หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 920 ข้าอธิษฐาน

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าไม่ใช่ตนเองที่ตะกละตะกลาม แต่เพราะผลไม้สีแดงชาดพวกนั้นเย้ายวนผู้คนจริงๆ มองไปแล้วต้องอร่อยมากแน่ๆ ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่กระเพาะของเขาร่ำร้องหามัน

“ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่อย่างนั้นละก็ ข้าใช้กายสารัตถะอยู่แท้ๆ ไม่ได้มีอวัยวะจริงๆ ทำไมจึงมีความกระหายอยากกินอาหารเล่า” หวังเป่าเล่อลูบหน้าท้อง จากนั้นเมื่อมองไปยังผลไม้สีแดง แล้วก็พลันรู้สึกว่าพวกมันชั่วร้ายนัก

สำหรับอาหารที่ชั่วร้ายประเภทนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนสมควรกินเสีย ถึงค่อยสาสมกับโทษของพวกมัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที แต่หวังเป่าเล่อเองก็รู้ดี เห็นชัดว่าผลไม้วางไว้ตรงนั้นโดยไม่หายไปสักชิ้น และผู้อื่นก็ไม่ได้สนใจจะหยิบมันเลยตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ แปลว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ

โดยรวมแล้วแน่ชัดว่า เจ้าผลไม้นี้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าในเรือชิงไปไม่ได้ คิดไปแล้วคงเพราะมีข้อห้ามอยู่เป็นแน่ หรือไม่ก็คือฝีพายกระดาษรูปมนุษย์ไม่อนุญาต

“ถ้ามีข้อห้ามจริงก็ช่างเถอะ ข้าก็แค่ไม่ไปแตะต้องเท่านั้นเอง แต่หากกระดาษรูปมนุษย์ไม่อนุญาตละก็…” หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขารู้สึกว่าตนเองกับพวกฝีพายกระดาษพวกนั้นเหมือนจะมีสัมพันธ์ฉันท์มิตรอยู่ โดยเฉพาะกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาเองก็เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย ถือว่าเป็นผู้รู้จักมักจี่กันอย่างแนบแน่นแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็แสนเบิกบานใจ ในเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ไม่ยอมให้เขาช่วยพาย เช่นนั้นให้เขากินผลไม้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา คิดถึงตรงนี้แล้วหวังเป่าเล่อก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาหยัดกายขึ้น แล้วก็ตกเป็นเป้าความสนใจของคนรอบข้างอย่างรวดเร็ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาพวกเขานั้น หวังเป่าเล่อเป็นพวกต่างพันธุ์ที่แปลกประหลาดสุดขั้ว ก่อนหน้านี้มาพายเรือก็ช่างเถอะ แต่หลังจากนั้นเห็นชัดว่าทูตดาวตกให้ความช่วยเหลือเขา จนเข้ามาชิงสิทธิ์ท่ามกลางความตกตะลึงของคนจำนวนมาก ทุกสิ่งนี้ชี้ชัดว่าอีกฝ่ายพิเศษยิ่ง ดังนั้นการกระทำทุกอย่างของเขา ต่อให้เป็นคนที่วางท่าไม่สนใจ แท้จริงก็แอบใส่ใจระวังอยู่

โดยเฉพาะพวกที่เคยมีเรื่องกับเขาก่อนหน้านี้อย่างหลี่หลินจื่อ หวังอี้ซานพวกนี้ ถึงแม้ทำสีหน้าไม่สนใจ แต่ในใจก็แอบหวั่นกับทุกอย่างที่เป็นหวังเป่าเล่อ ในเวลานี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พวกเขาก็ล้วนแต่หันสายตาไปมอง

ภายใต้การจับจ้องของพวกเขา เมื่อมองเห็นหลังจากหวังเป่าเล่อลุกขึ้นยืน เดินตรงดิ่งไปยัง…แท่นบูชาท้ายเรือ ในพริบตานั้นทุกคนที่จ้องดูอยู่ก็เข้าใจความคิดหวังเป่าเล่อทันที

“นี่คิดจะกินผลไม้หรือ”

เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ากลับไม่แสดงสีหน้าท่าที รอคอยดูสถานการณ์ขึ้นมา โดยเฉพาะสิ่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกก่อนหน้านี้ดูสง่างามดี เห็นชัดว่าพวกทูตดาวตกปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อแตกต่างจากพวกเขา ดังนั้นแม้พวกเขารู้สึกว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะได้กินผลไม้นั้นเป็นศูนย์ แต่ก็ไม่รีบตัดสินทันที

หวังเป่าเล่อไม่สนสายตาผู้อื่น พริบตานั้นร่างกายเขาก็เคลื่อนไหวโบยบินไปสู่ท้ายลำเรือ ในชั่วขณะที่เขากำลังก้าวขึ้นแท่นบูชานั่นเอง เหล่าฝีพายกระดาษที่กำลังจ้วงอยู่พลันยกท่อนแขนขึ้น และไม่รู้ด้วยกรรมวิธีใด จึงเห็นเป็นเพียงลำคลื่นหนึ่งแผ่ขยายออกเท่านั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ติดแท่นบูชาตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

