สำหรับหวังเป่าเล่อ ความรู้สึกนี้คล้ายกับการสร้างบ้านใหญ่ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง แต่มีคนแปลกหน้าสามคนดอดเข้ามาอยู่ด้วย โดยยึดห้องสามห้องเป็นของตนเอง
หากแค่อยู่ในบ้านเฉยๆ คงไม่เป็นไร แต่สามคนที่เข้าใหม่นี้กลับพยายามลบชื่อของเขาออกจากความเป็นเจ้าของห้อง และเขียนชื่อตนเองลงไปแทนที่
นี่มันปล้นกันชัดๆ ไอ้พวกระยำ มาแย่งของของข้าไปได้อย่างไร เมื่อหวังเป่าเล่อนึกถึงคำว่า ‘ปล้น’ เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการหมั้นหมายของหลี่หว่านเอ๋อร์และเฉินมู่ ความคิดที่ว่าอีกไม่นานหลี่หว่านเอ๋อร์จะกลายเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเฉินมู่ ความโกรธเกรี้ยวที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ซึ่งสลายไปแล้ว ก็กลับมาอีกครั้ง
ในตอนเดียวกันนั้น เรือบินขนาดใหญ่เป็นพิเศษหลายสิบลำ ก็กำลังเดินทางจากนครดาวอังคารมายังนครอาวุธเทพใหม่ ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
เรือบินเหล่านั้นขนกำลังคนและวัสดุอุปกรณ์มามากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว บุคคลสามคนนั่งอยู่ในห้องควบคุมของเรือบินลำแรก กำลังจิบสุราและพูดคุยกันอยู่ คนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดแบบเป็นทางการและมีผิวขาวผ่อง แววตาของเขาแฝงความล้ำลึก ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ และให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา
“ศิษย์น้องเวินและศิษย์น้องหญิงฟาง ตราบใดที่เราทั้งสามยังทำตามข้อตกลงที่คิดกันไว้ และทำหน้าที่ของเราในนครอาวุธเทพใหม่ให้ดี ก็จะไม่มีใครมาทำอะไรเราได้” ชายหนุ่มคนนั้นถือแก้วสุราไว้ในมือ ก่อนจิบเมื่อพูดจบ เขายิ้มด้วยสีหน้าฉลาดหลักแหลมและน่าเชื่อถือ ซึ่งทำให้บุคคลอีกสองคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามพยักหน้าเล็กน้อย
เวินไหวสวมชุดคลุมยาวแบบโบราณ แขนเสื้อกว้างของชุดนั้นเผยให้เห็นผ้าพันแผลสีดำที่พันแขนของชายหนุ่มอย่างแน่นหนา เช่นเดียวกับลำคอและครึ่งหนึ่งของใบหน้า รูปลักษณ์นี้ทำให้เวินไหวดูอันตรายมาก
อีกผู้หนึ่งคือสตรีนามว่าฟางจิ้ง มองปราดเดียวก็รู้ว่านางมาจากสำนักสหชุมนุมสกุณา แม้ชื่อของ ‘สำนักสหชุมนุมสกุณา’ ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่ความจริงแล้ว ศิษย์ทุกคนไม่ว่าจะชายหรือหญิงมีจุดมุ่งหมายเดียว คือการสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทุกคนจึงมีกล้ามเนื้อขนาดใหญ่จนน่ากลัว รวมถึงฟางจิ้งด้วย
ฟางจิ้งมีใบหน้าสะสวย แต่ไม่ว่านางจะงดงามเพียงใด กล้ามหนานั้นก็ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต้องตกใจ
ฟางจิ้งที่นั่งอยู่ในตอนนี้ดูเหมือนปราการเหล็ก นางปล่อยพลังกดดันรุนแรงที่ทำให้แม้แต่เวินไหวเองยังต้องกลัว แต่พลังกดดันของนางไม่ส่งผลอะไรกับชายหนุ่มในชุดทางการ
ชายหนุ่มผู้นั้นคือเฉินมู่ บุตรชายคนโตของตระกูลเฉิน บัดนี้ทั้งสามกำลังมุ่งหน้าไปยังนครอาวุธเทพใหม่ และจะถึงที่นั่นในอีกหนึ่งชั่วโมงตามกำหนดการ
“ศิษย์พี่เฉิน ท่านอย่าประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไป ข้าเคยเจอหมอนั่นมาก่อน… นอกจากจะเป็นคนโหดเหี้ยมแล้ว ยังหน้าไม่อายและเจ้าเล่ห์เพทุบายมากอีกด้วย คนอย่างหวังเป่าเล่อทำได้ทุกอย่าง ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจที่สุด!” เวินไหวพูดเสียงเบาหลังจากเงียบมาเป็นเวลานาน ชายหนุ่มบอกทัศนคติของตนที่มีต่อหวังเป่าเล่อให้อีกสองคนได้รับรู้
“ข้ากับหลี่อี้เป็นเพื่อนรักกัน นางบอกข้าว่าหวังเป่าเล่อเป็นสวะที่มีรูปร่างอ้วนเหมือนหมูตอน แถมยังมักมากในกาม หากหมอนั่นกล้าคิดลามกกับข้าละก็ ข้าจะแสดงให้หมอนั่นเห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะข่มเหงรังแกได้!” ฟางจิ้งพ่นลมเยาะ นางมีแต่ความเกลียดชังให้หวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเรื่องราวแสนร้ายกาจของอีกฝ่ายจากหลี่อี้
แววตกใจวาบผ่านสายตาของเวินไหว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เฉินมู่ยังคงความสง่างามเอาไว้ได้เสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“หวังเป่าเล่อถือว่าเป็นสวะในสหพันธรัฐจริงเสียด้วย ถึงอย่างไรก็ต้องรีบกำจัดหมอนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ศิษย์น้องเวินพูดถูก ความจริงที่ว่าหมอนั่นมาถึงจุดนี้ได้แปลว่าเขาก็พอมีน้ำยาอยู่บ้าง หมอนั่นคงโหดเหี้ยมไม่น้อย เราจึงต้องระวังตนในทุกฝีก้าว แต่กลุ่มอำนาจของพวกเราได้ทำข้อตกลงกันเรียบร้อย ทำให้เราทั้งสามนับถือกันเสมือนพี่เสมือนน้อง แค่นี้ก็เห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาอยู่ที่ใด
“ดังนั้น ตราบใดที่เราทั้งสามคนยังกลมเกลียวกันไว้ หวังเป่าเล่อก็จะกลายเป็นเพียงขั้นบันไดให้เราเหยียบขึ้นไปเท่านั้น”
เวินไหวและฟางจิ้งนิ่งฟัง ดูเหมือนทั้งสองจะคิดอะไรได้ จึงยิ้มและยกแก้วสุราของตนเองขึ้นเพื่อคารวะเฉินมู่
เฉินมู่หัวเราะอย่างใจดี ภายนอกเขามีสีหน้าใจเย็น แต่ภายในกลับพึงพอใจอยู่เงียบๆ คราวนี้ตระกูลของเขาไม่เพียงหาตำแหน่งนายกเทศมนตรีมาให้ได้ พวกเขายังจัดการให้เขตที่เขาต้องปกครองเป็นเอกเทศจากหวังเป่าเล่อ นอกจากนี้เขายังมีพันธมิตรเรียบร้อยที่นครใหม่นี้ แถมคู่หมั้นของเขา หลี่หว่านเอ๋อร์ ยังเป็นถึงรองเจ้าเมืองอีกด้วย
ความจริงแล้วเฉินมู่ไม่พอใจในตัวคู่หมั้นของตนคนนี้ แม้จะมีสตรีหลายคนที่ดำรงตำแหน่งยิ่งใหญ่กว่าเขา จนทำให้เขาเองยังต้องอาย แต่ก็มีสตรีหลายคนเช่นกันที่พร้อมจะพลีกายเปลื้องผ้า และกระโจนเข้าหาเขาทันทีที่ดีดนิ้ว
อีกอย่างเขาเองก็ต่างจากจินตั้วหมิง จินตั้วหมิงชอบสะสม แต่เฉินมู่ชอบความสุขชั่วครั้งชั่วคราว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่พอใจการมีคู่หมั้นคู่หมายเป็นตัวเป็นตน
ตระกูลของเขาบอกเอาไว้ว่า หลี่หว่านเอ๋อร์มีหน้าที่ปูทางให้เขาประสบความสำเร็จที่นครอาวุธเทพใหม่ นี่เป็นข้อตกลงระหว่างตระกูลเฉินและหัวหน้าเสนาบดีหลี่
ดังนั้นเพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ชายหนุ่มจึงยอมตกลงแต่งงานอย่างไม่เต็มใจ เขาเก็บงำความไม่พอใจนี้ไว้กับตนเองคนเดียว โดยไม่กล้าเปิดเผยให้หัวหน้าเสนาบดีได้เห็น
เช่นนั้นก็ได้ ข้าก็เคยเจอหลี่หว่านเอ๋อร์นี้มาก่อน นางก็ดูสวยดี แถมยังหุ่นยั่วมาก ถึงข้าจะไม่รู้ว่าแก้ผ้าแล้วจะดูเป็นอย่างไร แต่ก็คงพอมีน้ำยาบนเตียงอยู่บ้าง เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉินมู่ก็ตื่นเต้นขึ้นมา แต่หลี่หว่านเอ๋อร์ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวกันจนกว่าจะแต่งงาน แต่เฉินมู่เองก็มั่นใจว่าในฐานะสตรีคนหนึ่ง นางคงไม่ได้หมายความเช่นนั้นจริง
เมื่อนึกถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ ความเกลียดชังในตัวหวังเป่าเล่อก็ทวีความรุนแรงขึ้นมาในใจของเฉินมู่ จนกลายเป็นความชิงชังรุนแรงที่ทำให้เขาสังหารได้หากมีโอกาส…
เขาปรามาศหวังเป่าเล่อ เนื่องจากคิดว่าหวังเป่าเล่อเพียงแค่โชคช่วยเท่านั้น โชคของอีกฝ่ายนั้นไม่แน่นอนแถมยังไร้รากฐาน
สำหรับเฉินมู่ ความดื้อดึงของหวังเป่าเล่อที่จะขยายเขตนครเป็นนครใหญ่ ทั้งที่ตนเองก็มีตำแหน่งที่มั่นคงอยู่แล้วเป็นการเดินหมากที่โง่เขลา แม้จะทำให้เขาได้ปรับตำแหน่งขึ้นก็ตาม หวังเป่าเล่อใจร้อน แต่เฉินมู่เองก็ต้องขอบคุณความโง่ของอีกฝ่ายที่ทำให้ตระกูลเฉินมีโอกาสแทรกแซงทางการเมืองในอาณานิคมดาวอังคารอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนลงตัวดีอยู่แล้ว
ความจงเกลียดจงชังหวังเป่าเล่อของเฉินมู่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง เขาได้ยินมาว่าเคยมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างหวังเป่าเล่อและหลี่หว่านเอ๋อร์ผ่านการคุยกับอย่างลับๆ กับตระกูลจั่ว เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจเป็นอันมาก เฉินมู่พยายามขอบันทึกภาพนั้นจากตระกูลจั่วหลายครั้ง เนื่องจากสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่ตระกูลจั่วเองกลับไม่ยอมส่งมาให้เขา เพียงแต่บอกว่าทำลายไปแล้วเท่านั้น
ทว่าเฉินมู่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เขาตามตัวจั่วอี้เซียนมา แต่จั่วอี้เซียนกลับตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว และไม่กล้าเข้ามายุ่งเรื่องนี้อีกต่อไป แต่ความเกลียดหวังเป่าเล่อในตัวชายหนุ่มก็ชนะทุกสิ่ง จั่วอี้เซียนตบบ่าเฉินมู่ด้วยสีหน้าสังเวช และบอกเขาว่า…
“ท่านพี่ อย่าคิดมากเรื่องนี้เลย ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเถิด หากท่านไม่ทำเช่นนั้นและได้เห็นบันทึกภาพเข้าละก็ ท่านอาจ… ลืมไปเสียเถิด ข้าบอกได้แค่นี้ เดี๋ยวท่านจะเข้าใจข้าเอง”
หากจั่วอี้เซียนไม่ได้พูดอะไรเช่นนั้นออกมา เฉินมู่คงจะลืมง่ายกว่า แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นเข้าไปแล้ว เฉินมู่ก็เกลียดหวังเป่าเล่อขึ้นมากกว่าเดิม แต่ชายหนุ่มก็ไม่ปล่อยให้ความเกลียดนี้เล็ดรอดออกจากใจขณะคุยกับเวินไหวและฟางจิ้ง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความชิงชังในตัวหวังเป่าเล่อก็ตาม ไม่นานนักเรือบินที่เดินหน้าด้วยความเร็วเต็มกำลังก็มาถึงนครอาวุธเทพใหม่ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้น
แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้มาต้อนรับพวกเขา แต่ส่งหลี่หว่านเอ๋อร์มาแทน ทั้งสามเข้าพบกงเต๋าและจินตั้วหมิง พวกเขาเข้าใจดีว่าใครเป็นอย่างไรบ้างในที่แห่งนี้ จึงเลือกละเลยหลินเทียนหาว และมุ่งหน้าไปที่เขตของตนเองเพื่อเริ่มการก่อสร้างทันที
แม้เวินไหวและฟางจิ้งจะปฏิบัติต่อหลี่หว่านเอ๋อร์เป็นอย่างดี แต่เฉินมู่ทำตัวเหมือนตนเองเป็นเจ้าของนาง แม้เฉินมู่จะไม่ได้สั่งให้นางทำนู่นทำนี่เหมือนทาสรับใช้ แต่ทัศนคติของเขาทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์ไม่พอใจเป็นอันมาก
ทั้งสามคนไม่ได้พูดถึงหวังเป่าเล่อเลยตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาไม่เข้าพบหวังเป่าเล่อ ทำเหมือนหวังเป่าเล่อไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ และทำเหมือนว่าเขตใหม่ทั้งสามไม่ได้อยู่ในนครใหม่แห่งนี้ เมื่อคนอื่นสังเกตเห็นเรื่องนี้ก็เริ่มสงสัยว่าต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน หลี่หว่านเอ๋อร์อยากเตือนพวกเขาว่าการต่อต้านหวังเป่าเล่อเป็นเรื่องไม่สมควร แต่เมื่อเห็นทัศนคติของเฉินมู่ที่มีต่อนาง นางก็รู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตัดสินใจว่าจะไม่เตือนใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนตัวหวังเป่าเล่อเองนั้น แม้จะไม่ได้ปรากฏกาย แต่ก็ได้รับข้อมูลอย่างละเอียดจากหลิวต้าวปินและศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่นายกเทศมนตรีใหม่ทั้งสามคนมาถึง ความรำคาญใจก็ฉายขึ้นมาในแววตาของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในห้องทำงาน เขาลูบขนเจ้าลาที่ดูเหน็ดเหนื่อยหลังเพิ่งกลับมาจากออกไปเที่ยวเล่น
อยากทำตัวไร้มารยาทมากเช่นนั้นหรือ