หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 791 คำท้าจากสำนักเล็ก!

เมื่อได้ยินคำตอบของหวังเป่าเล่อ อี้เหนียนจื่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของตนเองออกมารวมเข้ากับพลังของเรือบินรบเวทรูปปลายักษ์ จนกลายเป็นพลังกดดันที่ไหลบ่าเข้าท่วมทั้งดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ

“ข้าได้ยินไม่ค่อยชัดนัก เจ้าอยากตอบอีกครั้งหรือไม่!”

พลังกดดันที่อี้เหนียนจื่อปล่อยออกมาทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่แท้จริงที่เข้ามาใกล้ตัว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มั่นใจว่าตนรู้เรื่องสถานะของกองทหารปลาคุนสีเขียวภายในสำนักเป็นอย่างดี หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ตอบอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ

“จะให้ข้ายอมศิโรราบในฐานะได้รึ”

“ต่อจากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะรับคำสั่งจากกองทหารปลาคุนสีเขียวเท่านั้น และจะละทิ้งอำนาจของตนในกองทหารผ่าวิญญาณด้วยความเต็มใจ” อี้เหนียนจื่อทวนคำพูดให้ฟังอีกครั้งอย่างช้าๆ โดยไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อ แต่กลับย้ายไปยืนอยู่บนเรือบินรบรูปปลายักษ์สีทองแดงแทน

“หลังจากที่เข้าร่วมกองทหารปลาคุนสีเขียวเรียบร้อย กิจการทุกอย่างของกองทหารผ่าวิญญาณจะกลายเป็นหน้าที่ที่กองทหารปลาคุนสีเขียวจะเข้าดูแล เราจะนำผู้ฝึกตนจำนวนมากมาประจำการที่นี่ แต่เจ้าจะไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการอีกต่อไป จากนี้เจ้าจะกลายเป็นหัวหน้ากองทหารย่อยชื่อกองทหารย่อยผ่าวิญญาณ ซึ่งอยู่ในอาณัติของกองทหารปลาคุนสีเขียวแทน หน้าที่หลักของเจ้าและกองทหารย่อยที่เจ้าดูแลคือการหลอมอาวุธเวท!”

“ที่นี้จงบอกข้ามาเสียว่าเจ้าจะเลือกทางใด!”

“ข้าขอปฏิเสธ!” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่อยากเป็นศัตรูกับกองทหารปลาคุนสีเขียว แต่ท่าทีตั้งตนเหนือกว่าและสิ่งที่พวกเขาพูดออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มไม่มีตัวเลือกอื่น เขาจึงย้ำจุดยืนของตนเองอีกครั้ง

แต่ในครั้งนี้ เมื่อได้รับคำตอบอี้เหนียนจื่อก็ไม่พูดสิ่งใดอีก เขาก้มหน้าลงมองชายหนุ่มเบื้องล่าง ผู้ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองเขาเช่นกัน ทั้งสองสบตากันกลางอากาศ

แม้กองทหารปลาคุนสีเขียวจะแข็งแกร่งมากจนทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเครียดและกังวลอย่างถึงขีดสุด แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนเดิมที่เพิ่งมาเหยียบอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นครั้งแรกอีกต่อไปแล้ว หากก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้มีกองทหารเป็นของตนเองก็คงจะไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเขาได้รับสิทธิ์ในการสร้างกองทหารเรียบร้อยแล้ว และมีแม้กระทั่งฐานที่มั่นของตนเอง กองทหารปลาคุนสีเขียวก็ไม่สามารถโจมตีเพื่อยึดทุกอย่างไปจากเขาได้ตามกฎที่สำนักตั้งไว้ นั่นเพราะ…หลงหนานจื่อในวันนี้ทั้งมีชื่อเสียงระบือไกล และยังได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทประจำตัวปรมาจารย์อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกายังทำให้ชายหนุ่มสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังอยู่ในชั้นต้นของขั้นพลังปราณนี้… หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าตนเองจะจัดการคนพวกนี้ได้!

แน่นอนว่าจะเป็นการดีที่สุดหากเขาไม่ต้องเปิดฉากโจมตีก่อน หวังเป่าเล่อกังวลว่าโล่ฉบับที่ได้รับการปรับปรุงแล้วของเขาจะยังเป็นที่ถูกตาต้องใจของปรมาจารย์อยู่ แต่ชายหนุ่มก็คิดว่าการทนพฤติกรรมของอี้เหนียนจื่อเพียงเพราะไม่อยากเปิดเผยความสามารถของโล่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน!

เขามองจ้องอี้เหนียนจื่อ หรี่ตาเฝ้าระวังเตรียมรับการโจมตี ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าแม้การยอมอดทนจะทำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ แต่หากเขายังไม่กล้าเผชิญหน้าทั้งที่ตนเองโดนดูถูกเหยียดหยามถึงที่ สิ่งนั้น… คงไม่เรียกว่าความอดทนอดกลั้น หากแต่เป็นความขี้ขลาดต่างหาก!

การโจมตีกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เขาจะพิสูจน์ตนเองให้คนอื่นได้รับรู้ และมันยังเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับแผนการที่จะทำให้ชื่อเสียงของตนโด่งดังในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ วีรกรรมนี้จะต้องเตะตาผู้คนและนำมาซึ่งคำสรรเสริญเยินยอ ซึ่งเหมาะกับค่านิยมหลักของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นอย่างดี

เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างช้าๆ แม้บรรยากาศตึงเครียดจะเข้ากดดันดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ โดยเฉพาะรอบตัวอี้เหนียนจื่อและหวังเป่าเล่อ สุดท้ายแล้วอี้เหนียนจื่อก็ไม่ได้เลือกโจมตีแต่อย่างใด

อี้เหนียนจื่อรู้ดีว่าแม้ระดับพลังปราณของหลงหนานจื่อไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ตัวตนเขากลับมีคุณค่าราวกับเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้เขายังมีกองทหารวิหคน้ำแข็งผู้ซึ่งเพิ่งก้าวขึ้นมามีอำนาจได้ไม่นานอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่ว่าผู้ดูแลกิจการสวีชอบพอในตัวหลงหนานจื่อมากอีกด้วย

ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้อี้เหนียนจื่อชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ความสามารถในการรบของหวังเป่าเล่อไม่ใช่เรื่องที่เขาเป็นกังวลแม้แต่น้อย เนื่องจากเขามองว่าชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้…แม้อี้เหนียนจื่อจะละล้าละลัง แต่ก็เป็นเพราะผู้ที่หนุนหลังหวังเป่าเล่ออยู่ หาใช่ตัวชายหนุ่มเองไม่ เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอของกองทหารปลาคุนสีเขียว และมั่นใจว่าชายหนุ่มไม่มีความสามารถพอจะรับมือผลที่ตามมาจากการยอมหักกับพวกเขา

อี้เหนียนจื่อคิดว่าเขาจะต้องสั่งสอนหวังเป่าเล่อให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าทางใดคือทางที่ถูกต้อง แต่ชายหนุ่มก็กลับมีปรมาจารย์คุ้มกะลาหัวอยู่เสียได้

หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่สักพัก อี้เหนียนจื่อก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ระวังตัวเจ้าไว้ก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับ และจากดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณไปโดยการโบกมือสร้างหมอก

คำพูดและท่าทีในการจากไปของชายในชุดเขียวเป็นคำเตือนที่ดีที่สุดว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นกับชายหนุ่มเบื้องล่าง เขาต้องการจะสอนให้รู้สำนึกนั่นเอง หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี

ไอ้กองทหารปลาคุนสีเขียวนี่น่ารำคาญเสียจริง มันมาบังคับให้ข้าเป็นลูกน้องมัน แล้วยังอยากให้ข้ามอบสิทธิ์กองทัพของข้าให้พวกมันอีก… ถ้าทำเช่นนั้น ข้าจะไต่เต้าให้ตนเองได้วิชาสืบทอดจากดวงเนตรหมื่นปีศาจมาได้อย่างไรกันเล่า ชายหนุ่มคิดขณะมองแผ่นหลังอี้เหนียนจื่อที่กำลังจากไป หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก เขาก็ส่งคำสั่งเพิ่มเติมไปให้บรรดาหุ่นเชิด

ในตอนนั้นเอง ลมจากทิศเหนือก็พัดผ่านผืนดินขึ้นมายังยอดเขา ผมยาวและชุดคลุมของชายหนุ่มปลิวไสว เขาจับจ้องไปที่หุ่นเชิดของตนที่ระดมกำลังสร้างเรือบินรบอย่างบ้าคลั่ง กายรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดพาจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าอีกไม่นานพายุร้ายจะอุบัติขึ้นบนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณอย่างแน่นอน

ไอ้กองทหารปลาคุนสีเขียวมันจะทำอย่างไรเพื่อสั่งสอนข้ากันนะ… หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองอวกาศ หลังจากคิดสักพักเขาก็พอเดาได้สองสามทาง

กองทหารของข้าเพิ่งตั้ง เลยมีอันดับต่ำสุดในบรรดากองทหารของสำนักใหญ่ทั้งหมด หากไอ้ปลาคุนนี่ต้องการเตือนข้า มันจะบีบข้าจากข้างบนโดยการส่งข้าออกไปสำรวจอวกาศก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่แล้วละก็…มันก็จะมาท้าข้าประลอง เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความต้องการที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ เขารู้ว่าต่อให้คำเตือนของกองทหารปลาคุนสีเขียวเป็นคำเตือนจากสำนักที่ต่ำกว่า แต่ก็จะประมาทพวกเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ช่วงเวลาที่ลมร้ายมาเยือนนั้น…รวดเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ สามวันหลังจากที่อี้เหยียนจื่อจากไป ก็มีประกาศจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ส่งมาถึงหวังเป่าเล่อผ่านแผ่นหยกประจำสำนัก!

“กองทหารเมฆาปฐพีแห่งสำนักย่อยเมฆาปฐพี ได้รับการยืนยันสิทธิ์จากกองทหารปลาคุนสีเขียว เพื่อท้าประลองกองทหารผ่าวิญญาณจากสำนักหลัก การประลองในครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มขึ้นในหกชั่วโมงต่อจากนี้ และจะกินระยะเวลาสองชั่วโมง!”

เป็นการท้าประลองจากกองทหารสำนักย่อยจริงๆ เสียด้วย! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขารู้ดีว่าตนเองแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด หากเขาแพ้…เขาจะเสียสถานะการเป็นกองกำลังจากสำนักหลักในทันที และความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า

แต่เรื่องดีก็คือ แม้สามวันจะไม่ใช่ระยะเวลานาน แต่ด้วยทรัพยากรที่มากพอ หวังเป่าเล่อจึงสามารถสร้างเรือบินรบทำลายตนเองได้หลายร้อยลำ ทั้งหมดสร้างขึ้นด้วยวิธีการซ้อนอักขระแบบเดียวกับที่ใช้ในโล่รุ่นแรก เรือบินรบทั้งหมดมีพลังสะท้อนการโจมตีด้วย จึงทำให้ชายหนุ่มมั่นใจพอสมควร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ…หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าพวกนั้นจะส่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมาต่อกรกับเขา!

อย่างดีก็น่าจะส่งมาแค่พวกแสร้งอมตะเท่านั้น… แล้วก็ย่อมรู้ด้วยว่าข้ามีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มหรี่ตาและส่งคำสั่งให้หุ่นเชิดของตนเองทันที เขาเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว แม้จะมีเวลาเตรียมการเพียงหกชั่วโมง แต่คำสั่งทั้งหมดของเขาก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยดี เรือบินรบทำลายตนเองทั้งหมดพร้อมออกศึกแล้ว

มีเรือบินรบเพียงสิบลำเท่านั้นที่ลอยอยู่โดยรอบ ส่วนที่เหลือชายหนุ่มซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น น่าเสียดายที่สามวันนั้นสั้นเกินกว่าจะสร้างกลยุทธ์อย่างวงแหวนปราณประจำฐานทัพได้ ทั้งเขายังไม่มีทรัพยากรพออีกด้วย

ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดนี้คือข้ายังจนเกินไป… หวังเป่าเล่อถอนใจ หลังจากตรึกตรองอยู่สักพักเขาก็ส่งข้อความไปหาหลิงโยว ชายหนุ่มไม่ได้ขอให้นางช่วยโดยตรง หากแต่ขอการรับประกันจากนาง ว่าถ้าเขาเพลี่ยงพล้ำจริงๆ ก็หวังว่านางจะพอช่วยเหลือเขาได้

เทพธิดาหลิงโยวไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินคำขอของชายหนุ่ม นางสัญญาว่าจะช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน และยังรีบเตรียมการอีกด้วย แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หวังสูงมากนัก เนื่องจาก…ก่อนที่กองทหารปลาคุนสีเขียวจะเดินหมากเช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องเตรียมการเอาไว้แล้ว แม้กองทหารปลาคุนสีเขียวจะไม่ได้เข้ามาสู้ด้วยโดยตรง แต่ก็ทำให้กองทหารวิหคน้ำแข็งเข้ามาแทรกแซงไม่ได้

แต่…หากคิดว่าจะมาสั่งสอนข้าได้ง่ายๆ ก็คิดใหม่เสียเถิด ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว…ที่จะเอาสิ่งของที่พวกมันมีมาไว้ในครอบครอง ไอ้กองทหารอะไรนะ จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว! เขาหรี่ตาลง สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อเฝ้ารอท่ามกลางความเงียบ

หกชั่วโมงผ่านไปในพริบตา เสียงดังสนั่นตีบอกเวลาเริ่มการประลอง รอยแยกขนาดยักษ์พลันอุบัติขึ้นในห้วงอวกาศเหนือดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ แสงสว่างเจิดจ้าสาดออกจากรอยแยกนั้น ตามมาด้วยแรงระเบิดที่สร้างใยแมงมุมแสงซึ่งกระจายตัวเข้าคลุมดาวเคราะห์ทั้งดวงในทันที เสียงออกคำสั่งทุ้มดังลั่นไปทั่วบริเวณ

“ผนึกพลังทลายวิญญาณของที่แห่งนี้เสีย!”

ตอนนั้นเอง รอบนอกแนวเรือบินรบของหวังเป่าเล่อซึ่งมีพลังสะท้อนกลับของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็พลันสิ้นฤทธิ์ในทันที!

ขณะเดีวกัน เรือบินรบสีเขียวก็เหาะออกมาจากรอยแยกลำแล้วลำเล่า!

การประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

…………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset