เมื่อเหรียญตราหยกถูกหยิบออกมาพร้อมคำพูดของหวังเป่าเล่อ ตันโจวจื่อผู้ซึ่งกำลังควบคุมผนึกด้วงทองคำ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อคลื่นความรู้สึกพุ่งเข้าถาโถมในใจ ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นเหรียญตราหยกนั่นมาก่อน เมื่อได้มาเห็นอีกครั้งในตอนนี้ ชายวัยกลางคนก็หน้าถอดสี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตันโจวจื่อได้พยายามคาดเดาปูมหลังของหวังเป่าเล่ออยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย หากเป็นใครคนอื่นมาพูดเช่นนั้นต่อหน้า ตันโจวจื่อคงไม่เชื่อเป็นอันขาด
แต่เพราะระดับปราณของหวังเป่าเล่อรวมถึงปูมหลัง ตันโจวจื่อจึงไม่อาจสงสัยอีกฝ่ายได้ แต่ก็ยังไม่เชื่ออย่างเต็มที่เช่นกัน เขาจึงแบ่งสัมผัสสวรรค์ส่วนหนึ่งไปตรวจสอบว่าเหรียญตราหยกเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อวิญญาณของเขาไม่นิ่ง การควบคุมผนึกด้วงทองคำจึงสั่นคลอนไปด้วย และถึงแม้ว่าตันโจวจื่อจะกลับมาควบคุมผนึกได้แทบจะในทันที ทว่ามันก็สายเกินไป
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การฉกฉวยโอกาสเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปะทะกันระหว่างตัวเขาและหวังเป่าเล่อ อีกอย่างความเชื่องช้าครั้งนี้เป็นความผิดของตันโจวจื่อเอง ดังนั้นการช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีจึงเพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายขณะแปลงกายเป็นหมอก และเคลื่อนออกมาจากการควบคุมของผนึกด้วงทองคำอย่างรวดเร็ว เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของตันโจวจื่อก็ถอดสี จิตสังหารในดวงตาของหวังเป่าเล่อปะทุออกมา
มีดวงเนตรปีศาจปรากฏอยู่เบื้องหลังของชายหนุ่ม เป็นดวงตาสีดำขนาดยักษ์ที่จับจ้องเขม็งไปยังตันโจวจื่อ ในพริบตานั้น พลังผูกมัดที่มองไม่เห็นก็จับรัดให้ร่างกายของตันโจวจื่อขยับไม่ได้ หัวใจของชายวัยกลางคนเต้นแรง ขณะที่เขากระซิบถ้อยคำด่าทอออกมานั้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็พร่ามัวก่อนจะแยกออกเป็นสี่ร่างในอึดใจถัดมา!
ร่างทั้งสี่นั้นสร้างขึ้นมาจากสารัตถะของชายหนุ่ม พวกมันเคลื่อนที่ราวกับเป็นใบมีดคมกริบสี่เล่มที่พุ่งเข้าใส่ตันโจวจื่อ ทว่าร่างทั้งสี่นั้นไม่ได้จู่โจม หากแต่…ระเบิดตัวเอง!
มันเป็นวิธีจู่โจมที่รวดเร็วและหนักหน่วงที่สุดเท่าที่หวังเป่าเล่อจะคิดได้ ขณะที่ร่างกายของตันโจวจื่อกำลังจะฟื้นฟูตนเอง ร่างอวตารทั้งสี่ของหวังเป่าเล่อก็เข้าไปใกล้และ…ระเบิดตัวเองพร้อมกัน!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วจักรวาล กลบเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของตันโจวจื่อไปสิ้น!
การโจมตีของหวังเป่าเล่อทั้งรวดเร็ว ดุดัน และรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทว่า…ยังมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยระหว่างรากฐานของชายหนุ่มกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แม้ว่าเขาจะสามารถทำให้ตันโจวจื่อเจ็บหนักได้ แต่การจะสังหารอีกฝ่ายในทันทีก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย
อีกทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นยังแตกต่างจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากเผ่าพันธุ์อื่นอยู่บ้าง กล่าวคือเมื่อพวกเขาแสดงร่างที่แท้จริงออกมา การจะสังหารคนเหล่านี้ได้ก็จะยากขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่า เพราะอย่างไรเสีย ชื่อของจักรพิภพแห่งนี้ก็คือจักรพิภพไม่รู้สิ้น ดังนั้นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจึงได้เปรียบกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่หลายขุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นมีพลังเทพภายในกาย ได้แก่การระเบิดชิ้นส่วนร่างกายตนเอง ศีรษะและแขนที่เกินมานั้นมีพลังทั้งโจมตีและตั้งรับ สามารถระเบิดตัวเองเพื่อโจมตีศัตรูและสามารถใช้เพื่อลดทอนความเสียหายต่อร่างกายได้ อันที่จริงแล้ว การจะบอกว่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นมีสามชีวิตก็คงไม่เกินจริงไปนัก
เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถเอาชนะสมาชิกตระกูลด้วยพลังปราณและพลังยุทธ์แล้วสังหารทิ้งอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่หวังเป่าเล่อในตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นแม้ว่าตันโจวจื่อจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขาก็ยังสามารถต้านทานไว้ได้โดยใช้ทรัพยากรจำนวนมาก นั่นคือสละหนึ่งศีรษะและหนึ่งแขน พร้อมทั้งใช้ผนึกด้วงทองคำเพื่อต้านทานการโจมตี เช่นนี้ชายวัยกลางคนจึงรอดจากการทำลายตัวเองของร่างอวตารทั้งสี่มาได้
ทว่าราคาที่ตันโจวจื่อต้องจ่ายก็มหาศาลเกินไป ผนึกด้วงทองคำเสียหาย แถมร่างที่แท้จริงของเขาก็แทบจะพิการ อีกทั้งพลังปราณยังไม่คงที่ ขณะนี้เขาอยู่ในสภาพเลวร้ายสุดขีด แถมยังเหลือแขนซ้ายอยู่เพียงข้างเดียว ขณะที่เลือดไหลท่วมกาย ร่างของตันโจวจื่อก็เคลื่อนถอยหนีทันที คลื่นความกลัวและความตื่นตะลึงกระแทกเข้าสู่หัวใจ ตันโจวจื่อตอนนี้ไม่มีจิตใจจะต่อสู้อีกต่อไป ความคิดเดียวที่มีคือต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!
ดังนั้นเมื่อตันโจวจื่อหนีออกไปจนพ้นระยะอันตรายแล้ว เขาจึงใช้มือข้างที่เหลือสร้างผนึกฝ่ามืออย่างไม่รีรอ เปลี่ยนผนึกด้วงทองคำให้กลับเป็นด้วงสีทองธรรมดา แล้วรีบกระโจนขึ้นไปก่อนจะใช้แรงที่เหลือทั้งหมดเข้าควบคุม ยานด้วงทองคำแปรสภาพเป็นลำแสงสีทองก่อนพุ่งหนีออกไปในจักรวาลอันไกลลิบ
ตันโจวจื่อรู้สึกหวาดกลัวศัตรูประหลาดผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง และการเผ่นหนีไปของเขาก็ทำเอาชานหลิงจื่อ ผู้ที่ถูกผนึกอยู่อีกมุมหนึ่งใบหน้าถอดสี แถมแววตายังสิ้นหวัง
หวังเป่าเล่อเองก็หงุดหงิดเช่นกัน การสร้างร่างอวตารสี่ร่างแล้วให้พวกมันระเบิดตัวเองนั้นกินพลังงานของเขาไปมากโข แต่ชายหนุ่มก็กัดฟัน จิตสังหารในแววตาฉายแสงแรงกล้ากว่าที่เคย
ข้าเคยผ่านประสบการณ์การถูกไล่ล่าหลังจากไม่ได้ขจัดเสี้ยนหนามไปชนิดถอนรากถอนโคน แม้ครั้งนั้นระดับปราณของข้าจะยังไม่สูงนักและสภาพก็ไม่อำนวย แต่คราวนี้…ข้าจะไม่ยอมให้ใครฝังใจเจ็บแค้นและจงเกลียดจงชังข้าอีกต่อไป! หวังเป่าเล่อตระหนักได้อย่างชัดแจ้งว่าหากเขาสังหารชานหลิงจื่อตั้งแต่ตอนไปทำภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟในครั้งนั้น เขาก็คงไม่ต้องมาพบสถานการณ์เช่นปัจจุบัน
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ชายหนุ่มค่อนข้างโชคดี เขาเพิ่งบรรลุขั้นและเริ่มต่อสู้ด้วยสภาพสมบูรณ์เต็มที่ แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจรู้ได้ว่าครั้งหน้าจะโชคดีเช่นนี้หรือไม่ ขณะที่ความคิดเหล่านี้ประเดประดังเข้ามาในใจ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางชานหลิงจื่อ
ในพริบตาเดียว หวังเป่าเล่อก็ลากชานหลิงจื่อเข้ามาหา ผนึกอีกฝ่ายไว้อีกครั้ง ก่อนจะจับใส่ไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็แปลงกายเป็นหมอกก่อนจะพุ่งไล่ตามตันโจวจื่อไป!
การไล่ล่าดำเนินไปกว่ายี่สิบวัน จนในที่สุด ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงไล่ตามไม่หยุดหย่อน ด้วงสีทองก็เริ่มเคลื่อนที่ช้าลงเรื่อยๆ เพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้หวังเป่าเล่อตามทันและเริ่มสู้กับตันโจวจื่ออีกครั้ง!
การต่อสู้ในครั้งนี้เกิดขึ้นในจักรวาลนอกอารยธรรมที่สูญพันธุ์ไปแล้วแห่งหนึ่ง เสียงสนั่นดังสะท้อนก้องไปทั่วจักรวาลโดยรอบ คลื่นพลังที่กระจายออกไปพังดาวหางที่ผ่านไปมาจนเละเป็นชิ้น
แม้ว่าตันโจวจื่อจะหนีไปได้ แต่แขนที่เหลือข้างสุดท้ายก็ถูกหวังเป่าเล่อตัดขาด ส่วนด้วงสีทองนั้นไม่มีแรงพอจะหนี มันถูกหวังเป่าเล่อชิงไปแล้วผนึกเก็บเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ แม้ว่าชายหนุ่มจะเหนื่อยหนักและเกราะมหาจักรพรรดิก็แทบหมดแรง เขาก็ยังไล่ตามต่อไป
“เซี่ยต้าลู่ เรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เราไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ทำไมเจ้าจึงต้องทุ่มเทไล่ล่าข้าขนาดนี้เล่า!” ตันโจวจื่อที่ตอนนี้แทบจะเสียสติส่งดวงจิตเทพมาหาหวังเป่าเล่อขณะกำลังหนี
หวังเป่าเล่อเองก็ยอมรับว่าสิ่งที่ตันโจวจื่อพูดนั้นมีเหตุผล และคำพูดเหล่านี้คงจะมีผลยิ่งกว่าหากพูดก่อนที่พวกเขาจะต่อสู้กัน ทว่า…ชายหนุ่มก็คิดกับตนเองว่าหากเขาถูกใครบางคนจู่โจมจนบาดเจ็บหนักและร่างกายที่แท้จริงแทบแหลกสลาย เขาก็คงรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย และต้องหาทางกลับมาล้างแค้นในอนาคตเป็นแน่
เพราะอย่างไรเสีย การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพียงการแก้แค้น หากแต่เป็นการแสวงหาโอกาสด้วย ดังนั้น หากหวังเป่าเล่อยอมให้ศัตรูหนีไปได้ ก็แทบจะแน่นอนว่า เขาย่อมต้องเผชิญปัญหาหลากหลายในอนาคตอีก
“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าขอสาบานว่าจะไม่กลับมาล้างแค้นในอนาคตแน่ หากข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าเป็นศิษย์ตระกูลเซี่ย ข้าก็คงไม่ไล่ตามมา” เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่สนใจ ตันโจวจื่อก็กังวลก่อนจะละล่ำละลักอธิบายออกมา แต่ชายหนุ่มกลับตอบอย่างเย็นชา
“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก!” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็เร่งความเร็ว เกราะมหาจักรพรรดิปล่อยพลังออกมาเต็มที่ เขาไล่ทันในพริบตาก่อนจะใช้อาวุธเทพฟันลงไปอีกครั้งหนึ่ง!
ตันโจวจื่อแทบจะเป็นบ้าขณะที่พยายามตั้งรับพัลวัน เสียงสนั่นสะท้อนก้องออกไป หวังเป่าเล่อตอนนี้กดดันรุกไล่เสียจนตันโจวจื่อไม่มีทางเลือกและต้องต่อสู้เท่านั้น เขาสู้จนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วจักรวาลที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้!
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” เมื่อเห็นว่าตนเริ่มอ่อนล้าลงทุกทีแถมพลังปราณก็ยังไม่นิ่ง ตันโจวจื่อจึงเริ่มบ้าคลั่งเนื้อตัวสั่นเทา ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่มาล้างแค้น เป็นไปได้มากว่าเมื่อเขาหนีรอดไปได้ ตันโจวจื่อก็จะเริ่มการสืบอย่างลับๆ จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือเพื่อหาตัวหวังเป่าเล่อให้พบ หากไม่สามารถหาตัวอีกฝ่ายได้ด้วยตนเอง เขาก็คงจะปล่อยข่าวเกี่ยวกับคันธนูจักรพิภพจำลองออกไปเพื่อสร้างปัญหาให้หวังเป่าเล่อ การได้มีส่วนร่วมในการตายของหวังเป่าเล่อแม้จะไม่ใช่การสังหารเองโดยตรงคงจะสร้างความพึงใจให้เขาได้ไม่น้อย
การที่ตันโจวจื่อจะไม่เชื่อตนเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่หวังเป่าเล่อไม่เชื่อคำพูดเขาก็ทำให้ตันโจวจื่อเริ่มโกรธ ผนวกกับการที่ถูกกดดันมาตลอดทาง ทำให้ชายวัยกลางคนเหลือทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือ…การสร้างโอกาสด้วยการระเบิดกายเนื้อของตนเอง เพื่อเปิดช่องให้วิญญาณของเขาหนีไปเช่นเดียวกับที่ชานหลิงจื่อเคยทำเมื่อนานมาแล้ว แม้ว่าผลเสียที่ตามมาจะใหญ่หลวง แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวของตันโจวจื่อในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีกระบวนเวทที่สามารถซ่อนวิญญาณได้ ดังนั้นหลังส่งเสียงคำรามออกมา นัยน์ตาทั้งสองของตันโจวจื่อก็แดงก่ำ ในวินาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็ส่องแสงสีทองอร่าม แสงนั้นเข้มข้นขึ้นในพริบตา ก่อนจะมีภาพมายาของดาวเคราะห์มาปรากฏอยู่เบื้องหลัง มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นก่อนที่ทั้งร่างกายและดาวเคราะห์จะระเบิดขึ้นพร้อมกัน!