หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 897 เซี่ยต้าลู่จากตระกูลเซี่ย!

“ไอ้เด็กบัดซบนั่นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาพยายามจะเปิดแหวนคลังเก็บของข้าอีกรอบภายในระยะเวลาเพียงเท่านั้น สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ เราเร่งความเร็วอีกได้หรือไม่”

“ไม่มีปัญหา!” ตันโจวจื่อหัวเราะ สีหน้าของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นเต้น ชายวัยกลางคนขับด้วงสีทองด้วยกำลังทั้งหมดและเร่งความเร็วของมันขึ้นหลายเท่าตัวพลางมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ชานหลิงจื่อสัมผัสถึงแหวนได้เป็นครั้งที่สอง!

เหตุที่ชานหลิงจื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของแหวนคลังเก็บในครั้งที่สองไม่ใช่ความผิดของหวังเป่าเล่อ…ชายหนุ่มเริ่มอยากโยนแหวนคลังเก็บทิ้งไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้และย่อมไม่คิดยกมันขึ้นมาดูอีกเป็นครั้งที่สอง

ตามแผนการแรกเริ่มของเขา หวังเป่าเล่อตั้งใจจะไม่ดูแหวนวงนี้อีกจนกระทั่งตัวเขาบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแทบร้องไห้คือแหวนนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง!

เสียงหัวเราะแปลกแปร่งของกระดาษรูปมนุษย์ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในใจ วิญญาณของชายหนุ่มยังสั่นไหว พลังปราณเองก็ยังไม่มั่นคง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเคยรู้สึกมาก่อน แต่เมื่อชายหนุ่มต้องมาสัมผัสมันอีกครั้ง เขาก็แทบจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ

สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่มีเวลาส่งเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ชายหนุ่มมองเห็นอยู่ในอวกาศลิบๆ ว่า…เรือวิญญาณลำเดิมกำลังใกล้เข้ามา ขณะที่กระดาษรูปมนุษย์แจวเรือไป เรือนั้นก็ผลุบๆ โผล่ๆ พลางเขยื้อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

เหมือนก่อนหน้านี้ เรือวิญญาณลำเดิมที่แผ่รัศมีเก่าแก่ออกมา มาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ กระดาษรูปมนุษย์หยุดพาย ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นส่งสัญญาณเรียกหวังเป่าเล่อให้เข้าไป

คนราวสามสิบคนบนเรือลืมตาขึ้น นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลงเมื่อมองมาเห็นหวังเป่าเล่อ ความตื่นตกใจในสีหน้าของทุกคนเด่นชัดกว่าเคย

อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อมองเห็นว่ามีคนเพิ่มมาคนหนึ่งในหมู่วัยรุ่นหนุ่มสาวนั้นด้วย

คนที่เพิ่มมาเป็นเด็กหนุ่มร่างผ่ายผอม หากมองดูจากรูปลักษณ์คงมีอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ณ วินาทีนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงอากัปกิริยาของผู้คนรอบข้างได้ชัดเจน เขาจึงเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อด้วยความสงสัย

หวังเป่าเล่อถอนใจก่อนจะยกมือโบกทักทายทุกคนบนเรือ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการได้เจอทุกคนเป็นครั้งที่สองคงต้องเป็นโชคชะตาเป็นแน่

“ข้าหวังว่าทุกคนคงจะสบายดี ฮ่าๆ…” ขณะที่พูดไปนั้น หวังเป่าเล่อก็เหลือบไปเห็นว่าสีหน้าตื่นเต้นของวัยรุ่นเหล่านั้นเจือไว้ด้วยความร้อนรนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ

เขาคิดว่า พวกเจ้าจะร้อนรนอะไรกัน ข้านี่ต่างหากต้องเป็นคนที่ร้อนใจ! ข้าไม่อยากจะขึ้นเรือ แต่เรือก็โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทักทายทุกคนต่อ ชายหนุ่มหันไปมองกระดาษรูปมนุษย์ตรงหัวเรือที่ยังโบกมือไหวๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

หลังจากที่คิดอยู่ระยะหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือประสานคารวะก่อนจะก้มคำนับต่ำ

“ศิษย์พี่ ข้ายังมีธุระต้องไปสะสาง อ่า…ข้าจะไม่รบกวนระหว่างที่ท่านไปรับคนอื่นๆ แล้ว” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วก่อนจะหายตัวไป

ครั้งนี้หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าคำพูดของเขาต้องมีผลแน่นอน เพราะเมื่อชายหนุ่มมาปรากฏตัวที่บริเวณอื่น เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามเขาในครั้งแรก ก็ไม่ได้มาปรากฏต่อหน้าเขาอีก

เมื่อรวมเรื่องนี้เข้ากับสิ่งที่เขาเห็นในครั้งแรกที่เรือปรากฏขึ้นมา คำตอบนั้นก็ชัดเจนยิ่ง

แต่คำตอบนั้นก็ทำให้หวังเป่าเล่อถอนใจอีกครั้ง เพราะมันช่วยยืนยันอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ…กระดาษรูปมนุษย์บนเรือสำปั้นต้องมีปัญญาวิญญาณเป็นแน่ มันจึงเข้าใจคำพูดของเขาได้

การที่กระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้นมีปัญญาวิญญาณ ก็แปลว่าตัวที่อยู่ในแหวนคลังเก็บของข้าก็มีเช่นกัน หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ขณะนี้ชายหนุ่มวิเคราะห์ได้ว่าการปรากฏขึ้นของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาแน่ เพราะเรือจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้นหัวเราะออกมา

สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เขาอาจคิดว่ามันเป็นเสียงหัวเราะ แต่ความจริงมันอาจเป็นวิธีที่บรรดากระดาษรูปมนุษย์ใช้สื่อสารระหว่างกันก็เป็นได้

ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ในตอนนี้แล้ว แต่เรือลำนั้น…ข้าจะไม่ขึ้นไปเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร! หวังเป่าเล่อตัดสินใจหนักแน่นอยู่คนเดียว ชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับที่สุด เขาพลิกตัวกลับมาเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า เพื่อเดินหน้าต่อไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

แต่ในใจของหวังเป่าเล่อนั้นเตรียมพร้อมไว้แล้ว หากกระดาษรูปมนุษย์จะหัวเราะขึ้นมาแล้วพาให้เรือวิญญาณกลับมาปรากฏตัวใหม่อีกครั้ง

ข้าจะคิดเสียว่าก็แค่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนของข้าคุยกับกระดาษรูปมนุษย์อีกตนที่อยู่บนเรือวิญญาณก็แล้วกัน…อย่างไรเสียข้าก็คงห้ามพวกมันคุยกันไม่ได้ หวังเป่าเล่อปลอบใจตนเอง ภายในสิบวันจากนั้น ทุกๆ สองหรือสามวัน…เสียงหัวเราะจากกระดาษรูปมนุษย์จะดังขึ้นในศีรษะ แล้วเรือวิญญาณก็จะลงมาอีก กระดาษรูปมนุษย์โบกมือเรียกอีกครั้ง และหวังเป่าเล่อก็ปฏิเสธไปอีกหน

เมื่อเรือวิญญาณมาปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่หก…แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะชินแล้วและมีสีหน้าท่าทางสงบอย่างยิ่ง แต่วัยรุ่นสามสิบคนบนเรือสำปั้นลำนั้นกลับเริ่มรู้สึกไม่ดี

พวกเขาเห็นเพียงคนคนเดิมที่ปฏิเสธจะขึ้นเรืออยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกกังวลว่ามันจะกระทบกับการเดินทางของพวกเขาหรือไม่ ดังนั้นหลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อเป็นครั้งที่หก ความร้อนรนของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นโทสะ บางคนถึงกับตะโกนออกมา

“เจ้าจะขึ้นเรือหรือไม่!”

“หากไม่ขึ้นมา ก็ไสหัวไปเสีย!”

เมื่อได้ยินผู้โดยสารบนเรือพูดเช่นนั้น แม้จะรู้ว่าพวกเขามีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ หวังเป่าเล่อก็อดโมโหไม่ได้ ชายหนุ่มคิดในใจว่า ข้าไม่ขึ้น มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะยอมขึ้นเรือสำปั้นไป เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงจ้องมองไปยังคนที่พูดอยู่บนเรือ

“ทำไมเล่า เจ้าจะลงมาจัดการกับข้าหรือ มา ลงมาสิ มาสู้ให้รู้ว่าใครกันแน่คือท่านบิดา!”

“เจ้า!” ผู้โดยสารคนนั้นผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธ ทุกคนต่างก็พากันหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเยือกเย็น แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเพิ่งค้นพบว่าตนเองไม่อาจลงจากเรือสำปั้นได้!

“หากเจ้ายอดเยี่ยมนัก เหตุใดจึงไม่ลงมาเล่า ข้าถามพวกเจ้าทุกคนเลย หากพวกเจ้าไม่ลงมาจากเรือ พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูกหลานของข้า มานี่มา ท่านโคตรบิดารออยู่ตรงนี้แล้ว!” ชายหนุ่มกลอกตา หวังเป่าเล่อมองเห็นว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล คำพูดของเขาจึงโอหังขึ้นทุกขณะ

แม้จะเจอการยั่วยุอย่างโอหังเช่นนี้ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตรงหัวเรือกลับนิ่งเฉย มันยังคงโบกมือต่อไป และผู้โดยสารที่กำลังจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างโกรธเกรี้ยวก็เริ่มใจเย็นลง ในหมู่พวกเขา มีวัยรุ่นหน้าตาคล้ายม้าคนหนึ่งหรี่ตาลงก่อนโพล่งขึ้นมาว่า

“เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้าบอกชื่อของเจ้าหรือไม่!”

“ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย เจ้าหนูหน้าม้า ไหนบอกชื่อเจ้าให้โคตรบิดารู้หน่อยซิ!” หวังเป่าเล่อตอบกลับ ตอนแรกชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดและสงสัยเพราะใครหลายต่อหลายคนบนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนั้น แต่ขณะนี้ แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังทุ่มเถียงกับวัยรุ่นหน้าม้า แต่ในความเป็นจริง หวังเป่าเล่อใจเย็นอย่างยิ่ง เขาต้องการจะใช้การปะทะคารมนี้เพื่อหาข้อมูลว่าคนเหล่านี้มาจากที่ใด จะได้รู้อย่างอ้อมๆ ว่าเรือวิญญาณลำนี้มาจากแห่งหนไหนกันแน่

คำว่าเจ้าหนูหน้าม้าทำเอาจิตสังหารสะท้อนวาบอยู่ในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มขณะที่เขาพูดออกมาอย่างใจเย็น

“สำนักเมฆาเยือกแข็ง หลี่หลินจื่อ!”

“ทะเลเขียวเต๋า หวังอี้ชาน!”

“ดินแดนเจ๋อทางตอนเหนือ ตู้เฟย!”

“ตระกูลเต้อเค่อ เย่ลั่ว!”

ไม่ได้มีแค่หลี่หลินจื่อเท่านั้นที่ตอบหวังเป่าเล่อ คนอื่นๆ ที่ร่วมทุ่มเถียงด้วยต่างก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าพวกเขาจะบอกภูมิหลังกับหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้จักใครคนใดเลย แต่จากสีหน้าท่าทางของคนอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าสำนักและตระกูลเหล่านี้คงทรงอำนาจอยู่ไม่ใช่น้อย

ผู้ถูกเลือกจากแต่ละตระกูลหรือ ความคิดนี้จู่ๆ ก็ผุดขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลังปราณของคนเหล่านี้มีข้อหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะสัมผัสมันได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ขณะนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างน่าตกใจ…พวกเขาทุกคนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น!

“ตาเจ้าแล้ว!” หลี่หลินจื่อผู้มีใบหน้าเหมือนม้าตะโกนออกมาโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อได้ครุ่นคิดต่อ

หวังเป่าเล่อจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งพลางคิดว่า ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกนะ เจ้าแค่ทำยโสเพราะภูมิหลัง ซึ่งข้าเองก็มีเช่นกัน

“ตระกูลเซี่ย เซี่ยต้าลู่!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็นและคิดว่า ข้าเองก็ข่มเป็นเหมือนกัน ข้าเป็นพี่ชายของเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับเย่อหยิ่ง และหลังจากที่เขาพูดจบ ผู้คนบนเรือสำปั้น โดยเฉพาะพวกที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลง แต่ก็มีความฉงนสงสัยปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเช่นกัน หวังเป่าเล่อเห็นได้ว่า พวกเขาพากันสงสัยตัวตนของเขา

ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากพวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจ แปลว่าต้องมีบางสิ่งผิดปรกติแน่นอน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาจเป็นเพราะความระมัดระวัง หลังจากที่หวังเป่าเล่อประกาศว่าตนคือเซี่ยต้าลู่ ทุกๆ คนบนเรือสำปั้นก็ต่างนิ่งงันไป

หวังเป่าเล่อยังมองเห็นความมหัศจรรย์ของเรือสำปั้น แต่ยิ่งชายหนุ่มรู้สึกเช่นนั้นมากเพียงใด เขาก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้นตามกัน ดังนั้นหลังจากที่หวังเป่าเล่อยกมือประสานคารวะไปทางมนุษย์กระดาษบนเรืออีกครั้งเขาก็เตรียมจะออกตัวไปตามปกติ

ทว่า…กลับมีบางอย่างที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset