แต่หลังจากไตร่ตรองและมองร่างกายที่เปราะบางของตนเอง หวังเป่าเล่อก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับว่าเขารีบร้อนเกินไป การพัฒนาระดับปราณไปอย่างก้าวกระโดดทำให้ชายหนุ่มหลงคิดไปว่าตนเองนั้นไร้เทียมทาน
คำสาปในแหวนไม่ใช่อุปสรรคอะไร จะฝ่าเข้าไปก็ได้ถ้าส่งแรงกดดันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนนั่น…น่ากลัวใช่เล่น หวังเป่าเล่อนึกถึงสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้ปลดผนึกแหวนนี้แม้ว่าจะตกอยู่ในอันตรายถึงตาย
เขาอาจกังวลว่า หากปลดผนึกแหวนแล้ว…เขาก็คงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครฆ่าอีกต่อไป กระดาษรูปมนุษย์นั้นคงจะจัดการเขาเสียเองเป็นแน่
หากเป็นเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นไปจับกระดาษรูปมนุษย์เอามาขังไว้ในแหวนได้อย่างไรกันเล่า ปริศนานี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสับสนแต่ก็ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาไปในคราวเดียวกันว่าวัตถุเวทที่เหลือภายในแหวนคลังเก็บวงนี้นั้น…ต้องเป็นของล้ำค่าแน่นอน!
เป็นไปได้สูงมากว่าจะต้องมีคัมภีร์เวททรงพลังเก็บอยู่ในขวดนั้น! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกายด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มสับสนอยู่เล็กน้อยที่จู่ๆ คำว่า ‘คนร่ำรวย’ มาปรากฏอยู่บนคัมภีร์เช่นนั้น ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อว่ามันต้องมีความหมายที่ลึกล้ำกว่านั้นซ่อนอยู่แน่นอน
ปาฏิหาริย์มักปรากฏขึ้นจากเหตุการณ์ธรรมดาๆ…หวังเป่าเล่อเข้าใจขึ้นมาแจ่มแจ้ง ประโยคหนึ่งจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงผุดขึ้นในใจ ในอดีตชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนได้ฉลาดขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ เก็บแหวนคลังเก็บไปอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจจึงใช้เวลาพักหนึ่งร่ายคาถาจำนวนไม่น้อยผนึกแหวนคลังเก็บเอาไว้ หัวใจเขาค่อยผ่อนคลายลงได้หลังจากนั้น
รอให้ท่านบิดาผู้นี้บรรลุระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนเถอะ แม้จะยังไม่อาจรับมือกระดาษรูปมนุษย์ได้ แต่ข้าก็จะหาทางหลบเลี่ยงมันเข้าไปหยิบของมาจากในแหวนให้จงได้ หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ จากนั้นชายหนุ่มจึงหลับตาลงและนั่งนิ่ง ปล่อยให้ทั้งพลังปราณ จิตใจ และดวงวิญญาณพากันกลับเข้าสภาวะปกติ
เวลาผ่านไปอย่างแช่มช้าขณะที่ทั้งกองทหารของเขาและกองทหารอันดับหนึ่งเดินทางข้ามจักรวาลและเข้าไปยังอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ
ควรมีกองเรือบินรบประจำการอยู่ที่บริเวณเส้นเขตแดน ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเลย ราวกับว่าประตูได้ถูกเปิดอ้าค้างเอาไว้ ยอมให้ใครต่อใครผ่านไปมาได้ตามอำเภอใจ มีร่องรอยของพลังจากคาถาที่ถูกร่ายเอาไว้ในบริเวณนั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงร่องรอยพลังงานที่คุ้นเคยผ่านสัมผัสสวรรค์ของเขา…แต่อยู่ค่อนข้างไกลออกไป
ความเข้มข้นของพลังงานที่สัมผัสได้ทำให้หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มบอกได้ว่าพลังนั้นไม่ได้นิ่งและยังเคลื่อนไหวอยู่ ร่องรอยพลังงานที่นิ่งงันบอกให้รู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว ในขณะที่ร่องรอยพลังงานซึ่งยังเคลื่อนไหวแปลความหมายได้ว่าการต่อสู้ยังคงดำเนินอยู่
และหากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป มันก็หมายความว่าพวกเขามาทันเวลา
หวังเป่าเล่อส่งคำสั่งผ่านดวงจิตเทพของตนไปยังทุกคน รวมถึงพ่อบ้าน เทพธิดาหลิงโยว และบรรดาเรือบินรบทั้งมวล ให้เร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้า ตรงไปยังดาวเอกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ที่แห่งหนึ่งเหนือดาวเอกสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ การต่อสู้อันดุเดือดที่คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้น ณ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังดำเนินอยู่ แต่สถานการณ์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำดีกว่าอยู่บ้าง แม้พวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็ยังพอรับมือได้อยู่ สาเหตุเป็นเพราะกองกำลังหลักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นไปอยู่ที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จนหมด
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เฝ้ารอกำลังเสริม ผู้ฝึกตนที่กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคือผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายชราอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ขั้นต้นเช่นเดียวกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ดังนั้นแม้การต่อสู้จะส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วจักรวาล แต่มันก็ยังยืดเยื้อ ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะกุมชัยชนะได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะบนสนามรบก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับว่าทั้งสนามรบกำลังอยู่ในสถานการณ์การชักเย่ออันรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดวิตก แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะน้อย แต่ก็แทบไม่มีใครแข็งแรงเต็มร้อยสักคน
เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็เริ่มเหนื่อยล้าทั้งกายใจถึงขีดสุด แต่ตราบใดที่กำลังเสริมยังมาไม่ถึง การต่อสู้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถผนึกมุมของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำไว้ได้ทั้งสี่จุดและหยุดไม่ให้มีการส่งข้อความเสียงเข้าออกได้ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ทำเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์จากการผนึกของทั้งสองฝ่ายคือการที่สนามรบถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง นอกเสียจากว่ามีผู้นำสารเข้ามาในสนามรบด้วยตนเอง ข้อมูลจากภายนอกก็ไม่อาจเข้ามาถึงผู้คนบนสนามรบได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะเหตุนี้ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงไม่รู้เลยว่าประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั้นล้มเหลว เขาคิดไปว่าป่านนี้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คงจะล่มสลายไปแล้วเป็นแน่ และประมุขสำนักกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็กำลังเดินทางมาตามแผน
ชายชราไม่ใช่คนเดียวที่คิดถึงกำลังเสริม ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็กังวลอยู่ไม่แพ้กัน เขาเองก็รอคอยกำลังเสริมจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อยู่เช่นกัน นั่นเป็นความหวังเดียวของชายชรา เพราะสำหรับเขาแล้ว มันไม่มีทางออกอื่นอีก ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้นี้ เป้าหมายเดียวของศัตรูคือการปิดล้อมพวกเขา โอกาสการจะหนีรอดไปได้ด้วยตนเองนั้นแทบเป็นศูนย์
ทางออกเดียวคือการต่อสู้จนตัวตาย ต่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่สามารถเอาชนะกองกำลังของผู้รุกรานได้ ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ต้องเดิมพันว่าอีกสำนักจะสามารถต่อสู้ซื้อเวลาให้ได้บ้าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็มั่นใจว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องเลือกพักการต่อสู้ก่อน เพราะกองกำลังของทั้งสองต่างก็อ่อนล้าเกินไป
สถานการณ์เช่นนี้เป็นการวัดกันระหว่างความอดทนของพวกเขาและความเร็วในการมาถึงของกำลังเสริม เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานกว่าอีกฝ่ายหรือไม่ คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพย่ำแย่สักเพียงใดในตอนท้าย
เสียงระเบิดดังสนั่น เสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นอยู่ในอากาศไม่หยุดหย่อน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีจุดแสงปรากฏขึ้นบนอวกาศที่ห่างไกล แม้จะบางเบาในตอนแรก แต่ก็สว่างขึ้นมาทันทีในอีกชั่วอึดใจ ดูคล้ายดาวหางจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ทุกคนบนสนามรบต่างก็มีปฏิกิริยาเมื่อได้เห็น
ไม่มีความจำเป็นต้องดูให้แน่ใจ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บอกได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่กำลังเสริมฝ่ายตนแน่นอน ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมีท่าทีตรงกันข้าม แววตาของเขาตื่นเต้นอย่างหนัก ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีนั้น คลื่นพลังวิญญาณอันเข้มข้นก็กระจายผ่านจักรวาลเมื่อดาวหางเหล่านั้นมุ่งหน้าลงมาหาสนามรบอย่างรวดเร็ว!
ดาวหางเหล่านั้นคือกองเรือบินรบระเบิดตัวเองของหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาตัดผ่านจักรวาลราวกับเป็นคมกระบี่ ไถลผ่านอวกาศอันดำมืด และพุ่งตรงลงมาสู่การต่อสู้ไม่ต่างจากกระบี่ที่พร้อมรบ ผู้ฝึกตนจำนวนมากจากกองทหารอันดับหนึ่งแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หุ่นเชิดนับแสนของหวังเป่าเล่อ และหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองของเขาออกมาจากเรือบินรบและพุ่งเข้าใส่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของพ่อบ้านทันที!
พ่อบ้านสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเมื่อก้าวลงมาจากเรือบินรบ เสียงร้องคำรามของเขาสะท้อนก้องทั่วสนามรบ
“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหารแล้ว และประมุขสำนักก็บาดเจ็บสาหัส กองทัพของพวกเขาแตกสลายไปแล้ว มีผู้ถูกสังหารและต้องหนีตายนับไม่ถ้วน สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้รับชัยชนะท่วมท้น ตามคำสั่งปรมาจารย์ของพวกเรา เรามาเพื่อช่วยเหลือสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!”
การมาถึงของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ส่งคลื่นอารมณ์กระจายไปบนใบหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทุกคนที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ยืดเยื้อ ใจของพวกเขาทุกคนอื้อชา การตอบสนองแรกคือความไม่อยากเชื่อ สิ่งที่พ่อบ้านเพิ่งพูดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่…สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว และการที่พวกเขามาถึงก็หมายความได้อย่างเดียวว่ากองกำลังที่ส่งไปรุกรานสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นพ่ายแพ้
การมีจิตใจท้อถอยบนสนามรบนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง กระทั่งผู้อาวุโสฝ่ายขวายังได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน แต่เขาก็สลัดทิ้งความกลัวในใจก่อนจะตะโกนออกมา
“ไม่จริง พวกปีศาจสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแค่แบ่งคนจำนวนเล็กน้อยจากกำลังหลักมาทำให้เราสับสน!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาปล่อยพลังปราณออกมาทันทีหลังจากตะโกน เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ทหารที่กำลังเสียขวัญ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พ่อบ้าน หวังจะสังหารอีกฝ่ายให้ได้ไม่ว่าอย่างไร ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ
หวังเป่าเล่อกระโจนออกมาจากเรือบินรบเวทของเขา ชายหนุ่มมองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป ยกมือขวาขึ้นแล้วชี้ไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก กระแสลมระเบิดออกมาจากนิ้วมือแล้วพุ่งไปด้านหน้า แล้วไปหยุดอยู่บริเวณหนึ่งไกลจากกายชายหนุ่ม ตรงกลางระหว่างผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคนที่กำลังสู้กันอยู่
ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนั้นหวังเป่าเล่อจำหน้าได้ เขาคือผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ผู้ที่รับอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเข้าร่วมกองทัพแล้วพยายามจะสังหารหวังเป่าเล่อ ขณะนี้ชายวัยกลางคนกำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะตายได้ทุกเมื่อ
การโจมตีของหวังเป่าเล่อ ซึ่งได้รับการเสริมพลังจากพลังปราณสำรองมหาศาลที่เขามีอยู่ พุ่งเข้ามาใส่อย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หน้าซีดด้วยความตื่นกลัวก่อนจะหนีทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นการโจมตีและต้องบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ทั้งๆ ที่กำลังหนี ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็หน้าซีดเช่นกัน เขาผงะถอยหลังพลางหันไปมองผู้ช่วยชีวิต ก่อนจะตัวสั่นและตาเบิกโพลงเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อ เขาดูไม่เชื่อสายตาตนเอง
หวังเป่าเล่อเมินผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ การช่วยชีวิตอีกฝ่ายเป็นเพียงเรื่องง่ายดาย ชายหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปในจักรวาล ดวงตาจับจ้องไปยังผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนที่กำลังต่อสู้กัน เขาหรี่ตาลง
หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง ว่าตนเองมาที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพราะเรื่องยุทธศาสตร์ล้วนๆ แต่ เขาก็ยังไม่ชอบคนพวกนี้เท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะหาโอกาสสังหารพวกเขาเสียบ้างระหว่างภารกิจช่วยเหลือนี้
…………………………………….