เขาเพียงรู้สึกว่ามีพลังขุมใหญ่แผ่ขยายออกมาจากแท่นบูชา ราวกับว่ากวาดมาทางตนด้วยพลังพลิกภูผาทำลายสมุทรไม่ปาน จะหลบก็ไม่พ้น พริบตาที่ถูกพลังดังกล่าวม้วนคลุม ก็ราวกับเขาถูกคนผลักอย่างแรงจนกระทั่งล้มถอย พลังปราณยังสะเทือนไปด้วย พาให้หวังเป่าเล่อรู้สึกฟ้าหมุนแผ่นดินเคลื่อน

เมื่อเห็นเช่นนี้ คนรอบด้านจำนวนไม่น้อยที่ดูอยู่ทั้งสี่ทิศก็เผยรอยยิ้มเย็น ในใจกลับปลอดโปร่งกว่าเก่า เป็นเพราะที่ผ่านมาสิ่งที่ทูตดาวตกปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาริษยา ในเวลานี้เมื่อเห็นคนผู้นี้ไม่แตกต่างจากพวกตน แต่ละคนค่อยรู้สึกสุขใจขึ้นมา

“สมองของเซี่ยต้าลู่ผู้นี้เกรงว่าคงมีปัญหา ผลไม้พวกนี้วางเอาไว้ตรงนั้นมาตลอด หากว่าหยิบจับได้ตามปรารถนา ข้าก็คงฉวยไปนานแล้ว”

“ดูท่าจะเป็นแค่คนซื่อบื้อคนหนึ่ง ผลไม้บนเรือดาวตกล้วนแต่บันทึกอยู่ในคัมภีร์แต่ละตระกูลตั้งแต่โบราณมาทั้งสิ้นจนบัดนี้มีเพียงคนเดียวที่ชิงผลไม้สำเร็จ นั่นก็คือองค์ชายสามแห่งตระกูลคงกระพัน เพราะมีคุณสมบัติที่ทำให้ใต้หล้าตื่นตะลึงจึงมีสิทธิ์ได้ไปหนึ่งผล!”

ถึงแม้ความคิดของพวกเขาจะวนอยู่ในสมอง แต่พวกหลี่หลินจื่อก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ทว่าสีหน้าท่าทางดูแคลนและเยาะเย้ยของคนเหล่านี้ก็ปรากฏชัดอยู่ดี

โดยเฉพาะหลี่หลินจื่อ แม้ไม่เอ่ยปากออกมา แต่ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะถากถาง จึงส่งสายตาเยาะเย้ยแล้วหัวเราะเย็นขึ้น

“ไม่คิดเลยว่าจะมีไอ้โง่เช่นนี้ เซี่ยต้าลู่ หรือเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าผลไม้ดวงวิญญาณบนเรือดาวตกนี้ ตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน มีเพียงคนเดียวที่หยิบได้ หรือเจ้าคิดจะเป็นคนที่สอง”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกไป หวังอี้ซานและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็ล้วนแต่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขาและสีหน้าของคนอื่นๆ รอบทิศ หวังเป่าเล่อที่ประคองพลังปราณกลับมาเป็นปกติได้แล้วก็รู้สึกใจแป้ว ในขณะเดียวกันก็โมโหเล็กน้อย เขาถลึงตา นึกในใจว่าข้าไม่เชื่อหรอก แล้วแค่นเสียงอีกครั้ง เขานั่งอยู่ตรงนั้น มือขวาล้วงเข้าไปกระเป๋าคลังเก็บ แล้วแอบหยิบขวดปรารถนาออกมา

ในเวลานี้เขาไม่สนผลกระทบของขวดปรารถนาแล้ว ต่อให้ที่นี่มีสายฟ้าฟาดหรือแรงต้านจากเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็อธิษฐานในใจเงียบๆ ทันที

“ข้าอยากได้ผลไม้นั่น”

ขวดไม่มีท่าทีอะไร

“ข้าอยากเข้าสู่แท่นบูชา”

ขวดก็ยังนิ่งสนิท หวังเป่าเล่อถอนหายใจในใจ เขายิ่งรู้สึกผิดหวังกับเจ้าขวดปรารถนามากขึ้นทุกที เขาคิดๆ ทดลองส่งกระแสจิตเงียบๆ อีกครั้ง

“ข้าขอให้กระดาษรูปมนุษย์บนเรือลำนี้ไม่หยุดยั้งการกระทำของข้า”

