ทางสหพันธรัฐวางระบบเมืองไว้อย่างละเอียด โดยสิบแปดนครบนโลกมีสถานะเป็นเขตนครพิเศษ มีเพียงนครหลวงบนโลกและนครหลักอาณานิคมดาวอังคารเท่านั้นที่มีสถานะเป็นนครหลวง
เมืองแต่ละแห่งนั้นมีสถานะเป็นรองเขตนครพิเศษ โดยแต่ละแห่งจะขึ้นตรงต่อเขตนครพิเศษ ส่วนนครของหวังเป่าเล่อก็มีสถานะเทียบเท่ากับเมืองต่างๆ เหล่านี้
เมื่อนครใหม่ได้เลื่อนสถานะขึ้นเป็นเขตนครพิเศษจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากับเหว อย่างไรเสียในสหพันธรัฐก็มีเขตนครพิเศษเพียงสิบแปดแห่งซึ่งอยู่บนโลกทั้งหมด
การผลักดันนครของหวังเป่าเล่อขึ้นเป็นเขตนครพิเศษนั้นมีผลประโยชน์มาก เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารจะต้องให้การสนับสนุนแผนการนี้เนื่องจากจะเป็นผลประโยชน์ต่อดาวอังคาร
แผนการนี้อาจจะไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อสูญเสียอำนาจหน้าที่ในมือ แต่ความพยายามทั้งหมดที่ลงมือลงแรงกับนครใหม่แห่งนี้จะสูญเปล่าไปสิ้น เพราะแม้จะไม่ได้โดนขับออกจากดาวอังคาร แต่ก็จะโดนลดตำแหน่งไปเป็นรอง เนื่องจากระดับการฝึกตนของเขาไม่ถึงขั้นที่จะสามารถเข้ารับตำแหน่งเจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษ
เพราะตามกฎของทางสหพันธรัฐแล้ว…มีเพียงขุนนางระดับสองชั้นรองเท่านั้นที่สามารถขึ้นเป็นเจ้าเมืองเขตนครพิเศษได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเมืองประจำเขตนครพิเศษยังจะได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะเสนาบดีด้วย!
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะครั้งใหญ่ ทางสหพันธรัฐระบุคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองไว้ชัดเจน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถึงแม้จะสร้างความดีความชอบให้กับทางสหพันธรัฐมากเท่าใด อย่างมากสุดก็น่าจะได้รับการเลื่อนขั้นไปเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงเพียงเท่านั้น การจะขึ้นเป็นขุนนางระดับสองชั้นรองได้นั้นจะต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน!
ถือเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้!
หวังเป่าเล่อยังอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ หากพวกเขาชิงลงมือตามแผนการก่อนที่ชายหนุ่มจะบรรลุไปขั้นกำเนิดแก่นในได้ ตามกฎแล้วทางสหพันธรัฐจะต้องแต่งตั้งผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในขึ้นมาเป็นเจ้าเมือง หวังเป่าเล่ออาจจะไม่ได้โดนสั่งย้าย แต่อาจโดนลดขั้นไปเป็นรองเจ้าเมืองแทนโดยที่ไม่สามารถหาทางหลีกเลี่ยงได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็จะเป็นเพียงรองเจ้าเมือง อาจจะมีตำแหน่งสูงกว่าหลี่หว่านเอ๋อร์แต่ก็เพียงในนาม การลดขั้นครั้งนี้จะส่งผลเสียร้ายแรงกว่าการลดขั้นตามปกติทั่วไป!
แม้ทุกคนจะมองแผนการนี้ออก ก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน ถึงเขารู้ก็ทำอะไรไม่ได้ เบื้องหน้านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มเลย เป็นแค่แผนการพัฒนาเมือง โดยพวกเขาอาสาให้การสนับสนุนทรัพยากรและช่วยเหลือทางสหพันธรัฐและดาวอังคารเพียงเท่านั้น
เมื่อแผนการเผยชัดขึ้น แม้แต่ผู้นำสหพันธรัฐและเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็ไม่สามารถระงับโครงการได้ นี่คือ…แผนการสมคบคิดแบบเปิดเผย!
