หวังเป่าเล่อรู้ดีถึงพฤติกรรมต่อต้านไร้มารยาทของนายกเทศมนตรีทั้งสามราวกับเฝ้าติดตามทุกความเคลื่อนไหว หวังเป่าเล่อกำลังลูบขนลาของตนเองพร้อมหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกว่าเฉินมู่และพรรคพวกควรขอบคุณสหพันธรัฐที่หนุนหลังพวกเขาอยู่ มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยมุทะลุ เขาคงไปอัดพวกนั้นให้น่วมคามือเสียแล้ว
“ตอนนี้ข้าเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมแล้ว ในฐานะที่เป็นคนกว้างขวาง คงไปอัดใครไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน เจ้าว่าเช่นนั้นไหม ไสหัวไป” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอให้คอโล่ง ก่อนพูดอย่างใจเย็นและวางมาดสุขุมยิ่งใหญ่ ขณะจับตัวลาของตนเองไว้
เจ้าลารู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ มันแค่อยากพักเท่านั้นหลังจากออกไปเล่นข้างนอกมา จึงเดินผ่านห้องทำงานของหวังเป่าเล่อ แต่ก่อนที่มันจะทันเดินจากไป หวังเป่าเล่อก็สั่งให้มันเข้ามาหา เพื่อลูบตัวและเกาให้ แม้เจ้าลาจะไม่ชอบใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เมื่อมันได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เจ้าลาก็รีบยิ้มและทำตัวเชื่อฟัง พลางพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
ดูเหมือนมันกำลังพยายามจะสื่อว่า สิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามล้วนถูกต้อง…
วิธีการที่ผู้มีอำนาจใช้จัดการกับปลาซิวปลาสร้อยนั้นลุ่มลึกเสมอ ไม่ใช่เฉพาะการกระทำเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องส่งผลกระทบใหญ่หลวง! ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผลมากเท่านั้น ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความพึงพอใจ และรู้สึกว่าตนเองเข้าใจอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงถ่องแท้มากขึ้นไปอีก
แต่เมื่อเขานึกถึงความไร้มารยาทของเฉินมู่และพรรคพวก ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด เขาชำเลืองมองเจ้าลา พยายามบอกมันทางสายตา ว่าเจ้าลาสามารถกินอะไรก็ตามที่เขตของเฉินมู่และพรรคพวกได้เป็นครั้งคราว
แม้เจ้าลาจะฉลาด แต่ก็ยังคงเป็นลาไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นเมื่อมันมองตาของหวังเป่าเล่อ ก็ทำได้แค่งงเท่านั้น ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อแต่อย่างไร
ทำให้หวังเป่าเล่อต้องขมวดคิ้วและลุกขึ้นมาเตะลาของตน
ลูกเตะนั้นรวดเร็วและเสียงดังมาก ดูเหมือนว่าพลังปราณ ความแข็งแกร่ง และขาซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของหวังเป่าเล่อ จะทำให้ลูกเตะของเขารุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าผลจากลูกเตะของหวังเป่าเล่อจะทำให้เจ้าลาได้สติ มันเข้าใจความหมายของสายตาหวังเป่าเล่อในที่สุด และกรีดร้องออกมาพร้อมพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อเห็นว่าเจ้าลาเข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการสื่อเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็หยุดเตะลาของตนเอง เขาคิดว่าควรเตะต่อไปไหม แต่ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของที่มีจิตใจเมตตา จึงกระแอมกระไอและตัดสินใจหยุด ก่อนลูบตัวของมันต่อ
“ว่านอนสอนง่ายมาก ไสหัวไป ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยเล่า!”
