ร่างกายที่แข็งแกร่ง พลังปราณที่ทรงพลัง และกระแสวิญญาณที่เข้มข้น…ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดหลงหนานจื่อจึงทำให้กองทหารมังกรหยดหมึกเสียท่าได้ แม้วิธีการทำลายกองทหารทั้งกองของเขาจะบ้าระห่ำมาก แต่ตัวเขาเองยังรู้จักที่ต่ำที่สูง รู้จักการให้และการรับ นอกจากนี้สติปัญญายังหลักแหลมเกินใคร ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทเป็นอย่างมากอีกด้วย… ผู้ดูแลกิจการสวีเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ด้วยสายตาที่แสดงความชื่นชมเป็นครั้งแรก
ถึงเขาจะรู้จักมักจี่กับหลงหนานจื่อมาได้ไม่นาน แต่ก็เห็นถึงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของชายหนุ่มได้ในเวลาอันสั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เขาชื่นชมหวังเป่าเล่อ และเริ่มเชื่อมั่นว่าการมองคนของหลิงโยวนั้นไม่เลวเลยทีเดียว
ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างศิษย์หนุ่มคนนี้กับหลิงโยว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผู้ดูแลกิจการสวีก็ประเมินหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ยิ่งพิจารณามากเท่าใด ก็ยิ่งมั่นใจว่าความคิดนี้มีความเป็นไปได้
อาจเป็นเพราะชายชราคิดว่าเสียงร้องโหยหวนแหลมสูงของเหล่าผู้ทรงพลังด้านล่างที่กำลังโดนดูดพลังชีวิตดังแสบแก้วหูเกินไป ผู้ดูแลกิจการสวีจึงโบกมือขวาอย่างแรงเพื่อให้ทุกตนเงียบเสียง แอ่งกระทะสั่นสะเทือนในทันที โซ่ตรวนที่จองจำร่างทั้งเก้าเอาไว้กระชับหดสั้นลงและดึงร่างทั้งหมดกลับไปในถ้ำของตนเองดังเดิม!
เสียงโซ่พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ จางหายไป เมื่อดวงจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเงินยวงดังเดิม ดวงตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศก็เป็นประกายเจิดจ้า ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่กำลังปั่นป่วนบ้าคลั่งอยู่ในกายตนเองแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้
นี่คือความเป็นจริงของความแตกต่างระหว่างสองอารยธรรม หวังเป่าเล่อคนเดิมที่อยู่ในสหพันธรัฐ ไม่ว่าจะพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นอย่างไร ก็ทำได้อย่างดีแค่บรรลุปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่หวังเป่าเล่อในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้บรรลุขั้นปราณเท่านั้น แต่ยังเดินทางมาถึงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายได้แม้จะอยู่ในอารยธรรมนี้มาได้ไม่นานก็ตาม!
ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เขาก็กำลังจะมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว พลังปราณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสะท้อนให้เห็นเด่นชัดขึ้นในการต่อสู้ แม้เขาจะยังไม่ได้มีโอกาสทดลองพลังใหม่ที่ได้รับมา แต่ก็รู้สึกได้ว่าหากตนเองเผชิญกับผู้บัญชาการขั้นแสร้งอมตะของกองทหารมังกรหยดหมึกอีกครั้ง เขาจะสามารถใช้พลังของตนเองต่อกรกับนางได้อย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเลยด้วยซ้ำไป!
ส่วนใครจะชนะนั้น…อะไรก็เกิดขึ้นได้!
นั่นเพราะพลังกายของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นจากเดิมมากเช่นกัน เขามั่นใจว่าทันทีที่รวมร่างอวตารนี้เข้ากับร่างที่แท้จริงของตนแล้ว ต่อให้มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ก็คงสังหารผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะได้ไม่ยากเย็นนัก!
“ขอบพระคุณท่านมากขอรับ ศิษย์พี่สวี!” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับผู้ดูแลกิจการสวีพร้อมทำมือคารวะ เขารู้สึกขอบคุณผู้ดูแลกิจการสวีจากใจจริงที่ไม่หยุดเขาก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงพัฒนาขั้นปราณตนได้ไม่สุดเป็นแน่แท้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ไปขอบคุณเจ้าเด็กน้อยหลิงโยวนั่นเถิด” ผู้ดูแลกิจการสวียิ้ม แม้ชายชราจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแสดงไมตรีจิต แต่ความลึกลับน่าขนลุกที่หยั่งรากลึกอยู่ในกระดูก กลับทำให้รอยยิ้มของเขาดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเล็กน้อยอยู่ภายใน รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล หลังจากที่ทำมือคารวะอีกครั้ง ทั้งสองก็ออกจากบริเวณต้องห้ามมาในที่สุด
ระหว่างทางกลับไปยังเรือบินรบของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้ดูแลกิจการสวีที่มองมายังเขา สายตานั้นดูมีแววหยั่งลึกที่ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจ ความรู้สึกประหลาดนี้ทวีมากขึ้นอีกเมื่อผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มซักประวัติเขา
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกระแวงเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มสงสัยตัวตนที่แท้จริงของตน…ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เขาถอนหายใจออกมาทันทีที่ถึงเรือบินรบกองทหารวิหคน้ำแข็ง และผู้ดูแลกิจการสวีได้จากไปแล้ว ก่อนก้มลงมองตราประจำตัวสีฟ้าในมือตน
ตราประจำตัวนี้คือตราวงแหวนปราณที่ผู้ดูแลกิจการสวีมอบให้เขาก่อนจากไป เขาเพียงแต่ต้องใส่พลังปราณของตนเข้าไปเท่านั้นเพื่อประทับตรา จากนั้นก็สามารถปล่อยตราประจำกองทหารของเขาไว้ในวงแหวนปราณแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้เลย ระหว่างนี้สำนักจะจัดการหาฐานที่มั่นให้เขาจากตราประทับที่ใส่เข้าไป
วิธีการนี้คล้ายกับเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐ ความแตกต่างก็คือเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐนั้นกระจายไปทั่วอาณาจักรและใครก็เข้าถึงได้ แต่สำหรับที่นี่…แบ่งแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าแทน
หลังจากที่เก็บตราประจำตัวกลับเข้ากระเป๋าเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เดินทางกลับสู่ฐานที่มั่นกองทหารวิหคน้ำแข็งด้วยความปรีดาถึงขีดสุด เสียงเครื่องยนของเรือบินรบดังลั่นขณะเหาะออกจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์
สำหรับการกลับมาในครั้งนี้ สถานะของชายหนุ่มได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นสมาชิกกองทหารวิหคน้ำแข็งอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้นำกองทหารใต้บังคับบัญชา และถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะต่ำกว่าหลิงโยว แต่ก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงผู้บัญชาการทหาร
ด้วยเหตุนี้…เมื่อเรือบินรบลงจอดเทียบท่า กองทหารวิหคน้ำแข็งก็ได้เตรียมพิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยทั้งเทพธิดาหลิงโยวและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ ใต้อาณัติของนางก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน
งานต้อนรับนี้มีพิธีรีตองไม่น้อย แต่หวังเป่าเล่อที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนนั้นคุ้นชินกับงานเช่นนี้เป็นอย่างดี จึงรับมือได้อย่างไม่ติดขัด เขาพูดคุยกับทุกคน ทั้งยังแสดงความขอบคุณเทพธิดาหลิงโยว และตอบตกลงเงื่อนไขก่อนหน้านั้นที่คุยกันเอาไว้ด้วย
ท้ายที่สุด เทพธิดาหลิงโยวก็เชิญชวนให้หวังเป่าเล่อออกไปตั้งกองทหารของตนหลังจากที่หลอมโล่ให้เสร็จตามสัญญา ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบตกลง
เมื่องานเลี้ยงเลิกรา หวังเป่าเล่อที่บัดนี้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนหญิงรอบกายเขายังคงสงวนท่าที แม้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เพียงใด แม้ดวงตาของทุกคนจะเป็นประกายเจิดจ้ายามที่มองเขา แต่ก็ยังไม่มีใครพยายามให้ท่าแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนัก เมื่อกลับมาพักถ้ำที่พัก เขาก็ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นท่ามกลางความเงียบงัน
ช่างมันปะไร ต่อให้มายั่วข้าก็ไม่เอาหรอก! หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่คนเดียว หลังจากที่ปัดความคิดเรื่องนี้ออกไปจากหัว ดวงตาของชายหนุ่มก็หรี่ลง
ในเมื่อโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าถูกยึดไปแล้ว ข้าจะต้องรีบสร้างชิ้นที่ดีกว่าโดยเร็ว มิเช่นนั้นเมื่อเจอภัยอันตรายหลังออกจากกองทหารวิหคน้ำแข็งไปแล้ว คงจะจัดการได้ยากเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็รวบรวมความคิดอีกครั้ง และเริ่มประเมินวิธีการหลอมโล่ใหม่ที่ตนเคยคิดออก
สิ่งสำคัญที่สุดคือเคล็ดวิชาพิเศษในการหลอมอาวุธเทพที่อยู่ในสูตรซึ่งเจ้าอู่น้อยมอบให้
การรื้อสร้าง… พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากแยกชิ้นส่วน! ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าของตนเองและหยิบวัตถุดิบที่เทพธิดาหลิงโยวมอบให้ระหว่างงานเลี้ยงออกมา ปริมาณของวัตถุดิบเหล่านั้นรวมสิ่งที่เขาเสียไปจากการประลองด้วย จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องออกไปหาทรัพยากรที่ไหนมาเพิ่มอีก
เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบหนึ่งเดือน แม้ชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังขึ้นมาทั้งในกองทหารวิหคน้ำแข็งและในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ และหลายคนรู้ว่าเขาได้รับสิทธิ์ในการตั้งกองทหารมาไว้ในครอบครองแล้ว แต่ในหนึ่งเดือนนี้ชีวิตหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
เขาแทบไม่ออกจากที่พัก และมุ่งมั่นอยู่กับการรื้อสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ผลที่ออกมานั้นทำให้เขาพึงพอใจเป็นอันมาก หวังเป่าเล่อใช้วิธีการใหม่หลอมโล่ให้บรรลุไปถึงระดับ 17 ดังเดิม จากนั้นเขาก็ยังไม่หยุดมือ แต่ดันพลังของโล่ให้ขึ้นไปหยุดที่ระดับ 28!
พลังสะท้อนกลับของโล่ระดับนี้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด และยังเป็นอันตรายต่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอีกด้วย แม้จะยากที่จะสะท้อนการโจมตีขั้นจิตวิญญาณอมตะกลับไปได้ร้อยละ 280 แต่ก็ยังทำได้มากกว่าครึ่ง
ส่วนหน้าตาของโล่ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน มันไม่ได้ดูเหมือนโล่ขนาดเล็กอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนมากที่ก่อตัวกันเป็นชั้นบนร่างกายชายหนุ่มเพื่อปกป้องเขาจากอันตราย
ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการุ่นเก่าครบร้อยชิ้นตามที่สัญญากับเทพธิดาหลิงโยวเอาไว้ และเมื่อส่งมอบของ เขาก็สามารถจากที่แห่งนี้ไปเมื่อใดก็ได้ หวังเป่าเล่อออกจากการถือสันโดษ หยิบตรากองทหารของตนออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย
ต่อมาก็ต้องเริ่มสร้างกองทหารสินะ ข้าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี… หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาคิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างขณะที่กำลังหลอมวัตถุเวท แม้พลังของกองทหารจะไม่เกี่ยวกับชื่อ แต่ชื่อนั้นก็ยังสำคัญมากอยู่ดี ชื่อที่ดีจะทำให้กองทหารดูน่าเกรงขามขึ้นมากโขเลยทีเดียว
ชื่อที่ดีที่สุดคงจะหนีไม่พ้นกองทหารเป่าเล่อ ช่างเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทว่า… หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว เสียแต่ว่ามีจั่วอี้เซียนอยู่ที่นี่ด้วย มิเช่นนั้นคงไม่มีใครสงสัยชื่อนี้อย่างแน่นอน
กองทหารพิทักษ์ผู้นำสหพันธรัฐดีหรือไม่นะ หวังเป่าเล่อเริ่มมีประกายความคิดขึ้นมา แต่ก็นึกได้ว่าชื่อนั้นดูไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนัก หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่อยู่ข้างนอก เพื่อให้ทั้งสองช่วยคิดชื่อให้
คำตอบของเจ้าลานั้นเรียบง่ายมาก เพราะมันทำได้แค่ส่งเสียงฮี้ฮ่อ แต่เจ้าอู๋น้อยดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็เสนอความคิดของตนเองออกมา
“ท่านบิดา ท่านว่าชื่อผ่าวิญญาณดีหรือไม่ขอรับ”
“กองทหารผ่าวิญญาณรึ” หวังเป่าเล่อคิดอย่างถี่ถ้วน
“ขอรับ ในอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นมีกองทัพที่แข็งแกร่งมากอยู่หนึ่งกองทหาร พวกเขามีนามว่ากองทหารผ่าวิญญาณ ชื่อนี้ช่างดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมาะกับท่านบิดาเหลือเกินขอรับ”
“ธรรมดาเกินไป!” หวังเป่าเล่อกลอกตา เขารู้สึกว่าชื่อกองทหารผ่าวิญญาณนั่นดาษดื่นถึงที่สุดและฟังดูไม่ค่อยฉลาดน่านับถือเท่าใดนัก สู้ชื่อกองทหารเป่าเล่อไม่ได้แม้แต่น้อย
แต่หลังจากที่คิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรวมพลังปราณของตนเข้ากับตราประจำตัวในมือเพื่อทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ และประทับนามของกองทหารตนเองลงไปบนตราสีฟ้า
ผ่าวิญญาณ!
……………………………..