เมื่อคำนี้ปรากฏในใจ ร่างของหวังเป่าเล่อก็กระเพื่อมรุนแรงโดยพลัน รู้สึกได้ว่ามีกระแสความร้อนแผ่ออกมาจากขวดอธิษฐานในพริบตา ในใจอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและเคร่งเครียดไปด้วย เขาถึงกับหายใจกระชั้น คราแรกเขาแค่ไม่อยากยอมแพ้จึงลองอธิษฐานดู ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะสำเร็จได้ทั้งที่ลองแค่สามครั้ง

พวกฝีพายกระดาษรูปมนุษย์ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เก่า หวังเป่าเล่อกะพริบตา คิดรอบหนึ่งแล้วก็กัดฟัน เขาเก็บขวดปรารถนาไป แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งภายใต้การจับจ้องของคนรอบทิศ

“ยังจะเข้าไปลองอีกหรือ เซี่ยต้าลู่ ข้านับถือความกล้าของเจ้าจริงๆ พยายามเข้าละ” หลี่หลินจื่อกวาดตามองหวังเป่าเล่อ พลางกล่าวเยาะ

“หลี่หลินจื่อ เจ้าดูข้าให้ดีเถอะ” หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในอารมณ์ไม่อยากแพ้ เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของหลี่หลินจื่อเป็นคราที่สาม เขาก็ใช้นัยน์ตาเย็นกวาดมองไป ประกายตาแฝงความหนาวเหน็บรอบหนึ่ง

ความเย็นเยียบนี้พาให้หลี่หลินจื่อหรี่ตา ประกายตาของเหล่าพี่น้องรอบด้านชะงักขึ้นมา พวกเขาไม่พอใจ และเห็นได้ชัดว่าหากหวังเป่าเล่อจะลงมือตรงนี้ พวกเขาทั้งหมดย่อมไม่นั่งมองเฉยๆ แน่

หลังกวาดตามองหลี่หลินจื่อด้วยท่าทีเย็นชาแล้ว หวังเป่าเล่อก็แค่นเสียงเย็น เดินไปยังแท่นบูชา ในครั้งนี้ความเร็วของเขาก็เท่ากับครั้งก่อน พริบตาที่เข้าใกล้ เขาก็ย่างเท้าเหยียบขึ้นแท่นบูชาตรงจุดที่ครั้งที่แล้วถูกมนุษย์กระดาษกระดาษรูปมนุษย์ขัดขวาง

เมื่อมองถึงฉากนี้ พวกหลี่หลินจื่อล้วนยกยิ้มมุมปาก เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ มองดูนิ่งๆ แววตายังคงแสดงท่าทีไม่เกี่ยวข้องมากน้อย เห็นชัดว่าทุกคนคิดเช่นเดียวกัน คิดอยากจะกินผลไม้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจสำเร็จได้

ทว่าในพริบตาที่ทุกคนคิดจะแสดงสีหน้าออกมานั้น ร่างกายหวังเป่าเล่อก็กระโจนเข้าไป เห็นชัดว่าเหยียบอยู่บนแท่นบูชาได้แล้ว

คราวนี้กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้มาขัดขวางอีก ยังคงพายเรือต่อ ราวกับว่าไม่เห็นการกระทำของหวังเป่าเล่อตรงนี้แม้แต่น้อย

นั่นพาให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านถลึงตาโพลงทันที ในสมองมีแต่ความอึงอล กระทั่งหญิงสวมหน้ากากรายนั้นก็ยังเบิกตากว้างฉายแววตะลึง

ความตื่นตะลึงแผ่ขยายเต็มหัวใจผู้คน ราวกับคลื่นพายุซัดโหม ทุกคนในเวลานั้นชะงัก สายตาจ้องที่หวังเป่าเล่อซึ่งขึ้นไปถึงแท่นบูชาแล้ว และกำลังใช้มือหยิบผลไม้ขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวเข้าไปคำหนึ่ง… กินทีเดียวครึ่งลูก

ในใจหวังเป่าเล่อแสนจะเบิกบาน รู้สึกว่าขวดปรารถนาของตนขวดนี้มีประโยชน์ดียิ่ง เห็นชัดว่าความปรารถนาเป็นจริง กระดาษรูปมนุษย์ไม่เข้าหยุดยั้งเขา โดยเฉพาะหลังเขากินผลไม้นี้ลงไปแล้ว ในปากก็มีกลิ่นหอมกระจายอยู่เต็ม พริบตานั้นเหมือนยอดสุราธาราหยกแผ่ซ่านทั่วร่างเขา จากนั้นก็รู้สึกสบายตัวเบิกบานยิ่ง พาให้หวังเป่าเล่อรีบกินเข้าไปอีกหลายคำ เขากินผลไม้นั่นเข้าไปแม้กระทั่งเปลือกและถึงกับเรอหลายรอบ เมื่อกินเสร็จถึงค่อยหันไปมองพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ลูกตาดำแทบจะหลุดลงมาทีละคน

“นี่รสชาติไม่…เอ๋??”

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset