“ไอ้เด็กบัดซบนั่นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาพยายามจะเปิดแหวนคลังเก็บของข้าอีกรอบภายในระยะเวลาเพียงเท่านั้น สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ เราเร่งความเร็วอีกได้หรือไม่”
“ไม่มีปัญหา!” ตันโจวจื่อหัวเราะ สีหน้าของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นเต้น ชายวัยกลางคนขับด้วงสีทองด้วยกำลังทั้งหมดและเร่งความเร็วของมันขึ้นหลายเท่าตัวพลางมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ชานหลิงจื่อสัมผัสถึงแหวนได้เป็นครั้งที่สอง!
เหตุที่ชานหลิงจื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของแหวนคลังเก็บในครั้งที่สองไม่ใช่ความผิดของหวังเป่าเล่อ…ชายหนุ่มเริ่มอยากโยนแหวนคลังเก็บทิ้งไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้และย่อมไม่คิดยกมันขึ้นมาดูอีกเป็นครั้งที่สอง
ตามแผนการแรกเริ่มของเขา หวังเป่าเล่อตั้งใจจะไม่ดูแหวนวงนี้อีกจนกระทั่งตัวเขาบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแทบร้องไห้คือแหวนนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง!
เสียงหัวเราะแปลกแปร่งของกระดาษรูปมนุษย์ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในใจ วิญญาณของชายหนุ่มยังสั่นไหว พลังปราณเองก็ยังไม่มั่นคง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเคยรู้สึกมาก่อน แต่เมื่อชายหนุ่มต้องมาสัมผัสมันอีกครั้ง เขาก็แทบจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่มีเวลาส่งเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ชายหนุ่มมองเห็นอยู่ในอวกาศลิบๆ ว่า…เรือวิญญาณลำเดิมกำลังใกล้เข้ามา ขณะที่กระดาษรูปมนุษย์แจวเรือไป เรือนั้นก็ผลุบๆ โผล่ๆ พลางเขยื้อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
เหมือนก่อนหน้านี้ เรือวิญญาณลำเดิมที่แผ่รัศมีเก่าแก่ออกมา มาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ กระดาษรูปมนุษย์หยุดพาย ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นส่งสัญญาณเรียกหวังเป่าเล่อให้เข้าไป
คนราวสามสิบคนบนเรือลืมตาขึ้น นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลงเมื่อมองมาเห็นหวังเป่าเล่อ ความตื่นตกใจในสีหน้าของทุกคนเด่นชัดกว่าเคย
อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อมองเห็นว่ามีคนเพิ่มมาคนหนึ่งในหมู่วัยรุ่นหนุ่มสาวนั้นด้วย
คนที่เพิ่มมาเป็นเด็กหนุ่มร่างผ่ายผอม หากมองดูจากรูปลักษณ์คงมีอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ณ วินาทีนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงอากัปกิริยาของผู้คนรอบข้างได้ชัดเจน เขาจึงเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อด้วยความสงสัย
หวังเป่าเล่อถอนใจก่อนจะยกมือโบกทักทายทุกคนบนเรือ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการได้เจอทุกคนเป็นครั้งที่สองคงต้องเป็นโชคชะตาเป็นแน่
“ข้าหวังว่าทุกคนคงจะสบายดี ฮ่าๆ…” ขณะที่พูดไปนั้น หวังเป่าเล่อก็เหลือบไปเห็นว่าสีหน้าตื่นเต้นของวัยรุ่นเหล่านั้นเจือไว้ด้วยความร้อนรนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ
เขาคิดว่า พวกเจ้าจะร้อนรนอะไรกัน ข้านี่ต่างหากต้องเป็นคนที่ร้อนใจ! ข้าไม่อยากจะขึ้นเรือ แต่เรือก็โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทักทายทุกคนต่อ ชายหนุ่มหันไปมองกระดาษรูปมนุษย์ตรงหัวเรือที่ยังโบกมือไหวๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หลังจากที่คิดอยู่ระยะหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือประสานคารวะก่อนจะก้มคำนับต่ำ
“ศิษย์พี่ ข้ายังมีธุระต้องไปสะสาง อ่า…ข้าจะไม่รบกวนระหว่างที่ท่านไปรับคนอื่นๆ แล้ว” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วก่อนจะหายตัวไป
ครั้งนี้หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าคำพูดของเขาต้องมีผลแน่นอน เพราะเมื่อชายหนุ่มมาปรากฏตัวที่บริเวณอื่น เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามเขาในครั้งแรก ก็ไม่ได้มาปรากฏต่อหน้าเขาอีก
เมื่อรวมเรื่องนี้เข้ากับสิ่งที่เขาเห็นในครั้งแรกที่เรือปรากฏขึ้นมา คำตอบนั้นก็ชัดเจนยิ่ง
แต่คำตอบนั้นก็ทำให้หวังเป่าเล่อถอนใจอีกครั้ง เพราะมันช่วยยืนยันอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ…กระดาษรูปมนุษย์บนเรือสำปั้นต้องมีปัญญาวิญญาณเป็นแน่ มันจึงเข้าใจคำพูดของเขาได้
การที่กระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้นมีปัญญาวิญญาณ ก็แปลว่าตัวที่อยู่ในแหวนคลังเก็บของข้าก็มีเช่นกัน หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ขณะนี้ชายหนุ่มวิเคราะห์ได้ว่าการปรากฏขึ้นของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาแน่ เพราะเรือจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้นหัวเราะออกมา
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เขาอาจคิดว่ามันเป็นเสียงหัวเราะ แต่ความจริงมันอาจเป็นวิธีที่บรรดากระดาษรูปมนุษย์ใช้สื่อสารระหว่างกันก็เป็นได้
ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ในตอนนี้แล้ว แต่เรือลำนั้น…ข้าจะไม่ขึ้นไปเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร! หวังเป่าเล่อตัดสินใจหนักแน่นอยู่คนเดียว ชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับที่สุด เขาพลิกตัวกลับมาเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า เพื่อเดินหน้าต่อไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์
แต่ในใจของหวังเป่าเล่อนั้นเตรียมพร้อมไว้แล้ว หากกระดาษรูปมนุษย์จะหัวเราะขึ้นมาแล้วพาให้เรือวิญญาณกลับมาปรากฏตัวใหม่อีกครั้ง
ข้าจะคิดเสียว่าก็แค่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนของข้าคุยกับกระดาษรูปมนุษย์อีกตนที่อยู่บนเรือวิญญาณก็แล้วกัน…อย่างไรเสียข้าก็คงห้ามพวกมันคุยกันไม่ได้ หวังเป่าเล่อปลอบใจตนเอง ภายในสิบวันจากนั้น ทุกๆ สองหรือสามวัน…เสียงหัวเราะจากกระดาษรูปมนุษย์จะดังขึ้นในศีรษะ แล้วเรือวิญญาณก็จะลงมาอีก กระดาษรูปมนุษย์โบกมือเรียกอีกครั้ง และหวังเป่าเล่อก็ปฏิเสธไปอีกหน
เมื่อเรือวิญญาณมาปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่หก…แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะชินแล้วและมีสีหน้าท่าทางสงบอย่างยิ่ง แต่วัยรุ่นสามสิบคนบนเรือสำปั้นลำนั้นกลับเริ่มรู้สึกไม่ดี
พวกเขาเห็นเพียงคนคนเดิมที่ปฏิเสธจะขึ้นเรืออยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกกังวลว่ามันจะกระทบกับการเดินทางของพวกเขาหรือไม่ ดังนั้นหลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อเป็นครั้งที่หก ความร้อนรนของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นโทสะ บางคนถึงกับตะโกนออกมา
“เจ้าจะขึ้นเรือหรือไม่!”
“หากไม่ขึ้นมา ก็ไสหัวไปเสีย!”
เมื่อได้ยินผู้โดยสารบนเรือพูดเช่นนั้น แม้จะรู้ว่าพวกเขามีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ หวังเป่าเล่อก็อดโมโหไม่ได้ ชายหนุ่มคิดในใจว่า ข้าไม่ขึ้น มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะยอมขึ้นเรือสำปั้นไป เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงจ้องมองไปยังคนที่พูดอยู่บนเรือ
“ทำไมเล่า เจ้าจะลงมาจัดการกับข้าหรือ มา ลงมาสิ มาสู้ให้รู้ว่าใครกันแน่คือท่านบิดา!”
“เจ้า!” ผู้โดยสารคนนั้นผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธ ทุกคนต่างก็พากันหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเยือกเย็น แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเพิ่งค้นพบว่าตนเองไม่อาจลงจากเรือสำปั้นได้!
