หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 874 ขอยืมถ้อยคำมงคลจากแม่นางน้อย!

“สำหรับระดับที่สาม…ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะหามาครอบครองได้ สิ่งนั้นได้แก่…ดาวเคราะห์อมตะ ดาวเคราะห์ประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นดาวเคราะห์กลายพันธุ์หลังจากที่ความเข้มข้นของปราณวิญญาณภายในนั้นถึงจุดสูงสุด และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของท้องฟ้าและผืนแผ่นดินไป ส่งผลให้ทุกๆ อย่างบนดาวเคราะห์ถูกผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นดาวเคราะห์ที่งดงามคล้ายดาวเสาร์!

“ดาวเคราะห์เหล่านั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ภายใน ช่างน่าเสียดาย แม้ว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยก๊าซ แต่ก๊าซนั้นไม่ใช่ปราณวิญญาณ…และเพราะดาวเคราะห์เช่นนั้นมนุษย์สามารถสร้างได้เอง พวกมันจึงกลายมาเป็นดาวเคราะห์ทำพิเศษที่ฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ใช้เพื่อหล่อเลี้ยงผู้ถูกเลือกของตนเอง!

“และผู้ที่ผสานรวมกับดาวเคราะห์อมตะจะก้าวเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ด้วยพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ด้วยกัน และยังมีความเป็นไปได้ว่าการก้าวเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ในอนาคตจะก้าวไกลไปกว่าผู้ที่ผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณมากนัก

“นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ว่าทำไมผู้ที่ถูกเลือกจึงแข็งแกร่งกว่าคนอื่นมากนัก อารยธรรมครามทองคำในปัจจุบันมีระบบอุปถัมภ์เช่นเดียวกันกับโลกมนุษย์ ยิ่งพวกเขาเป็นชนชั้นสูงเท่าใด บุตรหลานของพวกเขาก็จะได้รับการอมรมสั่งสอนและทรัพยากรที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างเทียบกันไม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด เพราะฉะนั้น จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะขึ้นมาเป็นชนชั้นสูงต่อไป”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนหายใจเบาๆ หญิงสาวจำได้ถึงตอนที่นางคิดไปว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์อมตะเมื่อครั้งได้เรียนรู้ข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก แต่แล้วก็ต้องผิดหวังในตอนท้าย

“แล้วระดับต่อไป หลังจากดาวเคราะห์อมตะเล่า” ประกายประหลาดฉายวับขึ้นมาในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที

“หลังจากดาวเคราะห์อมตะก็คือ…สิ่งที่ข้าพูดถึงไปก่อนหน้านี้…ดาวเคราะห์พิเศษที่มีอยู่ในสุสานดวงดาราอย่างไรเล่า!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่อและไม่ได้ซ่อนความไม่แน่ใจในความคิดของตนที่ปรากฏขึ้นบนแววตาแม้แต่น้อย หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ

“ข้ารู้สึกว่าอารยธรรมของเราบนโลกนั้นประหลาดอยู่สักเล็กน้อย การที่เราตั้งชื่อดาวเคราะห์ของเราห้าดวงตามธาตุทั้งห้านั้นแปลกอย่างยิ่ง…เพราะดาวเคราะห์ที่พิเศษเหล่านั้นเป็นตัวแทนของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ พวกมันมีพลังตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ธาตุทั้งห้า เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังธรรมชาติ…”

ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง ชายหนุ่มจำได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เคยบอกความคิดของตนกับเขาเกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกตนที่หายตัวไปจากบนโลกเมื่อหลายปีมาแล้ว

“และเมื่อกฎเกณฑ์บนดาวเคราะห์พิเศษผสานรวมกับผู้ฝึกตนเมื่อใด ก็มีโอกาสราวร้อยละเก้าสิบที่เขาจะ…ก้าวขึ้นมาเป็นระดับดารานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต!” เจ้าเยี่ยเหมิงส่ายหน้าเพื่อไล่ความฉงนสงสัยเกี่ยวกับโลกมนุษย์ออกไปจากใจ ก่อนจะพูดต่อไป

“ดาวเคราะห์เหล่านั้น…หาได้ยากยิ่ง กระทั่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พวกมันมีอยู่แค่…ภายในสุสานดวงดาราเท่านั้น ดาวเคราะห์พิเศษดวงเดียวก็อาจทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่อสู้กันจนถึงตายได้!”

“ดาวเคราะห์พิเศษที่มีพลังธรรมชาตินั้น…” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มขาดช่วง ตอนแรกชายหนุ่มไม่รู้มาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว และจะไม่มีทางพอใจแค่ได้ผสานรวมกับดาวเคราะห์ทั่วไปหรือดาวเคราะห์วิญญาณเป็นแน่ ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถหาดาวเคราะห์พิเศษได้ เขาก็จะพยายามหาดาวเคราะห์อมตะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและเห็นว่านางอยากจะพูดแต่ก็หยุดไปเสียก่อน

หวังเป่าเล่อถามอย่างสงสัย “มีอะไร หรือมีสิ่งที่ดีกว่าดาวเคราะห์พิเศษอีก”

เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ตำนานว่าเอาไว้ว่ามีระดับที่ห้าอยู่เช่นกัน มันเป็นดาวเคราะห์พิเศษที่มีกฎเฉพาะตัว กฎส่วนมากในดาวเคราะห์พิเศษมีอยู่บนดาวเคราะห์พิเศษส่วนใหญ่ แต่มีดาวเคราะห์ประเภทหนึ่งที่…กฎของมันนั้นเฉพาะตัว มีเพียงเมื่อดาวเคราะห์ดวงนั้นตายลงเท่านั้น อีกดวงหนึ่งจึงจะถือกำเนิดขึ้นในจักรวาลได้ ดาวเคราะห์ประเภทนั้นก็คือ…ดาวเคราะห์เต๋า!”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชน หลังจากกระแอมกระไอออกไป ชายหนุ่มก็ใช้ร่างหลักไปสลายดวงจิตเทพและคุยกับแม่นางน้อยในหน้ากากดำที่อยู่ในแขนของร่างหลัก

“แม่นางน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะผสานรวมกับดาวเคราะห์เต๋าในตำนานได้หรือไม่”

“เจ้าฝันเฟื่องดีนี่ หากเจ้าผสานรวมกับดาวเคราะห์เต๋าได้ล่ะก็ ข้าจะ…” แม่นางน้อยพูดออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องหยุดกลางคัน

“ขอบคุณมากสำหรับถ้อยคำมงคล แม่นางน้อย ฮะฮ่า ข้าค่อยคลายใจหน่อย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ลิงโลดใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มสังเกตว่า ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งซึ่งแม่นางน้อยบอกว่าเขาจะทำไม่ได้ เขาก็จะทำได้แน่นอน

แม่นางน้อยถึงกับจนถ้อยคำ

“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ แม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนวได้ยินนางพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ไปให้พ้น ข้าเหนื่อย ข้าจะนอนแล้ว” แม่นางน้อยพูดอย่างอ่อนแรง ความหงุดหงิดใจนั้นเหลือจะกล่าว ในแง่หนึ่ง คำพูดของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ก็สมควรถูกตำหนิ แต่อีกแง่ นางก็นึกไปถึงประสบการณ์ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วก็ได้แต่รู้สึกเศร้าสร้อย

หลังจากที่กลั่นแกล้งแม่นางน้อยต่อหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอเมื่อได้เห็นแววตาสงสัยจากหญิงสาว

“ข้ามีเป้าหมายแล้ว ข้าจะมุ่งหน้าตามหาดาวเคราะห์เต๋า นอกเสียจากว่าข้าจะเข้าไปในสุสานดวงดาราไม่ได้ ข้าจะต้องเอาดาวเคราะห์เต๋ามาเป็นของตัวเองให้จงได้” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกยกหางตนเองเช่นเคย

เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจหวังเป่าเล่อและส่ายหน้าหลังจากที่ได้ยิน หญิงสาวไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อไม่มีหวังจะได้ครอบครองดาวเคราะห์เต๋า แต่นางก็ต้องบอกหวังเป่าเล่อถึงข้อมูลเรื่องจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ได้รู้มาตอนอยู่ในอารยธรรมครามทองคำ

“เป่าเล่อ จำนวนของทางเข้าเปลี่ยนไปทุกๆ ครั้งที่สุสานดวงดาราเปิดขึ้น บางครั้งก็มีมากมายหลายแห่ง บางครั้งก็มีน้อยนิด สิ่งสำคัญก็คือการหาสิทธิ์ในการเข้า อาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฝ่ายการเมืองหรือตระกูลใหญ่ๆ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่สำหรับเราแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” เจ้าเยี่ยเหมิงทอดถอนใจ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่าขณะที่ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำดำเนินไปและเมื่อนางได้เรียนรู้เรื่องจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมา ในขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกขมขื่นใจกับความอ่อนแอของโลกมนุษย์เมื่อนางหันหลังมองกลับไป นางก็รู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อยเช่นกัน

ไม่ใช่โกรธเพื่อตนเอง แต่โกรธแทนอารยธรรมของนาง หญิงสาวหวังว่าโลกมนุษย์จะก้าวขึ้นมากยิ่งใหญ่ และนางก็จะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมา

“แม้กระทั่งอารยธรรมครามทองคำ ซึ่งเป็นอารยธรรมยิ่งใหญ่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายก็ยังไม่มีสิทธิ์ แต่ตำนานก็ว่าไว้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีสิทธิ์ ดังนั้นก็เป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนต้องการทั้งกำลังและโชคเพื่อที่จะได้สิทธิ์มา”

“ฉะนั้นทุกครั้งที่สุสานดวงดาราเปิดขึ้น ก็จะมีการนองเลือดครั้งใหญ่ภายใน เพราะทุกฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงจะไปรวมตัวกันที่นั่น ทำให้สุสานดวงดารากลายเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะเลี้ยงดูบุตรและอัจฉริยะขึ้นมา อันที่จริงแล้ว อัจฉริยะบางคนถึงกับกดระดับปราณของตนไม่ยอมบรรลุสู่ระดับดาวพระเคราะห์ เพื่อจะรอให้สุสานดวงดาราเปิดขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในนั้นแทน สำหรับคนเหล่านั้น…แม้ว่าระดับปราณจะไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่พื้นฐานของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้สบายๆ!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ต้องกดข่มความเกรี้ยวกราดในใจเอาไว้ เมื่อนางจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะรู้ว่าชายหนุ่มยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ยังมีความกังวลสะท้อนอยู่ในแววตานาง

จังหวะเวลาของความรู้สึกกังวลนี้แปลกมาก เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าสุสาน และหากคิดตามสามัญสำนึก ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะได้รับสิทธิ์มาจากอารยธรรมครามทองคำ แต่หญิงสาวก็มีความรู้สึกแปลกๆ ว่า…การที่หวังเป่าเล่อจะเข้าไปในสุสานดวงดารานั้นไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้

หลังจากที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นมาในใจนาง และขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ตามความเข้าใจของข้า สุสานดวงดาราจะเปิดหนึ่งครั้งในรอบหลายร้อยปี และตามการคาดเดาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…ครั้งต่อไปที่มันจะเปิดก็คือในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่รายละเอียดทุกอย่างยังไม่มีใครรู้ และเพราะเหตุนั้น อารยธรรมครามทองคำจึงหมายตาจุดเปิด ณ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์”

เมื่อฟังมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็อดพูดไม่ได้

“เยี่ยเหมิง เจ้าเป็นใครในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าได้ข้อมูลทั้งหมดนี้มาได้อย่างไรกัน” หวังเป่าเล่อสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอารยธรรมครามทองคำจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าโลกมาก ชายหนุ่มก็ยังอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ โอกาสที่ข้อมูลซึ่งเขาไม่อาจรับรู้ได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะกลายมาเป็นข้อมูลทั่วไปในอารยธรรมอื่นๆ นั้นไม่สูงนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเจ้าเยี่ยเหมิงรู้เยอะมาก การจะได้ข้อมูลเหล่านี้มาโดยที่มีระดับปราณเท่านางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน

“อาจารย์ของข้าเป็นผู้อาวุโสลำดับสามในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และระดับปราณของนางอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ข้าเป็นศิษย์คนเดียวของนางตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์ของข้าไม่ได้มาด้วยในครั้งนี้เพราะนางผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณและกำลังพยายามถือสันโดษเพื่อบรรลุขั้น” ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าเยี่ยเหมิงสามารถปกปิดจากหวังเป่าเล่อได้ นางจึงอธิบายทุกอย่างที่ชายหนุ่มสงสัย

หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะถามขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง

“เจ้าเพิ่งพูดไปเดี๋ยวนี้ว่าอารยธรรมครามทองคำหมายตาเครื่องหมายของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ แต่หากจะพูดกันตามหลักการแล้ว ด้วยกำลังของอารยธรรมครามทองคำ พวกเขาสามารถจะชิงเอาไปตรงๆ เลยก็ได้ ทำไมต้องวุ่นวายร่วมมือกันด้วยเล่า เพราะเครื่องหมายนั้นไม่อาจได้มาตรงๆ เช่นนั้นหรือ”

เมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ดวงตาของนางทอประกายแวววาว

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset