หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าหญิงสาวจะเป็นใครก็ตาม หากนางยังไม่มีปฏิกิริยาหลังจากที่ชายหนุ่มได้พูดไปทั้งหมด เขาก็คงทำได้เพียงค้นวิญญาณนางเท่านั้น หากนางได้ทำร้ายหรือสังหารสหายรักของเขาไป หวังเป่าเล่อก็จะทรมานนางแน่นอน แต่หากว่าไม่ใช่ และนางเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของเขาจริงๆ หวังเป่าเล่อก็จะลบนางออกไปจากใจเสีย!
แต่เมื่อชายหนุ่มพูดจบและกำลังจะเดินออกจากห้องลับไปนั้น ร่างของเฉินเสวี่ยเหมยก็สั่นสะท้านอย่างแรง ความสับสนและไม่แน่ใจในกายนางสลายไปจนสิ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นอย่างแรงและจ้องมองหวังเป่าเล่อ แม้ว่านางจะอยากเงียบเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการยากยิ่งที่จะควบคุม เพราะแม้แต่น้ำเสียงที่นางพูดก็ยังสั่นเครือ
“ข้ารู้จักหวังเป่าเล่อ!”
หวังเป่าเล่อหยุดเดิน มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“เจ้าเป็นใครกัน”
“…เจ้าเยี่ยเหมิง!” หลังจากที่เฉินเสวี่ยเหมยพูดจบ ความต้องการที่จะตายซึ่งฉายอยู่บนแววตาของนางก็รุนแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า นางหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะพูดต่อไปอย่างใจเย็น
“ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ท่านต้องการจะรู้ ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง แต่ได้โปรดเถิด ศิษย์พี่…ไว้ชีวิตเขาด้วย”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกใจสลายเล็กน้อย ชายหนุ่มยิ้มอย่างขมขื่นให้กับเจ้าเยี่ยเหมิงพลางถอนหายใจ
“เยี่ยเหมิงที่รักของข้า ข้าก็เผยใบหน้าที่แท้จริงให้เจ้าเห็นแล้วอย่างไรเล่า เจ้า…เจ้าไม่เชื่อข้าจริงๆ หรือ ข้าคือหวังเป่าเล่อ เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น ดึงกระจกออกมาส่องมองดูตนเอง หลังจากที่ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่ได้เปลี่ยนใบหน้าผิด ชายหนุ่มก็มีสีหน้าสิ้นหวัง
“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ในเมื่อข้าหล่อขึ้นมาจากอดีตมากมายขนาดนี้ เจ้าจะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบนิ่งไป
ปฏิกิริยานี้ทำเอาหวังเป่าเล่อประหม่า แต่สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกอยู่ในใจนั้นต่างจากสิ่งที่แสดงออกมาทางใบหน้า เขายังคงจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงต่อไป ในขณะที่ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มขื่นพาดอยู่
“เยี่ยเหมิง ข้าเองหวังเป่าเล่อ ทำไมเจ้าจึงเป็นเช่นนี้กัน ทำไมต้องซ่อนตัวด้วยเล่า ข้าจำเจ้าไม่ได้จริงๆ นะ”
เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก นางก็ปล่อยทักษะลึกลับออกมา ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในวินาทีถัดมา ร่างอันสะคราญจากความทรงจำของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงคลื่นรบกวนอันคุ้นเคยหลังจากที่เจ้าเยี่ยเหมิงปลดผนึกบางอย่างออกมา คลื่นรบกวนนั้นมาจากดวงวิญญาณและมีรัศมีของเขาปะปนอยู่ด้วย ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็แน่ใจแล้วว่าสตรีนางนี้คือ…เจ้าเยี่ยเหมิงจริงๆ!
ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อยิ้มกว้างก่อนจะก้าวเข้าไปกอดเจ้าเยี่ยเหมิงแน่น แต่ทันทีที่เขาก้าวออกมา หญิงสาวก็สืบเท้าถอยไปหลายก้าว มีแววตาเยือกเย็นที่หวังเป่าเล่อจำได้ว่านางมักส่งให้คนแปลกหน้าปรากฏขึ้นในดวงตา นางเปิดเผยร่างจริงเพราะมีแผนเดียวกันนั่นคือจะทดสอบปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่แน่ใจนัก แต่นางก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านคิดว่าข้าเป็นทารกสามขวบหรืออย่างไร ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ข้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงและชื่อจริงของข้าไปแล้ว หากท่านอยากจะรู้อะไรมากกว่านี้ โปรดพาตัวหวังเป่าเล่อมาพบข้า!
