เมื่อได้ยินคำว่า “ยื่นไมตรีจิต” ภาพเรือนร่างของบุตรสาวหัวหน้าเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐก็ผุดขึ้นมาในใจ จนหวังเป่าเล่ออดกวาดตามองเทพธิดาหลิงโยวตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้ตัวไม่ได้…
หวังเป่าเล่อคนนี้ไม่ใช่ชายหื่นชอบฉวยโอกาสเช่นนั้น! เขาไม่อยากเชื่อแม้แต่นิดว่าตนเองจะเผลอทำเช่นนั้นไปได้ ชายที่มีจิตใจแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างเขา จะมาแปดเปื้อนโดยจิตใต้สำนึกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก และใคร่ครวญอย่างรวดเร็วว่าตนเองจะตอบเทพธิดาหลิงโยวกลับไปอย่างไรดีเรื่องไมตรีจิตที่นางต้องการมอบให้ ในความจริง ก่อนที่เทพธิดาหลิงโยวจะมาหาเขาถึงที่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดสะระตะเกี่ยวกับโล่ของตนบ้างแล้วตั้งแต่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา
เขามั่นใจมากว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาที่แม้จะดูเหมือนแข็งแกร่งนั้น ต้องอ่อนกำลังลงอย่างมากแน่เมื่อเผชิญกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ แม้จะยังสะท้อนการโจมตีกลับไปได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่อัตราของมันจะเป็นร้อยละ 170 เท่าเดิม และหากพลังที่พุ่งเข้ามาปะทะแข็งแกร่งกว่านั้น ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่โล่นี้แตกเป็นเสี่ยงๆ
ด้วยเหตุนี้…แม้ว่ามันจะมีค่ามาก แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่าจนสวรรค์ยังต้องสะเทือนแต่อย่างใด การที่ปรมาจารย์จะสนใจโล่ชิ้นนี้ ย่อมไม่น่าใช่เพราะความแข็งแกร่งของมันที่ทำให้ทุกคนในสนามรบตกใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยแน่นอน
หากข้าลองวิเคราะห์ดูดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะไข สิ่งที่ปรมาจารย์สนใจในโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต้องเป็นวิธีการซ้อนอักขระที่ใช้ในการหลอมโล่เป็นแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่ในใจ
เขาไม่ได้มีปัญหากับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการซ้อนอักขระแต่อย่างใด เนื่องจากเดินมาถึงทางตันของวิธีนี้ โดยเสริมพลังโล่ได้ถึงระดับสิบเจ็ดแล้ว นอกจากนี้เขายังคิดวิธีหลอมโล่ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้แล้วด้วย วิธีการใหม่ที่เขาคิดได้จะทำให้พลังของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาถูกดันไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น และทำให้ต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อยู่หมัดเลยทีเดียว
ดังนั้นการแลกเปลี่ยนความรู้เก่าก่อนจึงถือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองเทพธิดาหลิงโยวซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน สีหน้าของชายหนุ่มไม่ได้แสดงความรีบร้อนแม้แต่น้อย
“ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า ท่านผู้บัญชาการ”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ดวงตาของเทพธิดาหลิงโยวก็แสดงแววความรำคาญใจออกมาเล็กน้อย แม้เสียงของนางเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง แต่ท่วงทำนองในการพูดจาก็ยังช้าชัดถ้อยชัดคำเช่นเดิม นางเอ่ยด้วยเสียงเบา “สิทธิ์ในการตั้งกองทหารของตนเองอย่างไรเล่า!”
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำนั้น หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นในทันที เขารู้สึกราวกับว่าตนเองถูกอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนหนังสือที่เปิดแผ่ไว้อย่างไรอย่างนั้น นั้นเพราะสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนนั้นเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่ทราบดีว่าการจะได้สิทธิ์นี้มาไว้ในครอบครอง เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินสำหรับศิษย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์
นั่นเพราะสิทธิ์ในการตั้งกองทหารของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แตกต่างจากกองทหารของสำนักในอาณัติอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเชิงความหมายและจุดประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น หากกองทหารของสำนักในอาณัติต้องการเข้าประลองเพื่อยกฐานะตนเอง พวกเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราคาแพงจับใจ ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการจากสำนักปกครองที่ยืดยาวเสียจนน่าอ่อนใจ ก่อนที่คำขอท้าประลองของพวกเขาจะได้รับการยอมรับ
แต่หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ให้สิทธิ์ในการตั้งกองทหารกับเขา กองทหารนั้นก็จะถือเป็นกองทหารแห่งสำนักชั้นใน หากต้องการท้าประลองด้วยกันภายในหมู่กองทหารชั้นใน ก็เพียงแต่ต้องสมัครเท่านั้น แม้จะยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แพงเท่าที่กองทหารชั้นนอกต้องจ่าย
จากการคำนวณของหวังเป่าเล่อ หากเขาต้องการเป็นผู้บัญชาการกองทหารชั้นในของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาคงต้องใช้อะไรมากกว่าวิธีการซ้อนอักขระเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา แต่ในเมื่อเทพธิดาหลิงโยวเสนอตัวช่วยเหลือและต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาในอนาคต ชายหนุ่มจึงรับรู้ได้ว่า…นางต้องเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ มิเช่นนั้นคงไม่เสนอเรื่องนี้ออกมาด้วยตนเอง
เมื่อวิเคราะห์มาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ยืนประจันหน้ากับเทพธิดาหลิงโยว และทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับ!