เจ้าลาตื้นตันใจกับความอ่อนโยนของหวังเป่าเล่อที่แสดงออกมาในน้ำเสียงและท่าทาง มันรู้สึกว่าแม้เจ้าของของตนจะชอบรังแก แต่ก็ยังทำดีกับมันเป็นครั้งคราว ดังนั้นมันจะหันไปเลียมือหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อประหลาดใจกับท่าทีของเจ้าลามาก และตอนนั้นเองสัตว์เลี้ยงของเขาก็หันหลังเดินออกจากประตูไป
เกิดอะไรขึ้นกัน หวังเป่าเล่อตกใจ เขาไม่เคยคิดว่าเจ้าลาจะเลียเขา จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปที่หน้าต่าง ชายหนุ่มเห็นลาของตนกระโจนไปทางเขตของเฉินมูและพรรคพวก จึงกะพริบตาปริบๆ ด้วยความเข้าใจ
ทำได้ดีมาก มันแสดงความรักที่มีต่อเจ้าของนี่เอง แถมยังตั้งใจทำให้เจ้าของลดความกังวลลงโดยการช่วยแก้แค้นอีกด้วย เจ้าลาที่ซื่อสัตย์เอ๋ย! หวังเป่าเล่อฮึกเหิมและคิดว่าตนเองทำถูกแล้วที่ใช้วิธีเลี้ยงเจ้าลาด้วยลำแข้ง จนมันกลายเป็นสัตว์ที่มีวินัยเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเลิกคิดเรื่องของเฉินมู่และพรรคพวก และเริ่มฝึกปราณของตนเองต่อไป พลังปราณของเขาอยู่ขั้นปลายของรากฐานตั้งมั่นแล้ว วงแหวนปราณเป่าเล่อผู้ยิ่งใหญ่ทำให้เขาดูดพลังปราณมืดในสุสานมาให้ตนเองได้ทุกครั้งที่ฝึกปราณ ซึ่งทำให้เขาพัฒนาได้รวดเร็วขึ้นมาก
สิ่งนี้ทำให้ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อพัฒนาขึ้นทุกวัน นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมีความคาดหวังยิ่งใหญ่ในอนาคต เขารู้ว่าเมื่อโครงสร้างของวงแหวนปราณเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย พลังปราณของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้จะไม่มีทางลัดในการพัฒนาปราณขั้นรากฐานตั้งมั่นจากขั้นปลายไปเป็นขั้นสมบูรณ์ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมั่นใจว่า วงแหวนปราณของตนจะทำให้เขาฝึกปราณได้อย่างรวดเร็วเกินใคร
การก่อสร้างนครใหม่เดินหน้าได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเฉินมู่และอีกสองคนมาถึง แม้เขตของทั้งสามจะเป็นเขตปกครองตนเอง แต่พวกเขาก็เห็นว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับหลี่อี้ ดังนั้นคนทั้งสามจึงควบคุมการก่อสร้างนครรวมถึงวงแหวนปราณให้ตรงตามมาตรฐาน แม้เขตทั้งสามจะไม่ได้ขึ้นตรงต่อส่วนกลางของนคร แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางการฝึกขั้นปราณของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด
เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ เมื่อมองนครใหม่จากมุมสูง จะเห็นว่ามีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนกำลังสาละวนอยู่กับการก่อสร้าง ภาพของเมืองใหญ่ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเวลาเดินหน้าผ่านไป
แม้หวังเป่าเล่อจะจดจ่ออยู่กับการฝึกปราณ แต่เขาก็ไม่ได้ละทิ้งการหลอมวัตถุเวท วัตถุเวทของหวังเป่าเล่อทุกชิ้นถูกปรับปรุงเป็นวัตถุเวทระดับหก แม้แต่สมบัติเวทภายในกายของเขายังถูกปรับปรุงเป็นระดับห้า แม้หวังเป่าเล่อต้องใช้วัตถุดิบจำนวนมากในการปรับปรุงมันให้กลายมาเป็นระดับหก แต่เขาก็มั่นใจว่าภายในไม่กี่เดือน เขาจะทำมันได้สำเร็จ
หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ฝักดาบ สมบัติเวทภายในกายของตนที่บัดนี้อยู่ในระดับห้า และพบว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป ในฝักดาบไม่ได้มียุงอยู่เก้าตัวอีกต่อไปแล้ว แต่เพิ่มขึ้นเท่าหนึ่งเป็นสิบแปดตัว!
นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ยุงทั้งสิบแปดตัวบินออกมา ระยะควบคุมระหว่างยุงและหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งเมื่อลองทดสอบดู พลังการต่อสู้ของพวกมันยังทำให้เขาตกใจ ตอนนี้ยุงทั้งสิบแปดตัวดูเหมือนมีปราณขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ระดับกลาง
สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกมันเกิดใหม่ได้โดยไม่มีขีดจำกัด ตราบใดที่ฝักกระบี่ยังรองรับพลังการเกิดใหม่ได้ จึงเหมือนหวังเป่าเล่อมีกองทัพอสูรขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ติดตัวไปด้วยในทุกที่ที่เขาไป
แต่หวังเป่าเล่อก็ใส่ใจยุงชนิดพิเศษสามตัวในฝักกระบี่ของเขาที่สุด แม้ยุงสีเทาจะรวมร่างกับเจ้าลาแล้ว แต่ยุงสีเทาตัวที่สองก็เกิดขึ้นมาใหม่ทันที หวังเป่าเล่อเดาว่ายุงสีเทาตัวที่สองนี้จะทำให้เขาควบคุมอสูรตัวที่สองได้
ส่วนยุงสีม่วงและยุงสีดำนั้น พวกมันเป็นยุงที่หวังเป่าเล่อต้องการมากที่สุด เขารู้ว่ายุงทั้งสองตัวนี้มีพลังมาก แต่ก็ยังควบคุมพวกมันไม่ได้อยู่ดี แม้จะปรับปรุงฝักกระบี่ สมบัติเวทภายในกายให้เป็นระดับห้าแล้วก็ตาม
ชายหนุ่มรู้สึกหัวเสียกับเรื่องนี้เล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าหากพัฒนาฝักกระบี่ของตนเองต่อไป เขาก็จะควบคุมยุงสองตัวนี้ได้ในที่สุด!
เมื่อพัฒนาฝีมือมาถึงขั้นนี้ หวังเป่าเล่าก็ไม่ได้มุ่งมั่นแค่เพื่อพัฒนาสมบัติเวทภายในกายของตนเองอีกต่อไป เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของชายหนุ่มคือสิ่งที่เพียงแค่นึกถึงเขาก็ตื่นเต้นแล้ว!
หวังเป่าเล่อยังจำได้ดีถึงตอนที่ตนสอบเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และได้รับการตอบรับเข้าสาขาวัตถุเวทได้ วันนั้นเป็นวันที่เขาเห็นคติพจน์ที่สลักอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ในสาขาอาวุธเวท!
‘อาวุธเวทจักทำลายล้างเต๋าอันลึกล้ำ หากไร้ซึ่งการควบคุมด้วยวัตถุเวทและสมบัติเวท!’
ระดับแรกและระดับสองคือวัตถุเวท ตั้งแต่ระดับหกลงมาคือสมบัติเวท ส่วนระดับเจ็ดนั้นคือ… อาวุธเวท!
ตอนนี้ข้ามาถึงจุดที่สามารถลองหลอมอาวุธเวทได้แล้ว! หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก ดวงตาเป็นประกาย ความคิดที่จะได้ศึกษาอาวุธเวทและเริ่มหลอมมันทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นจนสะกดเอาไว้ไม่อยู่ แต่เขาก็เข้าใจดีว่าการหลอมอาวุธเวทนั้นต้องใช้ทรัพยากรมากมายเพียงใด
ตอนนี้นอกจากการพยายามศึกษาวิธีการหลอมแล้ว อีกเรื่องหนึ่งก็คือ อาวุธเวทชิ้นแรกที่เขาจะหลอมต้องไม่ซับซ้อนเกินไป ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจได้
อาวุธเวทชิ้นแรกที่ข้าจะหลอมก็คือ… โทรโข่ง! หวังเป่าเล่อกระตือรือร้นจนแทบรอไม่ได้เมื่อคิดได้ เขาชอบโทรโข่งเป็นพิเศษ เนื่องจากโทรโข่งเป็นเพื่อนร่วมทางของเขามาเกือบตลอด ทุกครั้งที่เขาใช้โทรโข่ง ผลที่ตามมามักตื่นตาตื่นใจเสมอ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสมบัติที่ยากหาใครเหมือนชิ้นนี้จะทรงพลังเป็นอันมาก หากเขาเปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาวุธเวทชิ้นแรก มันคงทรงพลังมากเสียจนทำให้บรรยากาศรอบกายแปรผัน
หวังเป่าเล่อคิดภาพตนเองถือโทรโข่งอาวุธเวทและตะโกนเข้าไป เสียงที่ปล่อยออกมาคงมีผลต่อคู่ต่อสู้มากจนต้านกลับไม่ไหว ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกว่าอาวุธเวทชิ้นแรกที่ตนจะหลอมต้องเป็นโทรโข่งเท่านั้น
ในฐานะเจ้าเมืองขุนนางระดับสามชั้นสูง หวังเป่าเล่อที่พรั่งพร้อมด้วยทรัพยากรมากมายจึงเริ่มศึกษาวิธีการหลอมโทรโข่งอาวุธเวท
เขาเป็นผู้หลอมอาวุธเวทที่โดดเด่นอยู่แล้วในตำหนักอาวุธเวท เขามีพื้นฐานความรู้ด้านการหลอมสิ่งต่างๆ ที่แข็งแรง การหลอมสมบัติเวทระดับหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หวังเป่ามีความรู้เฉพาะทางของตนเอง เขาเข้าใจการจัดเรียงอักขราจารึกอย่างลึกซึ้งจนมันประสบผลสำเร็จเสมอ ด้วยเหตุนี้แม้ความคืบหน้าในการศึกษาอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อจะช้า แต่เขาก็ไปถูกทาง และเดินหน้าสั่งสมความรู้ไปเรื่อยๆ อย่างมั่นคง
นอกจากนี้ เขายังมีกระบี่อาวุธเวทของตนเป็นต้นแบบ เขารู้ดีว่าขุนนางระดับสามชั้นสูงที่หลอมอาวุธเวทได้นั้น แม้จะยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน แต่ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งน่ายกย่องมาก
อาจกล่าวได้ว่าหากหวังเป่าเล่อหลอมอาวุธเวทของตนเองได้สำเร็จ ฐานะและหน้าตาของเขาจะสูงขึ้นอีก ต่อให้สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าจะไม่ให้การสนับสนุนเขาก็ตาม!
นั่นเพราะผู้ที่หลอมอาวุธเวทได้ จะได้รับการขนานนามในสหพันธรัฐว่า… ปรมาจารย์!