“หากท่านอยากจะค้นวิญญาณข้าก็ตามใจ แต่ข้าขอเตือนเอาไว้อย่างหนึ่ง ศิษย์พี่ หากท่านไม่เข้าใจว่าข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อย่างไร ท่านก็ไม่มีทางปลดผนึกวิญญาณของข้าได้ และหากท่านจะใช้กำลังค้นวิญญาณข้า ท่านก็จะไม่ได้รู้สิ่งใดเลย”
หวังเป่าเล่อตะลึงไปเล็กน้อย
“ข้านี่ละหวังเป่าเล่อจริงๆ สวรรค์ ขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือ หลายปีมานี้เจ้าไปพบสิ่งใดมาบ้างกันแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบไปพักใหญ่ แต่สีหน้าของนางก็ยังเย็นชา ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาอย่างเยือกเย็นในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา
“ท่านไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเช่นนี้ต่อไปหรอก ศิษย์พี่ การจะเข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ผู้สมัครจะต้องผ่านกระบวนการค้นใจ กระบวนการนั้นสามารถสร้างภาพหลอนของคนสำคัญที่อยู่ในใจผู้สมัครและพาผู้สมัครผ่านสถานการณ์จำลองมายาเพื่อตรวจสอบว่าศิษย์คนนั้นมีแผนใดซ่อนอยู่หรือปลอมแปลงประวัติของตนมาหรือไม่ ตัวข้า…ผ่านกระบวนการนั้นมาแล้วและผ่านการทดสอบอีกด้วย
“เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางหรอกที่ข้าจะเปิดเผยสิ่งใดออกมา การที่ท่านจำข้าได้จากการมองเพียงครั้งเดียว จับตัวข้า และพาข้ามาที่นี่เพื่อถามคำถามก็หมายความได้อย่างเดียว นั่นก็คือ…ท่านได้จับตัวหวังเป่าเล่อไว้และใช้กำลังดึงเอาความทรงจำของเขาออกมา!
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านทำพลาดแล้ว ศิษย์พี่ ท่านดูถูกข้าเกินไป แน่นอนว่าแม้ระดับปราณของข้าจะต่ำกว่าท่านมาก แต่ดวงจิตเทพของข้านั้นแตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไป ข้ามีความสามารถพิเศษด้านโทรจิต ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในใจข้าจะมีรัศมีที่ข้ามองเห็นได้บนร่างกายของพวกเขา!”
“แต่ท่านไม่มีรัศมีนั้นอยู่บนกายแม้แต่น้อย ฉะนั้นหากท่านไม่พาตัวหวังเป่าเล่อมาที่นี่ ศิษย์พี่ ข้าก็คงสรุปได้อย่างเดียวว่า…หวังเป่าเล่อนั้น…ได้ตายไปแล้ว!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็สั่นเทิ้มอย่างเกินจะควบคุม
หวังเป่าเล่อหัวเราะขื่นออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ตกใจกับทักษะเฉพาะตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มรู้ดีว่าร่างของเขาตอนนี้เป็นเพียงอวตาร ดังนั้นก็เป็นการถูกที่จะกล่าวว่าไม่มีรัศมีใดๆ อยู่บนตัวของเขาแม้แต่น้อย แต่เพราะระดับปราณของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่ง เกินกว่าระดับของเจ้าเยี่ยเหมิงไปไกล หากเคล็ดเวทเฉพาะตัวของนางยังใช้ได้ผลอยู่ ทักษะนี้ก็คงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นกำ หยิบดวงจิตเทพที่ดึงออกมาจากร่างของเยี่ยเหมิงเอาไว้ในมือแล้วกดลงไปตรงหว่างคิ้ว ดวงจิตเทพผสานรวมเข้ากับเขาโดยดุษณี ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย
“เจ้าเชื่อข้าหรือยัง” หลังจากทำเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หันกลับไปมองเจ้าเยี่ยเหมิง แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะตัวสั่นหนักขึ้นกว่าเก่าเมื่อได้เห็น อันที่จริงแล้ว สายตาของหญิงสาวที่มองมานั้นมีความเกลียดชังและบ้าคลั่งที่แทบจะฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของเขาปรากฏอยู่ เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจผิด คิดไปว่าหวังเป่าเล่อนั้นได้ตายไปแล้วโดยสมบูรณ์ นางคิดว่าทั้งร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างของชายหนุ่มถูกบุรุษผู้นี้กลืนกินและผสานรวมเป็นเนื้อเดียวกับร่างไปสิ้นแล้ว
“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธไปเลย เยี่ยเหมิง!” หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่รู้จะต้องอธิบายอย่างไร ขณะเดียวกัน เพราะปฏิกิริยาของเจ้าเยี่ยเหมิง เขาจึงรู้สึกว่านางคงเอาชีวิตรอดอยู่ในอารยธรรมครามทองคำตลอดเวลาหลายปีมานี้อย่างยากลำบากมากแน่ๆ หากนางถูกเปิดโปง นางก็จะต้องตาย และอาจสร้างภาระให้สหพันธรัฐอีกทอดหนึ่งก็เป็นได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางไม่อาจเชื่อใจใครได้เลย ด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องสร้างนิสัยระมัดระวังตัวอันสุดโต่งนี้ขึ้นมา