“ขอบพระคุณขอรับ ท่านผู้บัญชาการ!”
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อให้สิ่งที่เจ้าขอเป็นจริง แต่ข้าก็มีสิ่งที่อยากขอร้องเจ้าเช่นกัน หากเจ้าทำสำเร็จและได้ก้าวขึ้นมามีกองกำลังของตนเองแล้วละก็ ข้าอยากได้เจ้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบเจ็ดจำนวนหนึ่งร้อยชิ้นให้กองทหารวิหคน้ำแข็ง เพื่อเป็นการตอบแทน…ข้าจะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นปราณเล็กๆ อีกขั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เทพธิดาหลิงโยวมองหวังเป่าเล่ออย่างใจจดใจจ่อ นางมั่นใจว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้มาถึงระดับนี้ได้ ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกกองทหารในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของใคร การช่วยให้เขาได้มีกองทหารอาจแปลว่านางกำลังสร้างศัตรูให้ตนเองอยู่ก็เป็นได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน สิ่งเดียวที่แน่นอนคือนางได้ยื่นไมตรีจิตให้หวังเป่าเล่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์แก่นางในอนาคตก็เป็นได้
แต่หากนางไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือชายหนุ่ม และหากเขาถูกกองทหารอื่นดึงตัวไป ก็จะกลายมาเป็นภัยต่อกองกำลังของนางในระยะเวลาอันใกล้แน่นอน หลังจากที่ยื่นข้อเสนอไป เทพธิดาหลิงโยวจึงเอ่ยปากอีกครั้ง
“หากข้าช่วยให้เจ้าได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะยินดีเป็นบริวารใต้บังคับบัญชาของกองทหารวิหคน้ำแข็ง กองทหารของเจ้าและกองทหารของข้าจะได้เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นต่อกัน แต่ไม่ต้องกังวลไป ตำแหน่งของกองทหารบริวารนั้นสูงส่งกว่ากองทหารในอาณัติทั่วไป เจ้าจะไม่ถูกจำกัดสิ่งใดแน่นอนนอกเสียจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ !”
เมื่อพินิจเทพธิดาหลิงโยวอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปฏิเสธอีกฝ่าย เขาจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนกล่าวขอบคุณนางอีกครั้ง การเจรจาของทั้งสองจึงถือว่าเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เทพธิดาหลิงโยวไม่คุ้นชินกับการพูดคุยกับผู้คนอยู่แล้ว นางจึงขอตัวจากไป
หวังเป่าเล่อมองรูปร่างสง่างามของเทพธิดาหลิงโยวที่เดินจากไปด้วยจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะไม่ได้เป็นที่ที่ดีขนาดนั้น และผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ล้วนเห็นแก่ตัวไม่มีความโอบอ้อมอารี แต่ดูเหมือนจะยังมีบางคนที่จริงใจและตรงไปตรงมา
หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่เทพธิดาหลิงโยวเอ่ย ก็จะถือเป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่ลึกๆ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักของตนเอง ทำสมาธิให้จิตใจสงบขณะเฝ้ารอเวลารุ่งสาง
หนึ่งราตรีผ่านไป หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นมาพบแสงสว่างยามเช้า หลังจากที่คำนวณเวลาในใจแล้ว เขาก็จัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยและก้าวออกจากที่พักไป ผู้ฝึกตนหญิงจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่ได้รับคำสั่งให้พาเขาไปยังจุดหมาย ได้มาคอยท่าอยู่แล้ว ทั้งสองมีปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นหน้าทั้งสองมาก่อน แต่ก็รู้สึกคุ้นๆ ชอบกล ทั้งสองมองเขาด้วยสายตาประหลาด แต่ก็ยังมีสีหน้าเคารพอยู่
หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมา ทักทายคนทั้งคู่และก้าวขึ้นเรือบินรบที่เตรียมเอาไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะไปพร้อมผู้นำทางทั้งสอง พวกเขาจากดวงจันทร์บริวารซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทหารวิหคน้ำแข็ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์มหาทัณฑ์
เรือบินรบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงโดยไม่หยุดแม้แต่ครั้งเดียว จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ มันพุ่งตัดผ่านประตูภูผาเข้าไปยังใจกลางของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในทันที เมื่อเข้าไปในประตูเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองก็จัดการทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับเป็นมุมฉากเพื่อส่งหวังเป่าเล่อออกจากเรือบินรบไป
“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ พวกเราทั้งสองนำทางท่านมาได้เพียงเท่านี้ หลังจากที่ได้พบท่านปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว โปรดกลับมาที่เรือบินรบลำนี้ พวกเราจะรอท่านอยู่ที่นี่”
การได้รับเกียรติเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอันมาก เขาขอบคุณทั้งสองอย่างสุภาพอ่อนน้อม ก่อนหันไปมองสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เบื้องหน้า แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนที่แห่งนี้ แต่ก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นอยู่ดี
หลังจากที่หวังเป่าเล่อสงบจิตสงบใจลงเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนจากสำนักที่ถูกส่งมารับเขาก็เดินทางมาถึง ผู้ฝึกตนผู้นั้นหาใช่หญิงสาวที่หวังเป่าเล่อเคยมอบของกำนัลให้ไม่ หากแต่เป็นชายชราที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยกระและจุดด่างดำมากมาย ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดูเหมือนจะลืมไม่ขึ้นแล้ว
ชายชราผู้นี้ดูอ่อนแอยิ่งนัก แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเขา ชายหนุ่มก็ตกอยู่ในสภาวะตกใจ นอกจากปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็มีเพียงชายชราผู้นี้เท่านั้นที่ยากจะหยั่งถึง ไอพลังที่อีกฝ่ายปล่อยออกมานั้นดูช่างแสนอำมหิต ทำให้ใครก็ตามที่ได้สัมผัสรู้สึกราวกับกำลังจ้องมองอสรพิษร้ายอย่างไรอย่างนั้น
ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายรึ หรือว่าจะเป็นระดับดาวพระเคราะห์แบบครึ่งใบกันแน่ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาทำมือคารวะพร้อมโค้งตัวคำนับด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองเองก็ดูประหม่าและทำเช่นเดียวกันกับเขา
“ขอคารวะศิษย์พี่สวี!”
ชายชราคลี่ยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นไม่ได้มาพร้อมความอบอุ่นแต่อย่างใด หากแต่ทำให้กลิ่นอายความอำมหิตรุนแรงยิ่งขึ้น
“พวกเจ้าทั้งสองนั่นเอง ข้าไม่ได้เจอเสียนาน โตขึ้นมากเลยนะ” ดวงตาของเขามองมาที่หวังเป่าเล่อขณะพูดถึงผู้ฝึกตนหญิงทั้งสอง ในแววตาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นหนังสือที่ถูกอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งอีกครั้ง
“เจ้าเองก็ไม่เลวนะเจ้าหนุ่ม ตามข้ามา ท่านปรมาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่ที่วังมหาทัณฑ์” ชายชราเบือนสายตาออก หันหลังกลับและเดินจากไป หวังเป่าเล่อนึกไม่ออกว่าชายผู้นี้เป็นใคร แม้จะพอเดาได้ลางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่ เขาจึงหันไปหาผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ
“ผู้ดูแลกิจการแห่งดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ทั้งหมด!” หญิงสาวทั้งสองกะพริบตาปริบ ก่อนที่คนหนึ่งจะส่งข้อความเสียงมาให้เขา
หวังเป่าเล่อไม่ได้พยายามหลบซ่อนการยกมือขึ้นมาคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ เขาเหาะตามชายชราไป มุ่งหน้าไปยังวังมหาทัณฑ์ที่ปรมาจารย์อาศัยอยู่
ที่ชายหนุ่มไม่ได้พยายามซ่อนท่าที เป็นเพราะรู้ดีว่าซ่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ที่มีอำนาจและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ย่อมรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว จึงจะเป็นการดีกว่าหากเขาทำทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็เป็นจริงเสียด้วย ท่าทีแสดงความขอบคุณของหวังเป่าเล่อทำให้ผู้ดูแลกิจการแห่งดาวเคราะห์มหาทัณฑ์พยักหน้ารับรู้เล็กน้อย
จากนั้นชายหนุ่มก็เดินหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองค่อยๆ มุ่งหน้าสู่จุดหมายอันเป็นใจกลางของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ท่ามกลางความเงียบงัน เมื่อเทียบกับบริเวณโดยรอบแล้ว ที่แห่งนี้เงียบเชียบกว่ามาก บริเวณนี้มีทะเลสาบตั้งอยู่ บนทะเลสาบคือ…วังสีน้ำเงินเข้ม!
ภายนอกวังมีรูปปั้นที่ปล่อยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมา เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึง รูปปั้นคู่ก็ค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“เข้ามาเลย ไม่ต้องกลัวไป” ชายชราหันมามองหน้าหวังเป่าเล่อขณะที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าประตูวัง แม้ใบหน้าของเขาจะเปื้อนยิ้ม แต่ไอพลังที่ร่างกายปล่อยออกมานั้นช่างรุนแรงเสียจนหวังเป่าเล่ออดหายใจสะดุดไม่ได้
…………………