“หากเจ้ายอดเยี่ยมนัก เหตุใดจึงไม่ลงมาเล่า ข้าถามพวกเจ้าทุกคนเลย หากพวกเจ้าไม่ลงมาจากเรือ พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูกหลานของข้า มานี่มา ท่านโคตรบิดารออยู่ตรงนี้แล้ว!” ชายหนุ่มกลอกตา หวังเป่าเล่อมองเห็นว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล คำพูดของเขาจึงโอหังขึ้นทุกขณะ
แม้จะเจอการยั่วยุอย่างโอหังเช่นนี้ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตรงหัวเรือกลับนิ่งเฉย มันยังคงโบกมือต่อไป และผู้โดยสารที่กำลังจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างโกรธเกรี้ยวก็เริ่มใจเย็นลง ในหมู่พวกเขา มีวัยรุ่นหน้าตาคล้ายม้าคนหนึ่งหรี่ตาลงก่อนโพล่งขึ้นมาว่า
“เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้าบอกชื่อของเจ้าหรือไม่!”
“ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย เจ้าหนูหน้าม้า ไหนบอกชื่อเจ้าให้โคตรบิดารู้หน่อยซิ!” หวังเป่าเล่อตอบกลับ ตอนแรกชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดและสงสัยเพราะใครหลายต่อหลายคนบนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนั้น แต่ขณะนี้ แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังทุ่มเถียงกับวัยรุ่นหน้าม้า แต่ในความเป็นจริง หวังเป่าเล่อใจเย็นอย่างยิ่ง เขาต้องการจะใช้การปะทะคารมนี้เพื่อหาข้อมูลว่าคนเหล่านี้มาจากที่ใด จะได้รู้อย่างอ้อมๆ ว่าเรือวิญญาณลำนี้มาจากแห่งหนไหนกันแน่
คำว่าเจ้าหนูหน้าม้าทำเอาจิตสังหารสะท้อนวาบอยู่ในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มขณะที่เขาพูดออกมาอย่างใจเย็น
“สำนักเมฆาเยือกแข็ง หลี่หลินจื่อ!”
“ทะเลเขียวเต๋า หวังอี้ชาน!”
“ดินแดนเจ๋อทางตอนเหนือ ตู้เฟย!”
“ตระกูลเต้อเค่อ เย่ลั่ว!”
ไม่ได้มีแค่หลี่หลินจื่อเท่านั้นที่ตอบหวังเป่าเล่อ คนอื่นๆ ที่ร่วมทุ่มเถียงด้วยต่างก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าพวกเขาจะบอกภูมิหลังกับหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้จักใครคนใดเลย แต่จากสีหน้าท่าทางของคนอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าสำนักและตระกูลเหล่านี้คงทรงอำนาจอยู่ไม่ใช่น้อย
ผู้ถูกเลือกจากแต่ละตระกูลหรือ ความคิดนี้จู่ๆ ก็ผุดขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลังปราณของคนเหล่านี้มีข้อหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะสัมผัสมันได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ขณะนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างน่าตกใจ…พวกเขาทุกคนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น!
“ตาเจ้าแล้ว!” หลี่หลินจื่อผู้มีใบหน้าเหมือนม้าตะโกนออกมาโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อได้ครุ่นคิดต่อ
หวังเป่าเล่อจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งพลางคิดว่า ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกนะ เจ้าแค่ทำยโสเพราะภูมิหลัง ซึ่งข้าเองก็มีเช่นกัน
“ตระกูลเซี่ย เซี่ยต้าลู่!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็นและคิดว่า ข้าเองก็ข่มเป็นเหมือนกัน ข้าเป็นพี่ชายของเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับเย่อหยิ่ง และหลังจากที่เขาพูดจบ ผู้คนบนเรือสำปั้น โดยเฉพาะพวกที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลง แต่ก็มีความฉงนสงสัยปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเช่นกัน หวังเป่าเล่อเห็นได้ว่า พวกเขาพากันสงสัยตัวตนของเขา
ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากพวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจ แปลว่าต้องมีบางสิ่งผิดปรกติแน่นอน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาจเป็นเพราะความระมัดระวัง หลังจากที่หวังเป่าเล่อประกาศว่าตนคือเซี่ยต้าลู่ ทุกๆ คนบนเรือสำปั้นก็ต่างนิ่งงันไป
หวังเป่าเล่อยังมองเห็นความมหัศจรรย์ของเรือสำปั้น แต่ยิ่งชายหนุ่มรู้สึกเช่นนั้นมากเพียงใด เขาก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้นตามกัน ดังนั้นหลังจากที่หวังเป่าเล่อยกมือประสานคารวะไปทางมนุษย์กระดาษบนเรืออีกครั้งเขาก็เตรียมจะออกตัวไปตามปกติ
ทว่า…กลับมีบางอย่างที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!