วิธีที่เขาปฏิบัติตนต่อหวังเป่าเล่อในอดีตเป็นเหมือนการแสดงออกว่าตัวเขาเองนั้นเหนือกว่า และแสดงให้เห็นสถานะอันยิ่งใหญ่กว่าในฐานะปรมาจารย์ของสำนัก แม้ว่าผู้ฝึกตนทุกคนของสำนักจะเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เหมือนๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ทั้งสถานะและยศก็ไม่อาจเทียบเทียมเขาได้
เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครเลยที่คู่ควรให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เรียกว่าสหายร่วมสำนักเต๋า ไม่มีใครเลยที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขาคิดว่าสมควรจะเรียกว่าสหายร่วมสำนักเต๋า หนึ่งก็คือปรมาจารย์ของสำนักผนึกผังดาวหกแฉก และอีกคนหนึ่งก็คือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ
และบัดนี้ ก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ประทับใจกับความสามารถที่หวังเป่าเล่อได้แสดงให้เห็นในสนามรบ พลังรบที่หวังเป่าเล่อได้สำแดงออกมานั้นก้าวล้ำไปกว่ากำลังรบของกองทหารทั้งกอง ถึงขั้นที่ว่าชายหนุ่มสามารถตั้งสำนักเป็นของตนเองได้ อันที่จริงแล้ว ในแง่หนึ่งหวังเป่าเล่อตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่าสำนักบางสำนักเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะกองทหารขั้นจิตวิญญาณอมตะของเขาสร้างขึ้นมาจากหุ่นเชิด และกองทัพหุ่นเชิดของชายหนุ่มจะลุกฮือขึ้นมาเมื่อเขาสั่งเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังพร้อมสู้ชนิดไม่เกรงกลัวความตาย ซึ่งตรงข้ามกับสำนักต่างๆ ที่ย่อมเผชิญความยากลำบากหากจะให้ศิษย์ของสำนักสู้แบบไม่กลัวเกรงเช่นนั้น
ความสามารถเฉพาะตัวในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ประทับใจเช่นเดียวกัน ต่อให้หวังเป่าเล่อทำได้เพียงสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หันมาสนใจเป็นพิเศษได้แล้ว
แต่จากนั้นหวังเป่าเล่อยังสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แถมยังรอดชีวิตมาได้อีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็คาดไม่ถึง หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อยังโจมตีไม่หยุดหย่อน ใช้นิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์เพื่อโจมตีสวนกลับ ชายหนุ่มเกือบจะสังหารผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้ด้วยการโจมตีผสานกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญที่สุดคือ…หลังจากที่หวังเป่าเล่อทำอะไรต่อมิอะไรไปมากมาย ก็ยังมีนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์อีกนิ้วมาปรากฏบนศีรษะ ทุกๆ สิ่งทำเอาปรมาจารย์มหาทัณฑ์แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เขารู้ว่านี่เป็นการแสดงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ และอย่างไรเสีย ใครก็ตามที่สามารถฝึกปราณจนไปถึงจุดนั้นได้ย่อมไม่ใช่คนโง่ การแสดงความแบ็งแกร่งนั้นได้ผลอยู่ไม่น้อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ลืมความคิดทุกอย่างที่เขามีอยู่ก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น
เขามีพลังที่สามารถเรียกใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์และรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดา แต่หากคิดถึงเรื่องที่เขาสามารถใช้ดวงเนตรสวรรค์รวมถึงต้นกำเนิดของหุ่นเชิดของเขาด้วยแล้ว…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หรี่ตาลง ขณะที่เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เขาก็นึกถึงคำที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยกับประมุขสำนักขึ้นมาได้ คำว่า มหาศิษย์เต๋า
ความคิดนั้นทำเอาอารมณ์ความรู้สึกของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ปั่นป่วนไปหมด ชายวัยกลางคนพอจะคาดเดาได้ว่าหวังเป่าเล่อต้องได้รับโอกาสชิ้นงามเพียงใดจึงจะได้ครอบครองพลังอันมหาศาลนี้ ทั้งๆ ที่ตนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเท่านั้น ไหนจะยังผลประโยชน์มากมายที่ชายหนุ่มน่าจะได้รับมาจากโอกาสครั้งนั้น แต่เขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งและสติปัญญาอันชาญฉลาดของหวังเป่าเล่อดี รวมถึงความแค้นอันหนาแน่นที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับนิสัยบ้าระห่ำของชายหนุ่มอีกด้วย ราคาที่หวังเป่าเล่อต้องจ่ายหากเขาล้มเหลวนั้นแพงเกินกว่าจะยอมรับได้ อีกอย่างสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มทำการบุ่มบ่ามได้ เพราะการรุกรานจากอารยธรรมครามทองคำยังไม่หายไปไหน
