โลกนี้แทบไม่ต่างอะไรกับโลกภายนอก ท้องฟ้าสีคราม ผืนดินปกคลุมไปด้วยพืชพรรณ หญ้าและต้นไม้ใหญ่น้อยสดใสเขียวขจี ห่างออกไปมีทิวเขาที่ทอดยาวทาบทับเส้นขอบฟ้า อากาศก็เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น
ที่นี่ดูไม่เหมือนสุสานหลวงแม้แต่น้อย สายลมอ่อนๆ นำพาเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ นกกระสาฝูงใหญ่โผบินผ่านท้องฟ้าอยู่เนืองๆ มีเทพธิดาสะสวยนั่งอยู่บนหลังนกกระสา พวกนางก้มหน้าลงมองหวังเป่าเล่ออย่างฉงนสงสัย
หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นที่ได้มาเห็นภาพดังกล่าว ก็คงไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้แม้จะมีระดับปราณสูงกว่าหวังเป่าเล่อและอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็ตาม แต่หวังเป่าเล่อนั้นแตกต่างออกไป ประกายประหลาดฉายวาบอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มขณะที่เขาหรี่ตาลง
ในประกายประหลาดนั้นมีร่องรอยของเปลวไฟสีดำอยู่ด้วย มันไหลเข้ามาท่วมดวงตาของชายหนุ่ม ก่อนที่โลกตรงหน้าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้!
ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีคราม แต่กลับแดงฉาน!
พื้นดินไม่ได้ปกคลุมไปด้วยพืชเขียวชอุ่ม ทุกสิ่งนั้นเหี่ยวเฉาตายไปหมดแล้ว สิ่งที่ดูคล้ายภูเขานั้น…แท้จริงแล้วเป็นกองกระดูกขนาดมโหฬาร นกกระสาที่โบยบินอยู่บนฟ้าจริงๆ แล้วเป็นวิญญาณน่าสะพรึงกลัว และเทพธิดา…ก็คือหนอนน่ารังเกียจ!
ปราณวิญญาณเข้มข้นเมื่อครู่…ไม่ใช่ปราณวิญญาณแต่อย่างใด แต่กลับเป็นรัศมีแห่งความตายอันแรงกล้า ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า หากแต่เต็มไปด้วยกองทัพผีดิบนับล้าน ดวงตาของบรรดาทหารผีทั้งเย็นเยือกและไร้อารมณ์ขณะที่พวกมันยืนเรียงกันเป็นแถวเรียบร้อย อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพที่งดงามมากทีเดียว
บนท้องฟ้าเหนือภูเขากองกระดูกมีพระราชวังกว้างใหญ่ วังนั้นเป็นสีม่วงและมรกต มองเห็นบังลังก์หรูหราทั้งสิบสามตั้งอยู่ภายใน!
บังลังก์สิบสองจากสิบสามบัลลังก์เรียงกันอยู่เป็นสองแถว บัลลังก์สุดท้ายตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัง มันอยู่เหนือบัลลังก์อื่นๆ อีกทั้งยังใหญ่และอลังการกว่าบังลังก์อื่นๆ มากนัก
มีคนนั่งอยู่บนลังลังก์ทุกบัลลังก์ บัลลังก์ทั้งสิบสองมีชายชรานั่งอยู่ แม้ใบหน้าจะแตกต่างกันแต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันบางประการ นัยน์ตาของทุกคนส่องประกายด้วยอำนาจ ขณะที่ใบหน้าต่างสุขุมและไร้อารมณ์ ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีเหลืองและมีมงกุฎบนศีรษะ ต่างก็จับจ้องอย่างเฉยเมยมายังทิศทางที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่
ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัง บนบัลลังก์สุดท้าย…มีร่างสูงซึ่งกระจายพลังและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ราวกับว่าจะสามารถพลิกแผ่นดินได้ออกมา มีบางอย่างเกี่ยวกับร่างนี้ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ใบหน้าของเขาว่างเปล่า!
สีหน้าแปลกแปร่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อเมื่อชายหนุ่มรู้ว่าเขากำลังจ้องมองสิ่งใดอยู่ แต่ก่อนที่จะได้ทำสิ่งใด จักรพรรดิไร้หน้าผู้ยิ่งใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมา
แม้จะไม่มีเครื่องหน้า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาทางตน
สายตาของจักรพรรดิให้ความรู้สึกรุนแรงราวกับถูกโจมตีทางกายภาพ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อดวงตาคู่นั้นหันมาจ้องมองเขา วิชาดวงเนตรปีศาจภายในกายตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดจะควบคุม และดวงตาสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
ดวงตานั้นมีขนาดใหญ่ร่วมสามร้อยเมตร และการปรากฏตัวของมันปลดปล่อยพลังงานมหาศาลที่เข้าไปปะทะกับพลังจากการจ้องมองของจักรพรรดิไร้หน้าทันที มีเสียงหัวเราะอย่างตื่นเต้นปะทุขึ้นมาจากดวงเนตรปีศาจภายในกายของหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ ข้าขอขอบใจเจ้าที่พาข้ากลับมาจากสภาพใกล้ตายและให้โอกาสข้าได้มีชีวิตอีกครั้ง!” ขณะที่เสียงหัวเราะนั้นสะท้อนก้องไปในอากาศ เงาร่างของชายชราก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำขนาดมหึมา พลางแผ่เอาพลังรุนแรงออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ชายชราก้าวออกมาจากดวงตาสีดำไปยืนอยู่บนท้องฟ้า
แม้ว่ากายของเขาจะเป็นดูเหมือนเป็นร่างมายา แต่ก็แผ่พลังที่ดูเหมือนจะประสานกับโลกนี้ได้อย่างไร้ที่ติ พลังนั้นรุนแรงราวกับว่าจะสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เรียกลม และส่งก้อนเมฆให้เคลื่อนถอยหลังไปได้ คลื่นกดดันน่าสะพรึงไหลบ่าท่วมผืนดิน
“ท่านพูดจบหรือยัง จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ข้ารู้ดีว่าคนแก่เช่นท่านชอบพูดเยิ่นเย้อ” หวังเป่าเล่อไม่อาจแสร้งทำเป็นตื่นตกใจกับการปรากฏตัวของจักรพรรดิได้ สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยขณะเอียงศีรษะมองชายชรา
“ท่านจะมาสิงร่างข้าตอนนี้เลยหรือไม่เล่า คงจะยากสักหน่อยนะกับสภาพของท่านตอนนี้ หากเป็นเช่นนี้…แล้วไพ่ตายของท่านคืออะไรเล่า อะไรทำให้ท่านมั่นใจนักว่าท่านจะทำสำเร็จ” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าโอกาสที่เซี่ยไห่หยางพูดถึงคือสิ่งใด
เป็นไปได้มากว่า…โอกาสนั้นจะเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์แรก ในเมื่อเขาสามารถทำการค้ากับสามฝ่ายได้พร้อมๆ กัน เขาต้องรู้แน่ว่าจักรพรรดิองค์แรกต้องการจะสิงร่างข้าเพื่อชุบชีวิตตนเอง โอกาสของข้าต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์แรกอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจ!
เซี่ยไห่หยางอาจจะหลอกข้า แต่ก็คงไม่อยากจะให้ข้าตาย หากเป็นเช่นนั้น เขามั่นใจได้อย่างไรว่าการพยายามสิงร่างจะล้มเหลวและจักรพรรดิพองค์แรกจะกลายมาเป็นพลังงานให้กับการฝึกปราณและส่งให้ข้าบรรลุขั้นได้ บางทีเซี่ยไห่หยางอาจจะวางแผนให้ข้าเข้ามาที่นี่ แล้วจ่ายเงินให้เขาช่วยเหลือก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าเซี่ยไห่หยางไม่เชื่อว่าข้าจะทำสำเร็จได้ด้วยตนเอง…มีสองทางเท่านั้นที่เขาจะสรุปเช่นนั้นได้ หากเขาไม่รู้ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด…ก็ต้องมีบางอย่างผิดปรกติเกี่ยวกับผีแก่ตนนี้!
ขณะที่สมองของหวังเป่าเล่อกำลังทำงานอย่างหนัก จักรพรรดิองค์แรกก็หรี่ตาก่อนจะยิ้มหยัน
“เพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าจะสิงร่างเจ้าและใช้ชีวิตแทนเจ้าให้เอง!” เมื่อพูดจบ ผีชราก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะวาดมือผ่านอากาศ
รัศมีของเขาปะทุขึ้นมาในบัดดล และทันใดนั้น กองทัพผีดิบนับล้านที่ยืนนิ่งสนิทอยู่ในทุ่งตรงหน้าของหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น ความเยือกเย็นในแววตาของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง พวกมันทรุดตัวลงคุกเข่าทันที
การได้เห็นกองทัพนับล้านทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมกันให้ความรู้สึกคล้ายกับการได้เห็นคลื่นแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือสิ่งที่ตามมาต่อจากนั้น ขณะที่กองทัพผีดิบทรุดตัวลงคุกเข่า พวกมันก็เปิดปากพูดออกมาพร้อมกัน!
“ยินดีต้อนรับกลับสู่วัง ท่านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่!”
ทันทีที่เสียงนั้นดังออกไป ดวงไฟวิญญาณจำนวนก็ลอยออกมาจากศีรษะของทหารนับล้าน ตรงไปยัง…ชายชราที่กำลังเดินออกจากดวงเนตรปีศาจ จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!
ประกายกล้าสะท้อนออกมาจากดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาจ้องมองฉากตรงหน้า ความรู้สึกชั่งใจผุดขึ้นมาในศีรษะของชายหนุ่ม
เจ้าผีแก่นี่รู้หรือไม่ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด
หวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืดจากสำนักแห่งความมืด หากต้องการ เขาสามารถยึดและกินพลังของวิญญาณเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาชั่งใจ มีประกายเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นสะท้อนอยู่ในแววตา ชายหนุ่มมีสีหน้าอวดดีขึ้นมาก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ข้าไม่รู้เลยว่าเหตุใดสำนักแห่งความมืดถึงได้ยุ่งกับวิชาดวงเนตรสวรรค์แต่ปล่อยท่านเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร…”
“วิชาแห่งศาสตร์มืด เรียกวิญญาณ!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เขาก็ยกมือขวาขึ้น เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นมาในดวงตาของชายหนุ่ม รัศมีเก่าแก่ที่มาจากเปลวไฟสีดำเริ่มแผ่ออกมาจากกาย ทำให้โลกสั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของจักรพรรดิองค์แรกแสดงอารมณ์อย่างรุนแรง ปราณวิญญาณจากดวงวิญญาณคนตายนับล้านที่พุ่งไปหาชายชราก่อนหน้านี้หักเลี้ยวอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา…และพุ่งใส่หวังเป่าเล่อแทน!
“เป็นไปไม่ได้! ผู้สืบทอดบังลังก์กลับมาแล้ว!” ใบหน้าของจักรพรรดิองค์แรกตอนนี้แสดงความตกตะลึง และมีความตื่นตระหนกอยู่ในแววตา ดูเหมือนว่ากำลังวิตกกังวลอย่างหนัก เขารีบยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังพระราชวังบนท้องฟ้า
จักรพรรดิทั้งสิบสอง เว้นไว้เพียงจักรพรรดิไร้หน้าต่างก็ตัวสั่นก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน พวกเขาหันไปหาหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิพระองค์แรกก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า
“ยินดีต้อนรับกลับสู่วัง ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”
ปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งปะทุออกมาจากร่างของจักรพรรดิทั้งสิบสองขณะที่เสียงของพวกเขาดังลั่นสะท้อนไปในอากาศ ปราณวิญญาณนั้นแปรสภาพเป็นมังกรวิญญาณทั้งสิบสองตัวและพุ่งออกจากวัง มุ่งหน้าไปหาจักรพรรดิองค์แรกทันที พวกเขาต้องการขัดขวางหวังเป่าเล่อจากการดึงปราณวิญญาณคนตายนับล้านไป!
ปราณจากวิญญาณคนตายและปราณจากวิญญาณจักรพรรดิเต็มแน่นท่วมอากาศ ในฐานะสมาชิกสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าคลื่นพลังในอากาศตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด หากเขารวบรวมปราณเหล่านี้เข้ากับกายตนเอง และย่อยปราณทั้งหมดไปเรื่อยๆ ระดับปราณของเขาจะต้องพุ่งทะยาน บรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้แน่นอน อันที่จริงแล้ว การบรรลุขั้นอาจไม่หยุดอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเท่านั้น อาจทะลุไปถึงชั้นกลางเลยก็เป็นได้!
ช่างยั่วยวนใจอะไรอย่างนี้…ความชั่งใจและความปรารถนาต่างต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ
………………………………………..