หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 899 ศิษย์พี่ ข้ายังพายไหว!

พลังนั้นเหมือนว่าจะอยู่เคียงคู่กับจักรวาลมาเนิ่นนาน เพียงแต่ว่าไม่มีใครคนอื่นควบคุมมันได้ ใบพายกระดาษเปรียบเสมือนสื่อกลางที่สามารถดึงเอาพลังนั้นมาได้ หลังจากที่ดึงมารวมกัน พลังนั้นก็เดินทางผ่านใบพายกระดาษเข้ามาอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ

พลังอันอ่อนโยนนั้นเอ่อท้นเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่มอย่างไม่รอช้าและกลายเป็นเหมือนกระแสน้ำอบอุ่นที่เวียนวนอยู่ในกายเขา ขณะที่พลังนั้นส่งให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน มันก็ยังส่งเสียงลั่นดังออกมาจากกายเป็นระยะ ลมหายใจของชายหนุ่มรัวเร็วขณะที่คลื่นของความอุ่นสบายอันบรรยายไม่ถูกไหลเข้าท่วมวิญญาณ

เหมือนกับว่าหวังเป่าเล่อกลืนโอสถบำรุงเข้าไป ขณะที่ความสบายแพร่ออกไป ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของตน…ที่เริ่มจะ…เพิ่มขึ้นมาหลังจากหยุดนิ่งมานาน!

ความรู้สึกนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง!

เพราะโอกาสที่ชายหนุ่มได้รับมาจากสุสานหลวง ทำให้รากฐานจิตวิญญาณอมตะของเขามั่นคงราวกับหินผา ยิ่งไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปมากมายนัก แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ก็หมายความว่าความยากลำบากในการจะเพิ่มพลังปราณของหวังเป่าเล่อจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็จะยากกว่าคนทั่วไปนับสิบหรือร้อยเท่า!

แต่ขณะนี้ พลังวิญญาณของชายหนุ่มกลับกระเตื้องขึ้นมาหลังจากจ้วงใบพายกระดาษเพียงครั้งเดียว การค้นพบนี้ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย แม้ว่าตอนแรกชายหนุ่มจะตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกถัดมาคือความดีใจอันล้นพ้น

ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการแจวเรือจะมีคุณประโยชน์น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นมาทันที ประกายตาเจิดจ้าสะท้อนวาบอยู่ในดวงตา แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่มีทฤษฎีใดๆ มารองรับโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่ามีโอกาสที่จะมีพลังบางอย่างซึ่งกระจายอยู่ในจักรวาลที่ส่งผลดีต่อผู้ฝึกตนเป็นอย่างยิ่ง และอาจมีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ที่จะสามารถดูดซับพลังนั้นมาช่วยฝึกปราณได้

ตามคำอธิบายบนโลก พลังนั้นอาจคล้ายคลึงกับรังสีพลังงานสูงที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนใบพายกระดาษนั้น…ก็เห็นได้ชัดว่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่า เพราะมันช่วยให้ผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะเช่นเขาสามารถดูดซับพลังงานจากจักรวาลได้

ข้าเข้าใจกระดาษรูปมนุษย์ผิดไป! หวังเป่าเล่อพลันหันศีรษะไปมองกระดาษรูปมนุษย์ด้วยแววตาเคารพนับถือและนึกขอบคุณ หลังจากที่หันกลับมา ชายหนุ่มก็มุ่งมั่นแจวเรือด้วยความพยายามที่มากขึ้นกว่าเดิม

ข้ารักการแจวเรือ!

ข้ารักการออกกำลังกาย!

การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ข้ามีความสุข!

หวังเป่าเล่อต้องใช้แรงเต็มที่ทุกๆ ครั้งที่ลงมือพาย เขาต้องปล่อยพลังปราณและพลังกายของร่างอวตารแทบทั้งหมดเพื่อจะแจวเรือให้ได้หนึ่งครั้ง ความอ่อนล้าที่ชายหนุ่มต้องเผชิญไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ยิ่งแจวไปเขาก็ยิ่งรู้สึกมีพลัง

หวังเป่าเล่อมีความสุขที่ได้พายเรือเป็นอย่างยิ่งและไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด มีประกายตามุ่งมั่นสะท้อนขึ้นมาในดวงตาขณะที่เขาแจวเรือไป ประโยชน์ที่ชายหนุ่มได้รับจากการแจวนั้นเห็นได้ชัดเจนยิ่ง คลื่นพลังอันอ่อนโยนลูกแล้วลูกเล่าเดินทางผ่านใบพายกระดาษเข้ามาในกายเขา เสียงแตกเปรียะจากร่างกายของเขาชัดเจนและดังยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันพลังปราณของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด

แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนัก แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คล้ายกับลูกหิมะที่ค่อยๆ ก่อตัว เมื่อสั่งสมไปสักพัก รัศมีพลังปราณในกายของหวังเป่าเล่อก็ขยับพุ่งสูงขึ้น!

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งมีความสุข ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอันมาก เขาเข้าใจพลังปราณของตนเองเป็นอย่างดีและรู้ดีว่าในสภาวะปัจจุบัน การจะบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสู่ชั้นสมบูรณ์นั้นยากเย็นเกินจินตนาการสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วๆ ไป

โอกาสที่อาจช่วยให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายบรรลุขั้นได้สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วเป็นเพียงฝุ่นผง หากเทียบระดับปราณกับสิ่งของ การยกมันขึ้นสูงอาจเทียบได้กับการบรรลุขั้นปราณต่างๆ สิ่งของที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วๆ ไปต้องยกคงหนักราวห้ากิโลกรัม แปลว่าการจะยกมันขึ้นได้ไม่ต้องใช้กำลังมากนัก

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ หากเปรียบพลังปราณของเขาเป็นสิ่งของ ก็คงจะหนักหลายร้อยกิโลกรัม ฉะนั้น…การจะยกมันให้ขึ้นไปสู่จุดเดียวกันได้ย่อมต้องใช้พลังมาก และแน่นอนว่ายากลำบากกว่าเป็นอันมาก

แต่ขณะนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อแจวเรือไป แม้ว่าเขาจะอ่อนแรง แต่การระเบิดของพลังปราณก็เป็นของจริง และสำหรับชายหนุ่มแล้ว โอกาสเช่นนี้ก็หายากนัก

เช่นเดียวกัน เพราะการระเบิดและการเพิ่มพูนของพลังปราณ หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจซุกซ่อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาได้ ทำให้สีหน้าของวัยรุ่นหนุ่มสาวราวสามสิบคนบนเรือเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ พวกเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่สัญญาณความเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของพลังปราณในกายหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาตื่นตะลึง แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นหัวกะทิแห่งยุคสมัย และความนิ่งในตัวจะเกินวัยไปมาก ถึงกระนั้นก็ยังต้องร้องตะโกนออกมา

“ปราณอมตะอย่างนั้นหรือ”

“ใบพายกระดาษนั่นมีบางอย่างแปลกๆ!”

“การเติบโตของพลังปราณในกายเซี่ยต้าลู่แปลได้อย่างเดียว นั่นคือปราณอมตะในจักรวาลกำลังถูกดึงมาที่นี่และแปลงเป็นพลังงานอมตะที่อ่อนโยนพอให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะดูดซับได้!”

เกิดความโกลาหลขึ้น เหล่าหัวกะทิหลายคนต่างผุดลุกขึ้นยืน พวกเขาจ้องมองไปยังใบพายกระดาษในมือของหวังเป่าเล่อ มีเปลวไฟแห่งความปรารถนาลุกโชนขึ้นในแววตา บ้างก็สามารถควบคุมมันไว้ได้ บ้างก็พยายามจะซ่อนมันเอาไว้ แต่บางคนก็ปล่อยให้เปลวไฟนั้นลุกไหม้โชติช่วง

ในฐานะผู้ถูกเลือกของตระกูลและสำนัก พวกเขามีความรู้สูงส่งกว่าหวังเป่าเล่อมากนัก ฉะนั้น ทุกคนจึงรู้ดีว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว แม้ว่าปราณวิญญาณจะยังมีส่วนสำคัญในการฝึกตน ทว่า…มันก็ไม่ใช่พลังเดียวอีกต่อไป!

ภายในดาราจักรไม่รู้สิ้น ยังมีรูปแบบของพลังอีกอย่างที่มีระดับสูงกว่า นั่นคือปราณอมตะนั่นเอง!

ปราณอมตะเป็นพลังไร้รูปร่างที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล พลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาอยู่ตลอดโดยดวงอาทิตย์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในดาราจักรไม่รู้สิ้น หากนำมารวมกันและควบแน่นในปริมาณมากๆ มันจะกลายสภาพเป็นผลึกสีชาด!

เพียงแต่ว่าทั้งผลึกสีชาดและปราณอมตะที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาลจะถูกดูดซับได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วเท่านั้น เป็นการยากยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่จะดูดซับได้ เพราะอย่างไรเสียผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ไม่มีดาวเคราะห์ในกายและไม่อาจรับเอาพลังไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานนี้ช่างบ้าคลั่ง และต่อให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะดูดซับมาด้วยกำลัง ก็ยังไม่อาจใช้ประโยชน์จากมันได้มากนัก

แน่นอนว่ายังมีวิธีการดูดซับอยู่ แต่วิธีการอันมั่นคงที่ทำให้ผู้ฝึกตนสามารถดูดซับพลังและรับมันเข้ามาในกายได้นั้นมีอยู่เพียงหยิบมือ ยกเว้นว่าผู้ฝึกตนขั้ระดับดารานิรันดร์จะยอมใช้ตนเองเป็นสื่อกลางและปรับพลังให้ แต่วิธีนั้นก็ยังเสี่ยงมากแถมปราณอมตะที่ได้ก็ไม่สงบเท่าใดนัก

บรรดาผู้ถูกเลือกบนสำปั้นต่างก็เก็บเกี่ยวผลผลิตจากการความช่วยเหลือของศิษย์พี่พวกเขามา จึงรู้ดีว่าปราณอมตะที่ปรับแต่งแล้วและดูดซึมง่ายนั้นมีค่าเพียงใด ดังนั้น ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ ทุกคนต่างก็รู้สึกอึดอัดด้วยความริษยา

อันที่จริงแล้ว…พวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วๆ ไป และรู้ดีว่าการจะเพิ่มพลังปราณสำหรับพวกเขาเป็นสิ่งยากยิ่ง ขณะที่นัยน์ตาของบรรดาผู้ถูกเลือกส่องประกาย ก็เหมือนว่าพวกเขาต่างได้ค้นพบโลกใหม่ พวกเขาเอาแต่ครุ่นคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิในการแจวเรือบ้าง

อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่ร้อนรนต่างได้ลองยกมือประสานคารวะกระดาษรูปมนุษย์แล้ว

“ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าข้าเองก็ช่วยท่านแจวเรือได้…”

เพียงแต่ว่าอากัปกิริยาของกระดาษรูปมนุษย์ที่มีต่อพวกเขาแตกต่างจากที่มีต่อหวังเป่าเล่อโดยสิ้นเชิง คงไม่เป็นอะไรนักหากมันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กระดาษรูปมนุษย์กลับหันไปมอง ประกายสว่างสะท้อนขึ้นมาในดวงตา ก่อนที่มันจะปล่อยรัศมีเย็นเยียบจากกายให้ไหลท่วมเรือสำปั้นทั้งลำ

ไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบด้วยวิธีอื่น เพียงแค่แรงกดดันจากพลังปราณและความเยือกเย็นในแววตาก็ตอบคำถามได้ดีเกินพอ ทำให้แม้บรรดาผู้ถูกเลือกจะรู้สึกขมขื่นแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ามองดูพลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นขณะที่ชายหนุ่มแจวเรือต่อไป

“ทำไมท่านจึงปฏิบัติกับเราต่างกับเซี่ยต้าลู่!”

“รอประเดี๋ยวก่อน…หรือว่าเซี่ยต้าลู่มีวัตถุเวทประหลาดอยู่กับตัว” แน่นอนว่ามีคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย ในไม่ช้า แม้ว่าทุกคนจะตื่นตะลึงและอิจฉาริษยา พวกเขาต่างก็พากันครุ่นคิดด้วยแววตาส่องประกาย

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีเวลาจะไปยุ่งกับบรรดาผู้ถูกเลือก ชายหนุ่มไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นเดาถูกหรือไม่ ขณะนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการเพิ่มพลังปราณให้ตนเอง

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าพลังปราณของตนเข้าใกล้ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ไปทุกขณะ ความตื่นเต้นในใจเขานั้นสุดจะบรรยาย อีกทั้งชายหนุ่มยังค้นพบอีกด้วยว่าขณะที่เขาพายไปและพลังอันอ่อนโยนนั้นไหลบ่าเข้ามาในกาย อาการบาดเจ็บทุกอย่างที่ได้รับมาจากการต่อสู้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งเกราะมหาจักรพรรดิเองก็ได้รับผลด้วย พลังวิญญาณภายในเกราะแทบจะกลับมาเต็มเปี่ยมเท่าเดิม สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งพลางปลดปล่อยเกราะมหาจักรพรรดิออกมา มันออกมาคลุมกายเขาไว้ในพริบตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะจ้วงใบพายกระดาษเต็มแรงอีกครั้งหนึ่ง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนั้น ขณะที่ทุกคนจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ และขณะที่ชายหนุ่มแจวเรือไป เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ เดินหน้าผ่านจักรวาล แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อจ้วงพายไปครบร้อยครั้ง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset