หากร่างจริงของเขาอยู่ที่นั่นด้วย หวังเป่าเล่อก็อาจบอกว่าตนไม่กล้า แต่ร่างสารัตถะของเขาแทบจะไม่ได้รับผลจากพิษใดๆ เลย ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้ร่างสารัตถะถูกพิษได้ แต่ยาพิษที่จะใช้กับชายหนุ่มได้ผลนั้นมีราคาแพงเสียจนคงมีไม่กี่คนที่กล้านำมาใช้วางยาเขาเปล่าๆ ปลี้ๆ
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกคิ้วขึ้นและหัวเราะคิกคักออกมา ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นวางมาดและแผ่รัศมีความโอบอ้อมอารี ทำทีเป็นว่าไม่เกรงกลัวความตายสักเท่าใด หรือก็คือ แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักความตายนั่นเอง
“หลงหนานจื่อต้องอยากร่ำสุรากับสหายร่วมสำนักเต๋าคู่หลิงแน่นอน!” ไม่ทันขาดคำ หวังเป่าเล่อก็กระโจนพลิกกายก่อนจะแปลงเป็นสายรุ้งทอดยาว ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงผ่านชั้นสะเก็ดดาวชั้นแล้วชั้นเล่า เขาไม่แม้กระทั่งจะปรายตามองเหล่าผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาที่ต่างพากันจับจ้องมองมาด้วยสายตาดุร้าย หวังเป่าเล่อเดินทางผ่านผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะห้าคน กระทั่งมาถึงสะเก็ดดาวชิ้นที่ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงนั่งอยู่
ชายหนุ่มไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะนั่งลงประจันหน้ากับศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงทันทีที่มาถึง หวังเป่าเล่อหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้น เอียงคอมอง ก่อนจะกระดกสุราลงคอไปหมด เขาไม่ได้ใส่ใจรสชาติของสุราแต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยปากชมเปาะขึ้นมาทันที
“เหล้าดีนี่!”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ แววตาของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมา เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อหัวจรดเท้า ก่อนจะวางกระดูกอสูรในมือลง หยิบจอกสุราของตนขึ้น ไม่อนาทรกับมือทั้งสองข้างที่มันปลาบ และดื่มเข้าไปจนหมด จากนั้นก็พูดออกมาอย่างนิ่งเฉย
“หลงหนานจื่อ ด้วยระดับปราณขั้นแสร้งอมตะของเจ้า ยังบังอาจมาท้าทายกองทหารของข้า ที่อยู่ในอันดับสองอย่างนั้นหรือ เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร”
“หากไม่ลองข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ก่อนจะหยิบน้ำเต้าที่บรรจุสุราไว้ขึ้นมา แล้วรินให้ตนเองอีกจอก
“หากเจ้าแพ้เล่า” สีหน้าของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงเรียบเฉยขณะเริ่มถามคำถามต่อไป
“ข้าคงไม่แพ้หรอก” หวังเป่าเล่อกระดกสุราเข้าไปจนหมดแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก คำสรรเสริญรสสุราก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มนั้นไม่ผิดนัก รสชาติของมันเข้าขั้นยอดเยี่ยมทีเดียว
“หากเจ้าชนะเล่า” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงถามอีกครั้ง
“หลังจากที่ข้าชนะ ก็คงต้องวางแผนไปท้าทายกองทหารอันดับหนึ่งต่อไป” หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะเบนสายตาไปมองหน้าศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง
ผู้ถูกจ้องมองหรี่ตาลง หลังจากที่มองหวังเป่าเล่ออยู่ชั่วอึดใจ คู่หลิงก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะยกมือขวาขึ้น ในทันใดนั้น พลังปราณทั้งหมดของเขาก็ระเบิดอออกมา ระดับปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน พลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้าที่อยู่รอบกายเขาก็ระเบิดออกมาเช่นกัน ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลานับแสนที่รายล้อมอยู่ก็ทำเช่นเดียวกัน พลังของพวกเขาทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีพายุใหญ่พัดผ่านจักรวาลรอบบริเวณสะเก็ดดาวนั้น
หากมองจากที่ไกลๆ ก็อาจสามารถมองเห็นพายุหมุนขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นในบริเวณนั้นได้ มันมีรูปร่างคล้ายปากของอสูรที่หมายกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว ประกายเย็นเยียบสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ผลึกสีชาดหมุนวนอยู่ไปมา คลื่นรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็พุ่งทะยานออกมา รัศมีกดดันกระจายออกมาตามกัน แม้จะไม่รุนแรงเท่าพลังของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง แต่ก็รุนแรงพอที่จะทำให้รู้สึกว่า ชายหนุ่มสามารถรับมือคู่หลิงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน!
ในแง่หนึ่ง ความรู้สึกนั้นก่อขึ้นมาจากประสบการณ์และความมั่นใจของหวังเป่าเล่อ ในอีกแง่ ชายหนุ่มก็มีเปลวเพลิงดารานิรันดร์อยู่ในกาย ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงสัมผัสถึงความมั่นใจนั้นได้ทันที ก่อนจะมีประกายเล็กๆ สะท้อนขึ้นในแววตา หลังจากพินิจพิจารณาหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงลดมือขวาที่ยกขึ้นมาเมื่อครู่ลง
ขณะที่มือขวาของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงค่อยๆ ลดระดับลงนั้น คลื่นพลังปราณรบกวนจากผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาโดยรอบก็สลายไป เฉกเช่นเดียวกับพลังจากขั้นแสร้งอมตะทั้งห้า บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่อันตรธานไปในพริบตา
ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายลุ่มลึก ชายหนุ่มเก็บงำความเคลือบแคลงเอาไว้ในใจ ก่อนจะเก็บเกราะจักรพรรดิกลับไปแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นต่อ พลางจ้องหน้าศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงอยู่อย่างนั้น
ทั้งคู่ต่างก็จ้องหน้ากันข้ามโต๊ะอยู่เป็นเวลาราวสามลมหายใจ หลังจากนั้น ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงก็ละสายตาไปก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย
“เจ้าชอบสุราของข้าหรือไม่”
“ไม่เลวเลย” หวังเป่าเล่อดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าจะให้สุราเจ้าไปเลยก็แล้วกัน กองทหารวงแหวนกาลเวลาขอยอมแพ้!” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเงยศีรษะมองจักรวาล น้ำเสียงที่เขาพูดนั้นดังราวกับเป็นฟ้าร้องที่เบียดชำแรกเข้าไปในความว่างเปล่า หลังจากพูดจบ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะหมุนกายทะยานออกจากสะเก็ดดาวไป ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาและเรือบินรบทั้งหมดต่างพากันล่าถอย บินตามศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงและเร่งความเร็วจากไปในหมู่สะเก็ดดาว
ในไม่ช้า ก็ไม่เหลือผู้ฝึกตนในบริเวณนั้นอีกนอกจากหวังเป่าเล่อเพียงผู้เดียว
“น่าสนใจนี่” ชายหนุ่มนั่งอยู่เช่นนั้น หรี่ตาลง ก่อนจะหยิบน้ำเต้าขึ้นมา หลังจากที่ดื่มของเหลวในน้ำเต้าเข้าไปอึกใหญ่ ชายหนุ่มก็รู้แน่แก่ใจ ในความเป็นจริง เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าไปถึงบริเวณนั้น ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้แล้วในใจ หลังจากเหตุการณ์กับศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง
ชายหนุ่มคาดเดาไว้ว่า…ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงไม่ต้องการต่อสู้!
เฉกเช่นเดียวกับเทพธิดาหลิงโยวและผู้บัญชาการกองทัพอันดับสี่ พวกเขาต่างเลือกจะช่วยหวังเป่าเล่อ มากน้อยแตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายคือการรอให้กองทัพอื่นอ่อนแรง แม้ว่าเป้าหมายของทุกคนคือกองทัพอันดับหนึ่ง แต่ก็ย่อมเป็นการดีหากกองทัพอันดับสองจะอยู่ในสภาพอ่อนล้าเช่นกัน
ฝ่ายศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง การที่เขาเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพแถมยังบรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนโง่เขลา เห็นได้ชัดว่า ตัวเขาเองก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเห็นระดับปราณและพลังการยุทธ์ของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับข้อมูลที่รับรู้อยู่แล้ว ผู้บัญชาการกองทัพอันดับสองจึงตัดสินใจยอมแพ้ เมื่อเล็งเห็นว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถที่จะต่อกรกับกองทหารอันดับสองได้จริงดังว่า
สำหรับเขาแล้ว การยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เป้าหมายของเขานั้นเรียบง่ายนัก จนไม่อาจเรียกว่าเป็นแผนการชั่วร้ายได้เลย มันควรเรียกว่าเป็นกลยุทธ์อันเฉียบคมมากกว่า เขาต้องการจะเห็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่ง!
ด้วยวิธีนี้ ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงก็จะได้รับโอกาสงามที่อาจจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต!
และเพื่อได้มาซึ่งโอกาสนั้น ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงจึงไม่สนใจเลยว่าจะชนะหรือแพ้ในวันนี้
เป็นจิ้งจอกเฒ่าเหมือนกันทุกคนจริงๆ หลังจากที่กำจัดสุราในน้ำเต้าจนหมดเรียบ หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพลิกกายแล้วพุ่งทะยานผ่านชั้นสะเก็ดดาวออกไป ขณะกำลังกลับไปยังกองทหารผ่าวิญญาณของเขา ก่อนที่จะย่างกรายเข้าไปยังประตูกระแสวนเคลื่อนย้ายนั้น หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังจักรวาลที่อยู่ไกลห่าง
ทันทีที่เขามองออกไปนั้น เสียงลั่นครั่นครืนก็ดังขึ้นในอวกาศ หัตถ์สองข้างที่เหมือนจะเดินทางมาจากต่างมิติพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า หัตถ์ทั้งสองนั้นจับความว่างเปล่าที่รายล้อมอยู่แล้วดึงแยกออก ขณะที่บังเกิดเสียงดังลั่นเขย่าสวรรค์ รอยฉีกขนาดมหึมาก็เผยออกมา
ภายในรอยฉีกมีร่างเงาขนาดมโหฬารที่ฉาบคลุมไปด้วยสีดำสนิท ร่างเงานั้นมีหนามแหลมปกคลุมทั่วร่างแถมยังแผ่รัศมีน่าเกรงขามออกมาไม่หยุดหย่อน พลังแทรกแซงของพลังปราณเกือบเทียบเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง ร่างเงานั้นก็คือ…อี้เหนียนจื่อแห่งกองทหารอันดับหนึ่งนั่นเอง!
เบื้องหลังเขามีกระแสพลังรบกวนอีกเก้าสาย มีทั้งบุรุษและสตรี แถมทุกคนยังสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เรือบินรบเวท แต่พลังยุทธ์ของแต่ละคนก็ล้วนกล้าแข็ง กระแสพลังรบกวนทั้งเก้านั้นต่างก็เป็นขั้นแสร้งอมตะทั้งสิ้น แน่นอนว่า พวกเขาก็คือนักรบอมตะของกองทหารอันดับหนึ่งนั่นเอง!
เบื้องหลังของพวกเขามีเรือบินรบจำนวนมหาศาลเรียงแถวกันเต็มเส้นขอบฟ้า ความยิ่งใหญ่นั้นมากล้นเพียงพอที่จะเขย่าวิญญาณของใครก็ตามที่ได้พบเห็น ยิ่งไปกว่านั้น ในจำนวนเรือบินรบมหาศาลนั้น มีเรือบินรบเวทอยู่ห้าลำ ที่กำลังแผ่คลื่นรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมา!
เรือบินรบเวททั้งห้าทำเอานัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหดเล็กลง
นอกจากนั้นแล้ว…ด้านหลังไปอีก ยังมีวังขนาดใหญ่ลอยอยู่ แม้จะมองไม่เห็นผู้คนด้านใน แต่จากรัศมีอันสั่นคลอนสวรรค์บีบคั้นจักรวาลที่แผ่กระจายผ่านบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหมดจากภายในวัง ก็ทำให้เดาตัวตนของผู้ที่อยู่ภายในได้ไม่ยาก
แน่นอนว่า ผู้ที่อยู่ภายในก็คือ… ผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่หนึ่ง กูโม่นั่นเอง! บุรุษผู้นี้เป็นรองเพียงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เท่านั้นและอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!
“หลงหนานจื่อ ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกเข้าร่วมกองทหารอันดับหนึ่งอีกครั้ง” ในขณะที่จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นไหว อี้เหนียนจื่อก็พูดอย่างใจเย็น เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วผ่านรอยแยกจักรวาลนั้น
มันไม่ใช่คำเชิญ แต่เป็นคำขู่ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำเตือน!
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอี้หนานจื่อและผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งเก้าเท่าใดนัก แต่เรือบินรบเวททั้งห้าทำเอาชายหนุ่มหนักใจ ไหนจะยังมีกูโม่อีก…
“ไม่ตอบอย่างนั้นหรือ เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้าไม่ใช่หรือ ข้ารอให้เจ้ามาท้าสู้อยู่นะ!” อี้หนานจื่อหรี่ตาก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นจ้องมองอี้หนานจื่ออย่างสงบ ชายหนุ่มมองเห็นกองทหารที่เตรียมพร้อมอยู่ภายในรอยแยก เขาไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดขณะที่หันหลัง ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูกระแสวนเคลื่อนย้ายและอันตรธานไปในพริบตา
เมื่อหวังเป่าเล่อหายตัวไป นัยน์ตาของอี้หนานจื่อก็มีความเสียดายปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง หากหวังเป่าเล่อท้าเขาสู้ในตอนนั้น ทุกๆ อย่างก็คงเข้าทางพอดิบพอดี เพราะในแง่หนึ่ง การท้าเขาต่อสู้ก็นับเป็นการท้าทายกองทหารอันดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
“ไม่เลว เขาไม่ใช่คนโง่ เขามองเห็นปัญหาทะลุปรุโปร่ง” อี้หนานจื่อพึมพำ ก่อนจะหันกลับไปคารวะอย่างนอบน้อมยังทิศทางของปราสาทที่ลอยอยู่ห่างออกไป หลังจากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบก รอยฉีกในอวกาศพลันปิดตัวกลับเข้าไป จักรวาลกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ในเวลาเดียวกันนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเพิ่งเคลื่อนย้ายกลับมาถึงกองทหารผ่าวิญญาณ ก็มีสีหน้าวิตกกังวลสุดขีดทันทีที่ก้าวออกมา ชายหนุ่มยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงมีความปลงตกปรากฏขึ้นในแววตา เขาหยิบแผ่นหยกสื่อสารที่เซี่ยไห่หยางมอบไว้ให้ขึ้นมาส่งข้อความเสียงไป
“สหายร่วมสำนักเต๋าไห่หยาง เรื่องข่าวที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ หากว่ามันมีโอกาสจะช่วยให้ข้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะจริงๆ แล้วละก็…ข้าเอาด้วย!”
………………….