เหล่าจิ้งจอกเฒ่าของตระกูลนภาห้าสมัยเชี่ยวชาญแผนการรูปแบบนี้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าแม้ช่วงหลังๆ กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ จะเป็นมิตรกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็คงไม่มีทางคัดค้านแผนการใดๆ ที่จะผลักดันนครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษ พวกเขาจะยืนดูอยู่เงียบๆ การไม่ยื่นมือเข้าช่วยก็ถือเป็นการเห็นชอบแล้ว
อย่างไรเสีย…การพัฒนานครใหม่ไปเป็นเขตนครพิเศษนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เนื่องจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ได้ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอีกครั้ง
ถึงตระกูลนภาห้าสมัยจะทำตามแผนไม่สำเร็จ ฝ่ายอื่นๆ ก็ไม่ได้เสียหายอะไร แผนการดังกล่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลายๆ ฝ่ายทั้งบนโลกและภายในนครหลักดาวอังคารเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น
พวกเขาถกกันเรื่องความสำคัญของนครใหม่ที่มีต่อดาวอังคารและสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อไม่ได้หายไปจากบทสนทนา แต่ถูกพูดถึงเพียงเล็กน้อย ทุกคนต่างมุ่งความสนใจไปที่ตำแหน่งผู้นำของนครใหม่และผลประโยชน์ที่จะตามมา
ประเด็นเรื่องนี้เป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งสหพันธรัฐ หลี่หว่านเอ๋อร์และคนอื่นๆ ในนครใหม่ต่างสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลในแผนการสมคบคิดนี้!
แม้จะกังวลใจเพียงใดก็ไม่สามารถแจ้งให้หวังเป่าเล่อทราบได้ เนื่องจากชายหนุ่มเก็บตัวนั่งทางในพยายามหาวิธีนำทางดวงจิตเทพเจ้ามาหาตนเพื่อหลอมเป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด
เขาพยายามเข้าฌาณท่องหาดวงจิตอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถนำทางดวงจิตมาหาตนเองได้เสียที ทว่าชายหนุ่มก็เริ่มคุ้นเคยกับกระบวนการทั้งหมดมากขึ้น นอกจากนี้ยังตั้งเป้าไว้ที่ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีและเตรียมการล่อดวงจิตนั้นไว้พร้อมสรรพ
หวังเป่าเล่ออ่านตำรามากมายเพื่อให้มั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ เขาทราบมาว่าการนำทางดวงจิตนั้นต้องอาศัยการล่อลวงใจ นอกจากนี้ยังต้องระบุให้ได้ว่าดวงจิตของเทพตนนั้นชอบอะไร
หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าดวงจิตพยัคฆ์อัคคีนั้นมีรสนิยมอย่างไร ดวงจิตดวงนี้…เป็นพยัคฆ์โรคจิต นิยมชมชอบวิญญาณพยัคฆ์สาว…หวังเป่าเล่อต้องอ่านตำราต่างๆ มากมายกว่าจะระบุได้ว่ามันมาจากตำนานใด มีรสนิยมอย่างไร ก่อนหน้าที่จะถือสันโดษ เขาให้หลินเทียนหาวเตรียมวิญญาณอสูรไว้จำนวนมาก
แม้วิญญาณอสูรเหล่านี้จะไม่เหมาะที่จะใช้ทำเป็นเป็นวิญญาณวุธและอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้เท่านั้น แต่ด้วยจำนวนที่มากขนาดนี้ทำให้ชายหนุ่มต้องทุ่มเงินไปไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เพื่อการล่อลวงดวงจิตพยัคฆ์อัคคีแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยว่าจะต้องใช้เงินมากเท่าใด
ครั้งนี้จะต้องสำเร็จ! หวังเป่าเล่อปล่อยจิตให้ล่องลอยไป มีวิญญาณอสูรจำนวนมากเตรียมไว้พร้อมสรรพ ภายในห้วงมายาระหว่างพื้นดินและสรวงสวรรค์ ชายหนุ่มพบดวงจิตพยัคฆ์อัคคีได้อย่างง่ายดาย เขาเฝ้าดูดวงจิตเบื้องหน้า มันมีลักษณะเหมือนดวงอาทิตย์ขนาดเล็กที่กำลังล่องลอยวนไปวนมาอยู่ภายในพื้นที่เดิมๆ ระหว่างผืนดินและสวรรค์
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้เห็นรูปลักษณ์น่าเกรงขามและพลังที่แผ่ออกมาจากดวงจิต เขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปหา แต่รีบปล่อยวิญญาณอสูรพยัคฆ์สาวตนหนึ่งออกไปแทน ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีหันขวับทันทีเมื่อวิญญาณพยัคฆ์สาวปรากฏ ร่างของมันหายวับไป ก่อนจะมาโผล่ข้างๆ พยัคฆ์สาว จากนั้นก็กลืนกินอีกฝ่ายเข้าไปในคำเดียว!
ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นว่ากลยุทธ์ของตนเองได้ผล เขาถอยหลังไปนิเล็กน้อยก่อนจะปล่อยวิญญาณอสูรออีกตนออกมาด้วยความคาดหวังที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
มาหาข้ามา คนดี!
ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีพุ่งเข้ามากลืนกินวิญญาณอสูรตนที่สองและทำท่าจะถอยกลับ แต่หวังเป่าเล่อก็รีบถอยหลังพร้อมส่งวิญญาณอสูรตนที่สามออกมา
เขาถอยหลังและปล่อยวิญญาณออกไปเรื่อยๆ ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีก็ตามไปอย่างไม่คิดอะไร มันกินวิญญาณไปเรื่อยๆ ตนแล้วตนเล่า และตามชายหนุ่มไปเรื่อยๆ จนห่างจากจุดที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษไปไม่ไกล
ภายในห้องนั้นมีโทรโข่งวางเตรียมไว้แล้ว ขาดเพียงแค่ดวงจิตของพยัคฆ์อัคคีเท่านั้น
ช่างง่ายดายเสียจริง! วันนี้ข้าจะได้หลอมอาวุธเวทระดับเจ็ดเสียที! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจ เขาปล่อยวิญญาณอสูรไปอีกตน เตรียมพร้อมที่จะเรียกสติกลับคืนสู่ร่าง ชายหนุ่มตั้งใจจะล่อดวงจิตพยัคฆ์อัคคีไปที่วิญญาณวุธซึ่งอยู่ภายในอาวุธเวทและหลอมมันให้เป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธเวท
ตอนที่ดวงจิตพยัคฆ์อัคคีสวาปามวิญญาณอสูรตนสุดท้ายเสร็จมันก็หยุดนิ่งไป ดวงตาไร้ชีวิตชีวาของมันพลันฉายแววพึงพอใจระคนเย้ยหยันออกมาเป็นครั้งแรก มันเลิกตามหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็หันหลังมุ่งหน้ากลับไป
ชายหนุ่มตกใจจนตาถลน เริ่มลนลานขึ้นมาทันที
เกิดอะไรขึ้นกัน ไม่เห็นเหมือนที่ตำราว่าไว้เลย ไหนว่าดวงจิตจะมีสัญชาตญาณเหมือนกันกับสัตว์ ทำไมมันถึงเยาะเย้ยข้าได้ ข้า…ข้าโดนดวงจิตที่ม่องไปนานแล้วหลอกเอาอย่างนั้นหรือ
แถมมัน…มันสวาปามวิญญาณอสูรข้าไปเป็นกอง! ชายหนุ่มตาเบิกกว้าง รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันใด เขาร้องคำรามลั่นด้วยความเจ็บปวดที่ต้องเสียค่าโง่ไปมากมาย
“กลับมาเดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อที่นั่งทางในอยู่โกรธจัด เขาสลัดความอ่อนโยนที่มีก่อนหน้าทิ้งไป นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเผยความเดือดดาลออกมาในขณะที่เข้าฌานอยู่ ทันใดที่ความโกรธาปะทุ เปลวไฟสีดำสามดวงในกายก็พลันลุกโชนขึ้น ราวกับว่ามีพลังบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของเขา!
เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงภายในร่างกาย แต่ชายหนุ่มกลับเห็นเปลวไฟเหล่านั้นลุกโชนอยู่เมื่ออยู่ในสภาวะเข้าฌาน มันปรากฏเป็นตัวตนและค่อยๆ แปรเปลี่ยนโลกมายานี้ให้เย็นยะเยือกในทันใด ดวงจิตพยัคฆ์ที่ลำพองใจอยู่ตกตะลึง ความกลัวเผยให้เห็นในแววตา มันอยากจะถอยหนี แต่ก็ช้าเกินไป เปลวไฟทั้งสามดวงพวยพุ่งออกมาข่มพลังของมันไว้
ดวงจิตพยัคฆ์อยากจะกรีดร้องแต่ก็ส่งเสียงออกมาไม่ได้ มันตัวสั่นเทิ้ม ไร้ซึ่งหนทางตอบโต้กลับ ภาพตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มตื่นตะลึงไป
แบบนี้ก็ได้เหมือนกันหรือ ความรู้สึกมากมายตีกันไปมาภายในหัวหวังเป่าเล่อ เขาพยายามออกแรงควบคุมเปลวไฟสีดำ พลันเปลวไฟสีดำก็แกร่งอำนาจมากขึ้น ดวงจิตพยัคฆ์กรีดร้องลั่น เกือบจะโดนบดขยี้อยู่รอมร่อ
ชายหนุ่มเริ่มคึก เขายืดอก ชี้นิ้วไปทางดวงจิตพยัคฆ์ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเย็น
“ข้าอยากจะหาทางปรองดองกับเจ้าอย่างสันติ ไม่กระทำการอะไรเอิกเกริก แต่ไหนๆ ก็มาถึงจุดนี้แล้ว ข้าจะไม่ยอมโอนอ่อนอีกต่อไป จงเลือกเสียว่าจะเข้าไปในอาวุธเวทของข้าแต่โดยดีหรือจะให้ข้าขยี้เจ้าทิ้ง!” หวังเป่าเล่อตะคอก ดวงจิตพยัคฆ์ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เหมือนมันจะตระหนักว่าตนเองไม่สามารถหนีไปไหนได้แล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง มันก็หมุนวนแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไฟส่องสว่าง จากนั้นก็พุ่งไปยังโทรโข่งอาวุธเวทระดับเจ็ดที่วางอยู่ในห้อง หลอมรวมกับวิญญาณวุธก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วโทรโข่ง!
โทรโข่งลุกเป็นไฟ ก่อนจะกลายเป็นสีแดงพร้อมปรากฏอักขราจารึกมากมายบนตัวโทรโข่ง อักขราจารึกเหล่านั้นดูยุ่งยากซับซ้อน จากนั้นตัวอักขระที่อยู่ทั้งภายนอกและภายในของโทรโข่งก็เปลี่ยนไปทันใด ไม่นานมีพลังของอาวุธเวทระดับเจ็ดก็พวยพุ่งออกมาพร้อมปรากฏภาพพยัคฆ์สีแดงสุดหาญกล้าด้านนอกโทรโข่ง พยัคฆ์ตนนั้นเชิดหน้าขึ้นร้องคำราม ความสง่าผ่าเผยของมันเป็นที่น่ายำเกรงยิ่งนัก!
ข้อมูลในตำรามีแต่เรื่องโกหก ไม่เห็นจะต้องล่อลวงมันเลย ทางที่ดีที่สุดคือกำราบมันต่างหาก! หวังเป่าเล่อออกจากฌานด้วยอาการตื่นเต้น นำจิตคืนสู่ร่างก่อนจะลืมตาขึ้น เขาจ้องโทรโข่งสีแดงเบื้องหน้า สัมผัสได้ว่าพลังของมันนั้นเหนือชั้นกว่ากระบี่ของเขาที่ทำลายตัวเองไปแล้ว ชายหนุ่มอดหัวเราะเสียงดังด้วยความสุขใจไม่ได้
ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริง!