ก็ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนองค์ชายอีกเลย โดยเฉพาะทักษะการประจบประแจงเข้าขั้นครูเช่นนี้ หวังเป่าเล่อพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ท่าทีของเขาจึงดูอ่อนลง หลังจากลอบมองเด็กหนุ่มอยู่สองสามครั้ง หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา
“หากเจ้าทำตัวดีตั้งแต่แรก เจ้าก็คงไม่ต้องทนรับการทุบตีจากข้า อันที่จริงแล้ว บิดาของเจ้าก็ไม่อยากจะทุบตีเจ้าหรอก ทำตัวดีๆ หน่อย ตอนนี้ก็บอกข้ามาว่าเจ้าถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่ม
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา เหตุผลหนึ่งคือเขาเพิ่งถูกทุบตีมา แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาก็เข้าใจดีว่าเหตุใดจึงถูกตี แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะทุบตีเขาอย่างร้ายกาจและเด็กหนุ่มควรจะเกลียดบุรุษผู้นี้ แต่…เมื่อหวังเป่าเล่อสัมผัสศีรษะและพูดถ้อยคำที่ฟังดูค่อนข้างอบอุ่นออกมา เด็กหนุ่มก็รู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างประหลาด
เขารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พยายามรักษาท่าทางพินอบพิเทาเอาไว้ ก่อนจะกล่าว
“ท่านบิดา ข้ามาจากอาณาจักรพิภพทมิฬจริงๆ ขอรับ ข้าเป็นองค์ช…” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าหนุ่มก็มองเห็นประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาจึงกลืนคำพูดของตนเองก่อนจะเปลี่ยนประโยคเสียใหม่
“ท่านบิดา ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ใช่องค์ชายหรอกขอรับ ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาในอาณาจักรพิภพทมิฬเท่านั้น ข้าประกอบอาชีพเป็นนักแสดง ข้ากำลังแสดงให้องค์ชายในวังได้ดู แล้วจู่ๆ ก็ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่…” เด็กหนุ่มพูดพร้อมร้องห่มร้องไห้ เพราะกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เชื่อ เขาถึงกับหยิบเอาตราประจำตัวออกมา
“ดูสิ ท่านบิดา สิ่งนี้คือประวัติบุคคลของข้าจากอาณาจักร ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรโกหกเลย โปรดอภัยให้ข้าเถิด ท่านบิดา”
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนจะหยิบตราประจำตัวไปใช้ดวงจิตตรวจสอบดู ชายหนุ่มมองเห็นตัวตนของเด็กหนุ่มบนตราประจำตัวจริง แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีข้อมูลอื่นใด
หวังเป่าเล่อไม่เชื่อตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นองค์ชาย แต่มาบัดนี้ เมื่อเด็กหนุ่มบอกว่าได้เป็น หวังเป่าเล่อก็ยังอดแคลงใจไม่ได้อยู่ดี
เป็นไปได้หรือไม่นะว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นองค์ชาย แต่ข้าตีเขาเสียจนไม่กล้าพูดอีกต่อไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนจุดรวมปราณเทียนหลิงของเด็กหนุ่ม แล้วจึงปล่อยวิชาค้นวิญญาณแห่งศาสตร์มืดออกมาโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทัน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อใช้วิชาค้นวิญญาณ แต่ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปค้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เป็นเพราะว่า…ความทรงจำของเด็กหนุ่มนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย!
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเป็นไปได้ ต่อให้หวังเป่าเล่อค้นวิญญาณคนโง่ก็ตาม นอกเสียจากว่าความทรงจำจะถูกใครสักคนลบออกไปจนสิ้น และไม่ได้เพิ่มความทรงจำใหม่ลงไป แต่จากการแสดงออกของเด็กหนุ่มแล้ว เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
น่าสนใจ…เขาไม่ขัดขวางการค้นวิญญาณของข้า แต่ความทรงจำของเขาว่างเปล่า หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นองค์ชายจริงๆ…
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิด ร่างของเด็กหนุ่มก็สั่นไหว ความกลัวปรากฏขึ้นบนแววตา ดูเหมือนกลัวว่าจะถูกอัดอีกรอบ เขาจึงหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ท่านบิดาได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ตั้งแต่ยังเล็ก ร่างกายของข้าก็แตกต่างจากคนอื่นๆ มีคนเคยค้นวิญญาณข้ามาก่อน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเช่นกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม…ได้โปรดอย่าตีข้าอีกเลย” ขณะที่พูดไปนั้น น้ำตาเม็ดโตๆ ก็หล่นเผาะลงมาจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม และร่วงลงไปใส่รองเท้าที่เขาอ้างว่าสนมนับแสนใช้เส้นผมสานขึ้นมา
เมื่อเห็นกริยาขี้ขลาดของเด็กหนุ่มและคิดได้ว่าระดับปราณของอีกฝ่ายอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แถมยังดูแสนธรรมดา ไม่ได้เปล่งรัศมีเช่นเดียวกับเขา หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดอีกครั้งก่อนจะค้นตัวเด็กหนุ่ม รวมไปถึงกระเป๋าคลังเก็บ แถมไม่ได้ละเลยกระจกอันเล็กจิ๋วบนเสื้อผ้าด้วย
หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ามีแต่ขยะ หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้ว ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสมบัติเวทอยู่กับตัว แถมยังดูรู้ว่ายากจนตั้งแต่มองปราดแรก ต่อให้เป็นองค์ชายจริง อารยธรรมที่เขาจากมาก็ต้องอ่อนแอมากเป็นแน่
หลังจากที่สรุปได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เลิกสนใจเด็กหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง ไม่อยากแม้กระทั่งจะถามชื่อ เขาพูดอย่างเย็นชา
“เอาละ ไม่ว่าตัวจริงของเจ้าจะเป็นใครและภูมิหลังเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องของข้า ระวังตัวด้วยเล่า” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังเตรียมจะกลับออกไป
ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อผ่อนคลาย และไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับอะไร ถึงตอนนี้นี้ เขาก็ตัดสินใจจะเดินไปสำรวจที่อื่นก่อนแล้วค่อยกลับไปยังกองทหารวิหคน้ำแข็ง จากนั้นจึงเริ่มค้นคว้าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต่อไป
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มก็หยุดนิ่งแล้วแหงนหน้ามองสิ่งรอบข้างด้วยสายตาสับสน เขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อหันหลังกลับไป จึงทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย หลังจากอึกอักอยู่นาน เด็กหนุ่มก็ตะโกนออกไปว่า “ท่านบิดา พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ…”
หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กับที่ ในเมื่อเด็กหนุ่มเรียกเขาว่าท่านบิดา เขาก็คงต้องดูแลอีกฝ่ายบ้างตามสมควร หวังเป่าเล่อจึงโยนคัมภีร์หยกที่มีแผนที่ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกไป
เด็กหนุ่มรับเอาไว้ได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเซียวเมื่อได้เห็น เขาไม่คุ้นเคยกับแผนที่ดวงดาวนี้เอาเสียเลย จากนั้นความสับสนที่เกิดจากความไม่คุ้นเคยก็แปรเปลี่ยนความรู้สึกอันตรายและไม่สบายใจอย่างรวดเร็ว
“ระวังตัวเล่าด้วยเวลาที่ออกไปข้างนอก อย่าให้ใครจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงเอาได้” หวังเป่าเล่อมองเห็นความไม่สบายใจของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็รู้สึกว่าได้ช่วยเท่าที่ทำได้แล้ว เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะออกไปอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อไม่สนใจ จากนั้นชายหนุ่มจึงพลิกตัวและพุ่งออกจากบริเวณนั้น กลับมายังทางเดินและเริ่มเดินกลับออกไป
เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงทางเดิน ก็มีเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มก็ตามมาพร้อมด้วยเสียงตะโกนด้วยความวิตกกังวลดังก้อง
“โปรดรอข้าด้วยท่านบิดา…” เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือก เมื่อมองดูแผนที่ดวงดาว เขาก็รู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเป็นผู้เดียวที่จะช่วยเขาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้ เพราะอย่างไรเสีย แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะแปลกๆ แถมยังทุบตีเขา แต่ก็ไม่ได้สังหารเขาแต่อย่างใด เด็กหนุ่มจึงเชื่อสัญชาติญาณของตนและเดินตามหวังเป่าเล่อมา
องค์ชายกำมะลอมองเห็นความรำคาญใจบนสีหน้าของหวังเป่าเล่อ แต่ความไม่สงบในจิตใจก็ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากตามหวังเป่าเล่อทันแล้ว เด็กหนุ่มก็เริ่มประจบประแจงอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวก็ไม่ผิด
หวังเป่าเล่อที่เดินอยู่เบื้องหน้าหันมามองเด็กหนุ่มที่ตามเขามาติดๆ ยิ่งได้ยินถ้อยคำประจบประแจงจากอีกฝ่ายมากเพียงใด ก็ยิ่งแน่ใจว่าเด็กหนุ่มนี่ไม่ใช่องค์ชายแน่นอน หวังเป่าเล่อจึงปั้นหน้าบึ้งตึงขณะที่เดินออกไปจากถ้ำ เมื่อมายืนอยู่บนสะเก็ดดาวและกำลังจะก้าวขึ้นเรือบินรบที่จอดอยู่บนอวกาศ เขาก็หันไปถลึงตาใส่เด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง
“เลิกตามข้ามาเสียที!”
“ท่านบิดา โปรดอย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ขอรับ…ข้ามีน้องสาว นางเป็นสตรีรูปงามที่ลือเลื่องไปทั้งอาณาจักรพิภพทมิฬ ข้าจะพานางมาแนะนำให้ท่านรู้จัก ได้โปรดอย่าห่วง หากได้ข้าช่วยเหลือ ท่านต้องจีบนางสำเร็จแน่นอน!” เจ้าหนุ่มยกมือขึ้นตบอกผาง หลังจากที่ประจบประแจงอยู่นานโดยไม่ได้ผล เขาจึงต้องเริ่มใช้วิธีอื่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับสตรีที่ถูกเสนอตั้งแต่ก่อนจะได้พบหน้ากัน แต่คำพูดของเด็กหนุ่มก็กระตุ้นจินตนาการของหวังเป่าเล่ออยู่เล็กๆ ชายหนุ่มคิดว่า เด็กหนุ่มผู้นี้นิสัยคล้ายเจ้าลาของเขา เป็นประเภทที่หากไม่โดนทุบตีก็จะไม่ฟัง เขาจึงกลอกตาก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มอยู่ไปมา
“หากเจ้าจะพาน้องสาวมาแนะนำให้บิดาของเจ้าคนนี้ได้รู้จัก แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะเรียกน้องสาวของตัวเองว่าอย่างไรเล่า”
เจ้าหนุ่มชะงัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “ท่านบิดา ข้ามีน้าสาวที่สวยสะ บิดาข้าก็เพิ่งจะรับสนมใหม่มาอีกคน นางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักด้วย! สตรีสามนางจะมาปรนนิบัติท่านพร้อมๆ กันและจะกลายเป็นที่เลื่องลือในระบบดาวเคราะห์อย่างแน่นอน!”
หวังเป่าเล่อถึงกับอับจนถ้อยคำ และกำลังจะโบกมือบอกปัดความคิดของเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มก็ฉลาดเป็นกรด จึงเริ่มทำทีเป็นวิตกกังวล ก่อนจะกวาดสายไปทั่วร่างของหวังเป่าเล่อและวิเคราะห์ความต้องการของชายหนุ่มออกมา พยายามจะเพิ่มค่าของตัวเองในใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเด็กหนุ่มมองไปยังเรือบินรบที่จอดอยู่บนอวกาศ นัยน์ตาของเขาก็ลุกโชน รีบตะโกนออกมาว่า “ท่านบิดา ข้ามีสูตรหลอมอาวุธเทพอยู่ในความทรงจำ ข้าจะมอบให้ท่าน ได้โปรดรับข้าไปอยู่ด้วยสักระยะหนึ่งเถิด ท่านบิดา!”
เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีบีบบังคับแต่อย่างใด กลับกันเขาหยิบคัมภีร์หยกออกมาและเริ่มเขียนสูตร ที่ถือว่าเป็นระดับสูงในอาณาจักรพิภพทมิฬลงไปทันที ก่อนจะยื่นคัมภีร์นั้นมาให้หวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม
เมื่อเห็นกริยาและความมุ่งมั่นตั้งใจของเด็กหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็อดหยุดยืนมองไม่ได้ ชายหนุ่มรับคัมภีร์หยกมาก่อนจะตรวจสอบด้วยดวงจิต เขาหรี่ตาลงทันที ภายในชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็เงยศีรษะขึ้น มองไปทางเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำและเริ่มครุ่นคิด
สูตรนี้เป็นสูตรหลอมอาวุธเทพจริงๆ เสียด้วย มันช่างแปลกประหลาดนัก และดูเหมือนจะเป็นวิชาหลอมมากกว่า ด้วยวิชาหลอมนี้ ชายหนุ่มจะสามารถแยกส่วนอาวุธเทพออกมา จากนั้นก็นำไปติดไว้บนอาวุธเทพของศัตรูราวกับเป็นปรสิต ซึ่งจะทำให้สามารถดูดกลืนและขโมยอาวุธเทพมาได้!
มันเป็นวิชาระดับสูง สูงยิ่งกว่าทักษะการหลอมวัตถุเวทใดๆ ที่หวังเป่าเล่อเคยพบพานมาก่อน หลังจากการกวาดตาดูครั้งแรก แม้แต่หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสูตรนี้เพียงร้อยละสิบเท่านั้นก็ตาม
หวังเป่ามีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่เขาใช้สูตรนี้ได้อย่างชำนาญ ทักษะการหลอมวัตถุเวทของเขาจะพุ่งทะยานไปสู่อีกระดับอย่างแน่นอน ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเต็มตื้น และทำให้เขาเริ่มให้ความสนใจเด็กหนุ่มขึ้นมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยปากถาม “เจ้าชื่ออะไร”
“สัญลักษณ์ประจำอาณาจักรพิภพทมิฬคือนกแก้ว บิดาข้าจึงตั้งชื่อให้ข้าว่าจี้อู๋จื่อ ท่านเรียกข้าว่าอู๋น้อยก็ได้ขอรับ ท่านบิดา!”
……………………..