คลื่นกระแทกที่แรงระเบิดสร้างขึ้นแปรสภาพกลายเป็นพายุที่กวาดไปทั่วทุกสารทิศ นัยน์ตาดำของหวังเป่าเล่อหดเล็กลง ชายหนุ่มหาญกล้าไล่ตามมาแม้จะรู้ดีว่าพลังทำลายจากการระเบิดตัวเองของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์นั้นรุนแรงเพียงใด ดังนั้นเมื่อศัตรูเลือกที่จะทำลายตนเอง หวังเป่าเล่อจึงรีบใช้มือทั้งสองข้างสร้างผนึกฝ่ามือก่อนจะปล่อยพลังของเกราะมหาจักรพรรดิออกมาทั้งหมด ขณะที่ล่าถอย ชายหนุ่มยังเรียกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา พร้อมด้วยหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองตัวกับเรือบินรบเวทอีกหลายลำออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ กระทั่งชานหลิงจื่อที่ถูกผนึกอยู่อย่างไร้ทางขัดขืนก็ถูกดึงออกมาเพื่อใช้ป้องกันหวังเป่าเล่อ!
ขณะนี้ชายหนุ่มไม่สนใจว่าตัวตนจะถูกเปิดเผยอีกต่อไป เขาใช้ทั้งพลังของดวงเนตรปีศาจและปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาครอบกายไว้เป็นลูกไฟขนาดใหญ่
การป้องกันทั้งหมดพร้อมสรรพในพริบตา วินาทีต่อมา แรงกระแทกจากการระเบิดตัวเองของตันโจวจื่อก็มาถึง หากมองจากที่ไกลๆ การระเบิดตัวเองนั้นสร้างแสงสว่างเจิดจ้า ขณะที่แรงสั่นสะเทือนสะท้อนออกไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ล่าถอยรวดเร็วขึ้นอีกแต่ก็ยังไม่พ้น
เปลวไฟสีดำลุกไหม้อยู่ราวๆ สามลมหายใจก่อนสลายหายไป ดวงเนตรปีศาจก็คงอยู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากนั้นแม้หุ่นเชิดจะถูกทำลาย แต่วิญญาณของจักรพรรดิทั้งสิบสองก็ถูกเก็บกลับมาทันเวลา พวกมันคงอยู่ได้เพียงสองลมหายใจ จากนั้นชานหลิงจื่อก็ถูกบังคับให้ระเบิดตัวเองเพื่อซื้อเวลาอีกสองลมหายใจ แต่วิญญาณของเขาก็ถูกหวังเป่าเล่อเก็บมาได้ทันเวลา!
หวังเป่าเล่อต้านทานพลังการระเบิดตัวเองของตันโจวจื่อได้ด้วยวิธีเหล่านี้ ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลยในช่วงสิบลมหายใจนั้น แรงกระแทกเพิ่งจะมามีผลกับเขาหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อใช้พลังภายนอกเพื่อต้านทานพลังทำลายตนเองส่วนมากเอาไว้ แม้ว่าแรงกระแทกที่เหลือจะยังสร้างความบาดเจ็บให้เขาอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเยือกเย็น ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นและรวบรวมเปลวไฟสีดำขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงท่องมนต์อันซับซ้อนดังออกมา และหลังจากที่เสียงเหล่านั้นสอดประสานกัน ก็ก่อเกิดเป็นเสียงดังสนั่นที่สะท้อนไปทั่วทั้งจักรวาล
“วิชาแห่งศาสตร์มืด หัตถ์สื่อวิญญาณ!” เสียงนั้นแปรสภาพเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากพลังทำลายตนเองของตันโจวจื่อแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน เงามายาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทางตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่คลื่นเสียงไหลบ่าเข้าไปท่วมทับร่างนั้นเอาไว้
แน่นอนว่าร่างเงานั้นคือวิญญาณของตันโจวจื่อ ที่กำลังใช้ช่องว่างจากการระเบิดตนเองเพื่อหลบหนี!
“เป็นไปไม่ได้! เจ้า…เจ้าเป็นคนของสำนักแห่งความมืดอย่างนั้นหรือ!” สีหน้าของตันโจวจื่อแสดงถึงความตื่นตะลึงขณะที่มีแววตาไม่อยากเชื่อ ขณะที่เขาส่งเสียงร้องแหลม และรู้ตัวว่าไม่อาจหนีได้อีกต่อไปเมื่อหวังเป่าเล่อเอื้อมมือขวาออกมาคว้าไว้ และไม่ว่าตันโจวจื่อจะดิ้นรนสักเพียงใดก็ไม่เป็นผล ในอึดใจต่อมา เขาก็ถูกดึงไปอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม!
การสังหารผู้ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ต้องใช้ความพยายามมากจริงๆ หวังเป่าเล่อถอนใจขณะที่มองไปยังวิญญาณของตันโจวจื่อในกำมือ แม้ว่าวิญญาณนั้นจะดูพร่าเลือน แต่ก็ยังมีรูปร่างคล้ายคลึงตันโจวจื่ออยู่บ้าง ในขณะเดียวกันมันก็ยังแผ่พลังวิญญาณเข้มข้นออกมาอยู่ตลอด
วิญญาณของตันโจวจื่อถูกจับเอาไว้ด้วยวิชาแห่งศาสตร์มืด เขาไม่อาจดิ้นรนได้แม้แต่น้อย แถมยังไม่สามารถระเบิดตัวเองได้อีกรอบ จึงค่อยๆ หลับใหลหมดสติไปในที่สุด ดูเหมือนว่าด้วยพลังของวิชาแห่งศาสตร์มืด ดวงวิญญาณจะไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อจ้องมองวิญญาณอยู่พักใหญ่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มจับวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ เขายังสัมผัสได้ด้วยว่ามีแรงดึงดูดจากจักรวาลอันห่างไกลที่พยายามดึงวิญญาณไป แต่พลังนั้นก็ไม่ได้รุนแรงแถมยังถูกขัดขวางด้วยวิชาแห่งศาสตร์มืด หวังเป่าเล่อจึงไม่ต้องปล่อยวิญญาณให้หลุดมือ
แต่ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่า หากเขาไม่ได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดทำลายดวงวิญญาณดวงนี้ แรงดึงดูดนั้นต้องแรงขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุดจนกระทั่งดูดเอาวิญญาณที่ถูกเขาทำลายไปได้สำเร็จ และเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างถูกเติมเต็ม ก็มีความเป็นไปได้ที่ตันโจวจื่อจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาในอีกหลายปีให้หลัง
แต่หากวิญญาณของเขาถูกวิชาแห่งศาสตร์มืดจับเอาไว้ ความเป็นไปได้ดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
สิ่งนั้นคือเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างนั้นหรือ…หวังเป่าเล่อคิดขณะที่ดวงเนตรปีศาจกลับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังเขาอีกครั้ง ดวงตาสีดำลืมขึ้น เผยให้เห็นแววตาเยือกเย็น หากมองดูใกล้ๆ คนที่ใกล้ชิดหวังเป่าเล่อก็ย่อมตระหนักได้ว่าแววตาของดวงเนตรและแววตาของหวังเป่าเล่อนั้นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน!
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวิชาดวงเนตรปีศาจหลังจากที่หวังเป่าเล่อได้กำจัดจักรพรรดิอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รุ่นแรกไป แปลว่าวิชาดวงเนตรปีศาจได้กลายมาเป็นพลังเทพของเขาแต่เพียงผู้เดียวโดยสมบูรณ์
เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาสีดำของวิชาดวงเนตรปีศาจ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงประหลาด เขากำลังจะส่งวิญญาณในมือไปยังดวงเนตรเบื้องหลังเพื่อให้แปรสภาพเป็นพลังปราณ แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็ชะงัก หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็หยิบวิญญาณของชานหลิงจื่อจากกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมา
เมื่อชานหลิงจื่อปรากฏตัว เขาก็ตัวสั่นงันงก ดวงตาแสดงความหวาดกลัวและสิ้นหวังสุดขีดเมื่อมองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่ได้เห็นการต่อสู้ทั้งหมด แต่การหนีไปของตันโจวจื่อก่อนหน้านี้และการต้องทำลายกายเนื้อของตนเองก็ทำให้เขารู้ว่าบุรุษในหน้ากากสุกรนั้นน่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิญญาณของตันโจวจื่อถูกจับได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ชานหลิงจื่อรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก
“ฆ่าข้าเสียเถิด ข้ายอมรับชะตากรรมแล้ว!” ชานหลิงจื่อพูดอย่างขมขื่น แต่ก็มีคลื่นความเด็ดเดี่ยวไหลออกมาจากวิญญาณของเขา เขาพร้อมที่จะตายแล้ว อันที่จริงหลังจากที่ต้องผ่านการเสื่อมสลายของกายเนื้อในครั้งนั้น ชานหลิงจื่อก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่ก่อนจะมา เขามั่นใจอยู่บ้างว่าจะหาวิธีคืนชีพได้หลังจากที่ตายไปแล้วหลายปี
“กล้าดีนี่” หวังเป่าเล่อจ้องมองชานหลิงจื่อก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มโยนวิญญาณของตันโจวจื่อให้ดวงตาสีดำกินต่อหน้าต่อตาชานหลิงจื่อ ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาของดวงเนตรปีศาจก็ขยายออก มันเหมือนหลุมดำหรือปากสีดำสนิทที่กลืนเอาวิญญาณของตันโจวจื่อเข้าไปทันที
หลังจากนั้นดวงเนตรปีศาจก็บวมเป่งขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีพายุพัดถล่มอยู่ภายใน มันสั่นสะท้านอย่างสุดจะควบคุม สำหรับดวงเนตรปีศาจแล้ว การดูดกลืนครั้งนี้ถือเป็นอาหารมื้อใหญ่ยิ่ง!