แม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่สงครามก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดระหว่างการรุกรานจากภายนอกคือความไม่มั่นคงภายใน หากเรื่องครั้งนี้แพร่งพรายออกไป ก็จะต้องส่งผลให้คนอื่นๆ พากันขยาดกลัวเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสียหากไม่ได้หวังเป่าเล่อ ผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น…ความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่ออาจเป็นองค์ประกอบสำคัญในสงครามข้ามอารยธรรมครั้งนี้ ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และถูกวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ในที่สุด ชายวัยกลางคนจึงตัดสินใจวางผลประโยชน์ส่วนตัว ความยิ่งทนง และสถานะลง ก่อนจะปฏิบัติกับหวังเป่าเล่ออย่างเท่าเทียมกัน ทั้งสีหน้าและท่าทางต่างก็เต็มไปด้วยความจริงใจ
“หากท่านไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อาจไม่รอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นได้ สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วยเถิด!” ขณะที่พูดไปนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยกมือประสานก่อนก้มศีรษะคำนับหวังเป่าเล่อต่ำต่อหน้าสานุศิษย์ทุกคนตรงนั้น
“สหายร่วมสำนักเต๋า ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณข้าแม้แต่น้อย ข้าเองก็เป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เองก็ช่วยเหลือข้าไว้หลายครั้งในอดีต ข้าเพียงแต่ทำสิ่งที่ควรต้องทำก็เท่านั้น” มีประกายเจิดจ้าสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์คาดเดาถูกต้อง ชายหนุ่มเรียกนิ้วระดับดาวพระเคราะห์นิ้วที่สองออกมา ไม่เพียงเพื่อหวังจะข่มขู่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่เพื่อจะทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ประทับใจอีกด้วย หลังจากที่เห็นท่าทีของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่มีต่อตนเอง หวังเป่าเล่อก็รีบพูดตอบออกมาทันที
“สหายร่วมสำนักเต๋า การคารวะครั้งนี้ไม่ได้มาจากข้าเพียงคนเดียว แต่จากทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของเรา พวกเราขอขอบคุณสหายผู้ทรงเกียรติสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทำสีหน้าดื้อดึง มือก็ยังคงประสานกัน ก่อนที่จะก้มศีรษะคำนับต่ำอีกครั้ง จากนั้นก็ช้อนตามองหวังเป่าเล่อ ดูคล้ายว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จนในที่สุดก็พูดออกมา
“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ แม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะชนะศึกในครั้งนี้ แต่ชัยชนะนี้ก็ซื้อเวลาให้อารยธรรมของเราเพียงเล็กน้อยก่อนที่การทำลายล้างจะมาถึง…ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างไม่สมเหตุสมผล…ข้าได้แต่หวังว่าท่านจะตกลง!”
“อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะพูดอย่างชั่งใจ
“สหายร่วมสำนักเต๋าผู้ทรงเกียรติต้องการให้ข้าไปช่วยสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำใช่หรือไม่”
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่แปลกใจที่หวังเป่าเล่ออ่านใจเขาออก เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไร้ซึ่งความเฉลียวฉลาดและปราดเปรื่องเหนือกว่าคนทั่วไป
อันที่จริงแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่จริงๆ ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้โจมตีสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเมื่อครั้งที่พวกเขามาบุกรุกสำนัก เขารู้ดีว่าความอยู่รอดของทั้งสองสำนักต่างก็ขึ้นอยู่กับกันและกัน หากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถูกกำจัดไป ความหวังในการอยู่รอดของพวกเขาในสงครามระหว่างอารยธรรมครั้งนี้ก็คงไม่เหลือเช่นกัน
แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะดูเหมือนไม่เป็นไร แต่เขาก็ได้ผลาญพลังปราณไปจำนวนมากในการต่อสู้รับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคน เพื่อจะหยุดไม่ให้ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ขยับสะดวก และเพื่อสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอีกด้วย แม้จะพร้อมต่อสู้ แต่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยังไม่ได้รู้สึกสบายตัวนัก ยิ่งไปกว่านั้น ชายวัยกลางคนยังกังวลว่าประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาโจมตีอีกครั้งหากเขาจากไป
เป็นเหตุให้การส่งหลงหนานจื่อ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองในสำนักนำกองทัพไปช่วยสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าภารกิจนี้อันตรายเพียงใด และก็ยังรู้อีกด้วยว่าหลงหนานจื่อเองก็เคยมีความบาดหมางกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กล้าจะเอ่ยคำขอออกไปตรงๆ
แต่หวังเป่าเล่อก็ได้พูดความคิดของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ออกมาเสียแล้ว ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกและตัดสินใจไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงแต่ยกมือขึ้นประสานอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะใคร่ครวญเรื่องนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาจะต้องให้ความช่วยเหลือ การต่อสู้ในสงครามนี้คงจะยากขึ้นมากหากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถูกทำลายย่อยยับไป
“ข้าจะไป!” หวังเป่าเล่อพยักหน้า
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เงยหน้าขึ้นจ้องหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย ก่อนจะออกคำสั่งให้กองทหารอันดับหนึ่งตามการนำของหวังเป่าเล่อไป แต่ไม่ได้ส่งศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ไปด้วย บทผู้บัญชาการนั้นถูกส่งต่อให้พ่อบ้านแทน
ชายวัยกลางคนยังสั่งให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางอีกสามคนตามไปด้วย เทพธิดาหลิงโยวเป็นหนึ่งในนั้น มีการจัดแจงเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นกองทหารของหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่งก็ออกเดินทาง พุ่งทะยานผ่านประตูเคลื่อนย้ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที
แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะไม่ได้ร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง ชายวัยกลางคนก็ได้ส่งรูปปั้นขนาดเล็กมาให้พ่อบ้าน พลังร่างอวตารของเขาได้ถูกผนึกเอาไว้ในรูปปั้นนี้ แม้ว่าไม่อาจเทียบเท่าพลังที่แท้จริงของดาวพระเคราะห์ แต่พลังการทำลายตัวเองก็อาจพอเทียบเคียงได้บ้าง
ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ได้ปกปิดการกระทำใดๆ ของเขาจากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว เขาถึงขนาดยื่นรูปปั้นให้พ่อบ้านต่อหน้าหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความจริงใจ
ชายหนุ่มพยักหน้ากับตนเองเมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งกองทัพของเขาและกองทหารอันดับหนึ่งต่างก็ก้าวออกจากประตูเคลื่อนย้ายไปสู่อาณาเขตสาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อหวังเป่าเล่อออกคำสั่ง กองทหารทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที
แม้ว่าพวกเขาจะประหยัดเวลาไปได้มากจากการใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่การเดินทางไปยังสนามรบก็ยังต้องใช้เวลาอีกราวสองชั่วโมง
เรือบินรบมุ่งหน้าผ่านจักรวาลไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขณะที่ผู้โดยสารทุกคนต่างฉวยโอกาสพักผ่อน การต่อสู้ครั้งที่แล้วหนักหนายิ่ง และขณะนี้พวกเขาก็กำลังจะไปร่วมการต่อสู้อีกครั้งหนึ่งในฐานะกำลังเสริม ทุกคนเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะนั่งลงทำสมาธิ ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ พ่อบ้านก็ได้ส่งเทพธิดาหลิงโยวให้มาอยู่ข้างกายเขา
ชายชราสั่งนางให้พยายามเอาใจหวังเป่าเล่อ และจัดการดูแลเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่องในทุกๆ เรื่อง
เทพธิดาหลิงโยวนิ่งเงียบให้กับทัศนคติของสำนักที่มีต่อหวังเป่าเล่อซึ่งเปลี่ยนแปลงไป นางเป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจาและไม่คล่องแคล่วนักในการทำความรู้จักคนอื่นๆ นางจึงยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่ออย่างประหม่า จนกระทั่งชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ พวกเขาต่างก็จ้องมองกันไปมาอยู่เป็นเวลานาน
“ข้าคิดว่า มาถึงเวลานี้เราก็เป็นเพื่อนเก่าแก่กันแล้ว ทำไมเจ้าไม่…มานอนตักข้าแล้วพักสักหน่อยเล่า” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะเริ่มพูดก่อน
เทพธิดาหลิงโยวรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยมาโดยตลอด และคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้นางตัวเกร็งขึ้นมาทันที สีหน้านางเปลี่ยนไป และไม่อาจหยุดตนเองไม่ให้จ้องหน้าหวังเป่าเล่อเขม็งก่อนจะหันหลังและเดินหนีไปได้
หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะทอดถอนใจพลางจ้องมองไปยังแผ่นหลังอันงดงามของเทพธิดาหลิงโยว
โชคยังดีที่นางไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้น ข้าคงไม่รู้จะหยุดนางอย่างไรหากนางตอบตกลง เพราะอย่างไรเสียก็มีคนอยากได้ข้าเพราะความหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย พ่อบ้านคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างประหม่า หลังจากที่ใช้สัมผัสสวรรค์กวาดรอบบริเวณจนแน่ใจว่าปราศจากอันตราย ชายหนุ่มจึงหรี่ตาลงก่อนจะยกมือขวาขึ้นและดึงเอาแหวนคลังเก็บออกมาวงหนึ่ง!
มันเป็นของที่เขาชิงมาจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่พบระหว่างทำภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟ เป็นแหวนคลังเก็บที่หวังเป่าเล่อสงสัยว่ามีสมบัติซ่อนอยู่แต่เปิดดูไม่ได้!
มาดูกันว่าข้าจะปลดผนึกมันได้หรือยัง! นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องสว่างด้วยความลุ้นระทึก ก่อนที่จะปล่อยพลังปราณออกมาและส่งสัมผัสสวรรค์ให้ไหลบ่าเข้าไปสู่แหวนวงนั้น!
………………………………..