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพิสูจน์ตัวตนแล้วหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังระวังตัวแจ
แม้ว่าการไม่เชื่อใครเลยและเชื่อเพียงตนเองคนเดียวอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะรับประกันความปลอดภัยของตนได้ในต่างแดน
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งเจ็บปวดหัวใจขึ้นไปอีก แต่ชาวหนุ่มก็เข้าใจดีว่ามันหมายถึงเจ้าเยี่ยเหมิงได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว ในฐานะผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ ที่มีมารดาเป็นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและมีบิดาเป็นผู้นำนักวิจัยวิญญาณ นางสามารถฝึกปราณต่อไปในสหพันธรัฐได้โดยปราศจากอันตราย ต่อให้ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำเรียกตัวนาง นางก็แค่ปฏิเสธไป แล้วก็คงจะไม่มีใครกล่าวโทษนางได้
แต่สุดท้าย เพราะเหตุผลบางประการ หญิงสาวก็เลือกที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยตัวของนางเอง นี่คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้นางขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ในสหพันธรัฐ นางเป็นคนเช่นนี้เอง และหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน
ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงตรงหน้าเขาในตอนนี้แตกต่างจากเจ้าเยี่ยเหมิงในความทรงจำนัก นางในตอนนี้มีเสน่ห์คล้ายมารดา หรือก็คือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารในระดับหนึ่ง
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่พยักหน้าให้เจ้าเยี่ยเหมิงที่มองมาอย่างระแวดระวัง ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะพาหญิงสาวเคลื่อนย้ายออกไปจากห้องลับและออกจากดวงจันทร์บริวารไป ในอึดใจต่อมา…ทั้งคู่ก็มาปรากฏอยู่บนจักรวาล หวังเป่าเล่อขยับตัวโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถามคำถาม แล้วปลดปล่อยพลังปราณออกมา มุ่งหน้าไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เต็มความเร็ว!
เพราะไม่มีการรบกวนของผนึกและกองทัพผู้ฝึกตนตามหลังมา หวังเป่าเล่อจึงปล่อยความเร็วออกมาได้เต็มที่ ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็พาเจ้าเยี่ยเหมิงมาถึงดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ก่อนจะพลิกกายแล้วมาปรากฏตัวอยู่ที่โลงศพซึ่งร่างจริงของเขานอนนิ่งอยู่ พวกเขาขุดดินแล้วเข้าไปอยู่ข้างๆ โลงศพภายในถ้ำ!
เมื่อไปถึง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พูดอะไร มีประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาขณะที่วิชาแห่งศาสตร์มืดไหลวนอยู่ในร่าง เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกมาขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นทุบโลงศพอย่างรุนแรง
โลงศพสั่นไหวจากแรงทุบ ก่อนจะค่อยๆ โปร่งแสง ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นหวังเป่าเล่อซึ่งนอนอยู่ในโลงศพได้ทันที
ร่างของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างจริงของหวังเป่าเล่อเปิดตาขึ้นช้าๆ ต่อหน้าหญิงสาวที่จ้องมองอยู่เขม็ง
“เยี่ยเหมิง นี่คือข้าจริงๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ร่างจริงของข้าตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ ข้าใช้ได้เพียงร่างอวตารนี้เท่านั้น เพราะเหตุนี้เจ้าจึงมองไม่เห็นรัศมีด้วยทักษะเฉพาะตัวของเจ้า”
“เป่าเล่อ!” เจ้าเยี่ยเหมิงยังคงตัวสั่น นางปิดตาลงเพื่อสัมผัสรัศมีของอีกฝ่าย หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม มันเป็นน้ำตาแห่งความตื่นเต้นและปีติ
“ไม่ต้องร้องนะ ข้าอยู่ตรงนี้” ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อเศร้าใจเล็กน้อย ขณะที่จ้องมองไปยังร่างจริงในโลงแล้วหันกลับไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่สนใจเพียงร่างจริงของเขาเท่านั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกตกหลุมรักนางขึ้นมาเล็กน้อย