เพราะอย่างไรเสียนี่ก็คือ…การสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และดูดกินวิญญาณของเขาเข้าไป!
มีเสียงดังสนั่นกึกก้องออกมาจากในดวงเนตรปีศาจ ขณะที่เสียงนั้นดังออกมาอย่างต่อเนื่องและดวงเนตรปีศาจยังคงดูดกลืนต่อไปไม่หยุดยั้ง แรงสะท้อนกลับก็เริ่มปรากฏขึ้น คลื่นความร้อนไหลบ่าจากดวงเนตรปีศาจเข้าสู่กายของหวังเป่าเล่อ ทำให้ร่างของชายหนุ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังที่พร่องไปของเกราะมหาจักรพรรดิกลับมาเต็มในพริบตา ในเวลาเดียวกัน ระดับปราณของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งพุ่งไปถึงจุดสูงสุดที่ร่างของเขาจะสามารถรองรับได้
หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าตัวเขาไม่สามารถอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อีกต่อไป ดังนั้นแม้ว่าจะมีพลังวิญญาณของตันโจวจื่อเหลืออยู่มากพอควร แต่เขาก็ไม่อาจดูดกลืนต่อไปได้ไหว กายของชายหนุ่มตอนนี้เปรียบเสมือนขวดใส่น้ำที่เต็มปริ่ม เขาต้องรอกระทั่งตนบรรลุระดับดาวพระเคราะห์จึงจะได้ขวดที่ใหญ่ขึ้นมาครอบครอง
ทว่าถึงจะมีข้อจำกัดเช่นนั้น ข้อดีของการดูดกลืนวิญญาณระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังไม่หมด ความเปลี่ยนแปลงของดวงเนตรปีศาจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า นัยน์ตาดำของมัน…ก็มีเส้นรอบวงอีกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ราวกับว่ากำลังมีนัยน์ตาดำดวงที่สองเติบโตขึ้นมา!
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเกินคาดสำหรับหวังเป่าเล่อด้วยเช่นนั้น กระทั่งในวิชาดวงเนตรสวรรค์เองก็ไม่ได้กล่าวไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองหลังจากที่วิชาดวงเนตรสวรรค์ถูกสำนักแห่งความมืดปรับแต่ง!
อย่างไรเสีย สำนักแห่งความมืดเองก็มีวิชาดวงเนตรปีศาจถึงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น ทุกๆ ขั้นหลังจากนั้นหวังเป่าเล่อฝึกฝนเองโดยใช้วิชาดวงเนตรสวรรค์ ดังนั้นในแง่หนึ่งวิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็ถือเป็นวิชาสายพันธุ์ใหม่!
ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายตื่นเต้นขึ้นมา แม้ว่าการสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะยากลำบากและทำให้ชายหนุ่มเหนื่อยยากไม่น้อย แต่เขาก็ได้อะไรกลับมามากมาย การได้กำจัดเสี้ยนหนามในอนาคตถือเป็นหนึ่งในข้อดี แม้ว่ากระเป๋าคลังเก็บของตันโจวจื่อจะสลายไป แต่ปราณที่เพิ่มสูงขึ้นและการเติมพลังให้เกราะมหาจักรพรรดิจนเต็มสำหรับหวังเป่าเล่อแล้วก็ถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่ายังมีพลังวิญญาณของตันโจวจื่อเหลือเก็บไว้อีกมาก
ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มยังได้รับด้วงทองคำมาด้วย แม้ว่าด้วงนี้จะใกล้ตาย หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าเขาสามารถซ่อมแซมและควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ อย่างไรเสีย ด้วงทองคำนี้ก็สามารถแปรสภาพเป็นผนึกด้วงทองคำ นับว่าเป็นสมบัติเวทชิ้นหนึ่ง ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง เขาก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะหันไปมองชานหลิงจื่อด้วยสายตาหิวกระหาย ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับกลัวจนหัวหด