ขณะที่วิญญาณของชายหนุ่มสั่นไหวอยู่นั้น ความรู้สึกไม่สบายใจที่จางหายไปเมื่อครู่กลับระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงและกระจายไปทั่วร่างของเขาอีกครั้ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อกระจายกลายเป็นกลุ่มหมอกขณะที่พยายามจะหนีออกไปจากผืนดินดารานิรันดร์
แต่ก็สายไปเสียแล้ว!
มีแสงสาดกล้าออกมาจากผืนดินดารานิรันดร์นั้น ราวกับว่าแสงจากดวงอาทิตย์เข้าปกคลุมทั้งแผ่นดินเอาไว้ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ตามมาด้วยคลื่นรบกวนการเคลื่อนย้ายที่แรงกล้า
คลื่นรบกวนนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง และผืนดินที่ทุกคนยืนอยู่ก็ถล่มลงมาจากรอบนอกก่อน มีตัวอักขระนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นปกคลุมสิ่งรอบข้างเอาไว้ ราวกับกำลังก่อตัวกันเป็นผนึก ทำให้หวังเป่าเล่อและคณะถูกปิดกั้นไม่ให้ออกไป
เมื่อมองเห็นภาพนั้น สีหน้าของชายหนุ่มก็เคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง
ข้าประมาทเกินไปจริงๆ หรือว่านี่คือสิ่งที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ปกปิดเอาไว้ เขาทรยศข้า ขายข้าให้อารยธรรมครามทองคำจริงๆ หรือ หวังเป่าเล่อถอนใจอยู่ในอก ชายหนุ่มรู้ดีว่าการประมาทของตนเป็นเหตุเดียวกันกับที่เขาต้องตกเป็นฝ่ายนั่งฟังเมื่อครั้งปะทะกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความโลภ เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนเกิดโลภขึ้นมา เขาจะหวั่นไหวไปกับเรื่องกำไรขาดทุน จนกระทั่งสูญเสียความมั่นคงในจิตใจไป
แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ที่ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะหักหลังเขานั้นยังต่ำมาก เพราะไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายต้องทำเช่นนั้น เขาสามารถร่วมมือกับปรมาจารย์เต๋าใหม่และไปจับมือกับบรรดาระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะกำราบหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดาย ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องลำบากมากมายเลย!
ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาครุ่นคิดหาคำตอบ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนวาบขึ้นมาในแววตาของเขา หวังเป่าเล่อเตรียมตัวแหวกออกไปด้วยกำลัง แต่ ขณะที่ตัวอักขระปรากฏขึ้นบังทางออกไว้นั้น ประกายแสงการเคลื่อนย้ายที่ห้อมล้อมผืนดินเอาไว้ก็สว่างถึงขีดสุด มีเสียงครืนดังลั่นขึ้นก่อนที่แสงนั้นจะไปรวมตัวกันอยู่…ที่คนสามคน!
คนหนึ่งคือเหออวิ๋นจื่อ อีกคนหนึ่งคือหวังเป่าเล่อ และคนสุดท้ายคือ…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!
แสงที่มารวมตัวกันเกิดเป็นแรงดึงอันแรงกล้าราวกับว่าจะกดทับหวังเป่าเล่อเอาไว้ มันทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นหมอกอีกครั้ง ส่งเสียงคำรามลั่นพลางพยายามจะหนี
ทว่า…สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เหมือนจะเตรียมการรับมือเรื่องนี้มาแล้ว ในกับดักที่พวกเขาเตรียมไว้นั้น มีทั้งการขัดขวางและการเคลื่อนย้ายพรักพร้อมราวกับว่าได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ดังนั้นทันทีที่แสงมารวมตัวกัน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะแปรสภาพกายสารัตถะให้เป็นหมอกและใช้พลังปราณทั้งหมดเพื่อพยายามหลบหนีก็ไม่เป็นผล ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้านขณะที่แสงสว่างทิ่มแทงดวงตา กายของเขาถูกเคลื่อนย้ายไปจนได้
เหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ถูกเคลื่อนย้ายไปเช่นกัน ส่วนคนที่เหลือยังอยู่ที่เดิม เมื่อแสงแห่งการเคลื่อนย้ายสลายไป ดารานิรันดร์ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนสภาพ แต่การสั่นไหวและเสียงดังสนั่นมาจากใต้ดินก็แสดงให้เห็นว่าผืนแผ่นดินนั้นได้สูญเสียพลังป้องกันทั้งหมดไป และกำลังจะถล่มเพราะความร้อนสูงจากดารานิรันดร์
พ่อบ้านและคนอื่นๆ ต่างตื่นตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันนี้ ก่อนจะพากันหนีตายอลหม่าน ด้านองค์ชายทั้งสองและสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้อง สีหน้าของพวกเขาแสดงอาการตื่นตะลึงและสับสน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาก่อน
หวังเป่าเล่อไม่สนใจผืนแผ่นดินดารานิรันดร์ที่กำลังถล่มและไม่มีเวลามาคิดเรื่องสมาชิกราชวงศ์หรือผู้ฝึกตนของทั้งสองสำนักอีกต่อไป เมื่อลำแสงแห่งการเคลื่อนย้ายถูกปลดปล่อยออกมา สายตาของชายหนุ่มก็พร่าเลือน ในอึดใจถัดมา เงาร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่ในความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง!
สถานที่ที่ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอีกครั้งอาจเรียกได้ว่าเป็นความว่างเปล่า เพราะไม่มีทั้งท้องฟ้าหรือผืนดิน มันเป็นโลกอันวุ่นวายที่มีคลื่นความร้อนสูงปรากฏอยู่ทั่วไป คลื่นความร้อนนั้นมีสีต่างๆ กัน แต่ทุกๆ สีล้วนมีความร้อนยิ่ง
เมื่อมองลงไปก็จะเห็นลูกไฟขนาดมหึมาอยู่ในความเวิ้งว้างเบื้องล่าง ทั้งคลื่นความร้อนและลูกไฟล้วนกระจายออกมาจากภายในนั้น
พวกเขาผ่านกฎเกณฑ์ของพื้นที่ขอบนอกดารานิรันดร์และเคลื่อนย้ายข้าเข้ามาอย่างนั้นหรือ วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เขารู้ได้ทันทีว่า…ตนไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมานอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อถูกเคลื่อนย้ายจากผืนแผ่นดินบนดารานิรันดร์เข้ามาอยู่ตรงขอบนอกดารานิรันดร์ แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกว่ายังอยู่ห่างจากพื้นผิวของดารานิรันดร์อยู่สักหน่อย แต่หากเทียบกับผืนแผ่นดินที่ยืนอยู่เมื่อครู่ เขาก็อยู่ใกล้พื้นผิวมากขึ้นจนน่ากลัว!
หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตนติดกับดักและไม่มีเวลาคิดมากนัก สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันทีที่มีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นล้อมหน้าล้อมหลังเขาเอาไว้ ทั้งสองคือเหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั่นเอง แม้ว่าระดับปราณขอเหออวิ๋นจื่อจะอ่อนแอที่สุด แต่ชายชราก็เตรียมตัวมาก่อนแล้ว มีเกราะแสงแพร่กระจายออกมาจากกายเขา เห็นได้ชัดว่าเกราะแสงนั้นเป็นเหตุผลที่ชายชราสามารถอดทนอยู่ในบริเวณนี้ได้
ด้านผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แม้ว่าระดับปราณจะร่วงลงไป แต่เขาก็ยังเคยอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ในวินาทีนี้ ชายชราไม่ได้ดูทุกข์ร้อนแต่อย่างใด กลับกัน ความเกลียดชังและจิตสังหารในแววตาของเขาฉายแสงกล้าขึ้น
ทันทีที่พวกเขามาถึง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พูดสักคำ แต่รีบเคลื่อนที่อย่างเด็ดเดี่ยว ร่างกายของชายหนุ่มขยับก่อนจะแยกออกเป็นสี่เงาที่พุ่งไปในทุกทิศทางพร้อมๆ กัน ร่างที่ไปข้างหน้าและข้างหลังพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและเหออวิ๋นจื่อ ส่วนร่างที่ไปซ้ายขวานั้นเร่งฝีเท้าเต็มที่พยายามจะหนี
เพียงแค่ว่า…ร่างอวตารทั้งสี่ที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นนั้นกลับชนเข้ากับผนึกหลังจากเคลื่อนที่ไปได้ไม่ถึงสามสิบเมตรจนต้องหยุดลง ร่างที่อยู่ทางซ้ายและขวา หน้าและหลัง ต่างก็ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกัน ร่างอวตารที่มุ่งไปหาเหออวิ๋นจื่ออยู่ห่างจากตัวชายชราไปแค่ไม่ถึงสิบเมตร แต่ไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง ขณะที่เหออวิ๋นจื่อ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าร่างอวตารของชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“หลงหนานจื่อ ไม่ว่าเจ้าจะเจ้าเล่ห์แสนกลเพียงใด เจ้าก็ตกหลุมพรางของข้าเสียแล้ว ครั้งนี้…ข้าเตรียมทุกอย่างมาก็เพื่อสังหารเจ้าเท่านั้น!” ขณะที่เหออวิ๋นจื่อหัวเราะอยู่นั้น ประกายความตื่นเต้นและละโมภก็สะท้อนอยู่ในแววตาของชายชรา
เขาไม่ได้โกหก กุญแจในการต่อสู้ครั้งนี้สำหรับทั้งราชวงศ์และสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คือ…หวังเป่าเล่อ!
แต่แผนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แต่อย่าใด และไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะร่วมมือกันได้ กลับกัน ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ ราชวงศ์ที่มีเหออวิ๋นจื่อเป็นแกนนำ ไม่อาจจะ…เปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายครั้งที่สองของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้ และเรื่องนี้นั้นแม้แต่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้!
แม้ว่าเหออวิ๋นจื่อจะพยายามสุดแรงและสังเวยสายโลหิตของสมาชิกตระกูลแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้งได้ ชายชรารู้สึกกลัวจับใจ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็เพลี้ยงพล้ำครั้งใหญ่ เหออวิ๋นจื่ออดไม่ได้ที่จะมองหาประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และบอกความจริงไป
หากจะจัดอันดับผู้ที่มีอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แล้ว ด้วยสถานะองค์ชายของเหออวิ๋นจื่อและการที่เขาได้สายเลือดราชวงศ์กว่าร้อยละเก้าสิบมาอยู่ในกายด้วยความช่วยเหลือจากกระบวนเวทของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายชราก็ถือว่าได้รับอำนาจควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์ระดับหนึ่ง
ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ได้รับอำนาจควบคุมระดับนี้มาก่อน อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ได้รับอำนาจควบคุมระดับสอง มีเพียงเหออวิ๋นจื่อซึ่งไม่สนใจผลที่จะตามมาและเลือกรับการช่วยเหลือจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ครอบครอง และเพราะหวังเป่าเล่อยังต่อสู้กับจักรพรรดิองค์แรกจึงไม่มีใครรู้สถานะของเขา ทำให้เหออวิ๋นจื่อ ผู้ที่มีอำนาจควบคุมระดับหนึ่ง สามารถเปิดการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของดารานิรันดร์ได้ครั้งหนึ่ง
ทว่า…พอหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากสุสานหลวง โอกาสอันมากมายที่ชายหนุ่มได้รับมาในนั้นทำให้ตามความรู้สึกแล้วหวังเป่าเล่อกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของดวงเนตรสวรรค์ และเพราะชายหนุ่มกลืนจักรพรรดิองค์แรกเข้าไป ทำให้เขามีอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ระดับหนึ่งเช่นกัน
สิ่งนี้ไปกระตุ้นให้กลไกการคัดเลือกรอบสุดท้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ทำงาน มันต้องการให้ผู้ที่มีอำนาจควบคุมระดับหนึ่งทั้งคู่ต่อสู้กัน ในตอนท้าย คนเดียวที่ยึดเอาอำนาจควบคุมของอีกฝ่ายมาได้จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์
และขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน พลังของอำนาจควบคุมที่มีก็จะถูกผนึกไว้ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะเหตุนี้เอง เหออวิ๋นจื่อจึงไม่อาจเปิดการเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์อีกครั้งหนึ่งได้ ดังนั้น หลังจากที่เขาบอกประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับการตัดสินใจของตน แผนการดักจับหวังเป่าเล่อก็ถือกำเนิดขึ้น!
หากหวังเป่าเล่อตาย เหออวิ๋นจื่อก็จะได้รับอำนาจควบคุมสุดท้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถเปิดประตูเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ให้กองทัพระลอกสองของอารยธรรมครามทองคำลงมาได้สำเร็จ
เพียงแต่ว่า…แผนนี้ค่อนข้างจะยากอยู่สักหน่อย เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก และคงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าชายหนุ่มมีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์อยู่ถึงร้อยละแปดสิบ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเสียหายหนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก แผนเดิมคือเคลื่อนกำลังเข้าไปบุกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อีกครั้ง โดยทำให้เหมือนว่าต้องการไปกำราบสำนัก แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสังหารหวังเป่าเล่อตอนที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เผลอ
แผนนี้มีช่องโหว่มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและมีโอกาสเดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่โลกภายนอกล่วงรู้ถึงความสำคัญของหวังเป่าเล่อ การที่พวกเขาจะบุกไปสังหารชายหนุ่มก็จะยากเสียยิ่งกว่ายาก
ในระหว่างที่พวกเขารีรอและวิเคราะห์สถานการณ์อยู่นั้น ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็เสนอขึ้นมาว่า ให้ปล่อยข่าวลวงให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คิดว่าพวกเขาคิดจะเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เพื่อพากองทัพระลอกสองเข้ามา หากทำเช่นนั้นอาจจะล่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์บุกก่อนได้ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะวางกับดักไว้ และจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาสามารถล่อหวังเป่าเล่อออกมาได้พร้อมกัน หาไม่แล้ว…ก็คงต้องทำตามแผนเดิมด้วยการบุกอีกฝ่าย เพื่อกรุยทางไปสังหารหวังเป่าเล่อด้วยกำลัง