“บิดาเจ้าเถอะ กระบวนท่าสารัตถะของมหาจักรพรรดิเทพมังกรสยบฟ้า…” เจ้าอ้วนน้อยหนังหน้ากระตุก พร้อมด่าทอในใจ เขารู้สึกว่าตนเองโชคร้ายสุดๆ นี่มันเจ้าโง่คนหนึ่งจริงๆ
“เห็นๆ อยู่ว่าอยากได้เงิน!” ข้าดันมองพวกหน้าเงินผิดไปจนได้! !” เจ้าอ้วนน้อยขบฟัน แต่คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดในใจ เกรงว่าครั้นตนพูดออกไปจะทำให้อีกฝ่ายโมโหแล้วอีกสักพักจะมาเอาคืนกับเขาแทน เช่นนั้นก็ไม่คุ้มเสีย
ไม่เพียงแค่เจ้าอ้วนน้อยที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็พลันเผยสีหน้าพิลึกเช่นกัน หากเป็นผู้อื่นพูดเหมือนกับหวังเป่าเล่อ บางทีอาจมีคนเชื่อสักสองสามส่วน แต่หากเป็นเจ้าเซี่ยต้าลู่ผู้นี้เอ่ยปากล่ะก็ เกรงว่าความน่าเชื่อถืออยู่ที่ขั้นติดลบ
จริงๆ คนกลุ่มนี้ก็พอคาดเดาได้ล่วงหน้า เพราะในด่านแรกเขาขายสิทธิ์ แถมบนเรือยังขายผลไม้อีก ดังนั้นในเวลานี้หากหมอนี่ไม่ขายวิธีการปลดผนึก งั้นทุกคนก็เดาผิดเต็มประตู
ยามที่ทุกคนในกลุ่มกำลังมีสีหน้าประหลาดอยู่นั้น หวังเป่าเล่อกลับขมวดคิ้วถอนใจเศร้าๆ
“ทุกท่าน วิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูล ข้าไม่อาจมอบให้ทุกท่านได้จริงๆ จุดนี้หวังว่าทุกท่านคงจะเข้าใจ และตัดสินใจตามแผนเดิมของข้า ข้าสามารถปลดผนึกให้พวกท่านได้ แต่พวกท่านก็เห็นแล้ว ของเล่นชิ้นนี้จำต้องทดลองหลายครั้งถึงจะสำเร็จ เดิมทีสารัตถะของข้าก็ไม่อาจใช้เปลืองได้ ดังนั้นแล้ว…จึงหวังให้สหายเต๋าทุกท่านเข้าใจด้วย” หวังเป่าเล่อทำท่าอับจนหนทางจริงๆ กล่าวจบเขาก็หมุนตัวตังท่าจะจากไป
ทว่าในสายตาของทุกคน เห็นตรงกันว่าหวังเป่าเล่อคือความหวังหนึ่งเดียว จะปล่อยให้เขาไปได้เช่นไร ผู้ที่ไม่มีผลึกมายานั้นยังดี แต่เจ้าอ้วนน้อยกับหญิงสวมหน้ากากและอีกสองคนที่เหลือ เห็นชัดว่าไม่ยินยอม โดยเฉพาะสองรายหลัง ไม่เคยเจอความกลับกลอกของหวังเป่าเล่อมาก่อน เหตุนี้ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อหันกาย พวกเขาทั้งสองคนก็พุ่งมาขนาบซ้ายขวาหวังเป่าเล่อทันที
“สหายเต๋าโปรดหยุดก่อน! ”
น้ำเสียงนี้แม้จะเจือคำสั่งแต่ก็ไม่มีเจตนาร้าย คลื่นพลังปราณของทั้งสองแผ่ออกจากกายเป็นช่วงสั้นๆ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจริงจังเพียงใด เวลายิ่งบีบคั้นมาเรื่อยๆ หากว่าพวกเขาไม่สามารถปลดผนึกบนผลึกได้ทันคงต้องเสียใจภายหลังอย่างยิ่งแน่ เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เห็นชัดว่าทั้งสองกำลังรู้สึกกดดันอย่างหนัก
“หือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา พลันชุดเกราะจักรพรรดิบนร่างนั้นก็ระเบิดกระบวนเวท เขายกมือขวาจากนั้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็แปรภาพสภาพ ฟาดไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรง เสียงลมพัดกระหน่ำขุมหนึ่งก่อขึ้น มันพัดอยู่หน้าหวังเป่าเล่อแล้วแผ่ไปทั้งสี่ทิศ ผลักร่างของสองคนที่รุดเข้ามาหมุนตลบไปร้อยจ้าง ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นชา
“สองท่านนี้คิดทำสิ่งใด”
“สหายเต๋าเซี่ย ไม่ว่าท่านมีข้อแม้อะไรโปรดเสนอมา แต่มีเงื่อนไขเดียว….ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ท่านต้องช่วยข้าปลดผนึกบนผลึกนี้ ไม่อย่างนั้นโปรดอย่าถือโทษที่ข้าต้องลงมือ”
“เจ้าบีบคั้นข้า?” เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้า เขากะเวลาแล้วหันไปมองระยะไกล สัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ
“หากช่วยข้าปลดผนึก จะมอบผลึกสีชาดให้ 100,000 เม็ด!” เมื่อได้ยินเสียงหงุดหงิดของหวังเป่าเล่อ เจ้าอ้วนน้อยที่อยู่อีกด้านรีบตะเบ็งเสียง
“ไม่ได้หรอก สารัตถะของข้ามีไมมากขนาดนั้น กับแค่ภาระของตัวข้าเองยังจะแย่เลย ข้า….” หวังเป่าเล่อยังไม่ทันกล่าวจบ มหาศิษย์แห่งเต๋าอีกสองคนที่ไม่เคยคบค้ากับเขามาก่อน ก็อดทนเห็นเวลาไหลผ่านไปรวดเร็วไม่ไหว พวกเขาพลันระเบิดพลังปราณ พร้อมกับพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
แม้แต่เจ้าอ้วนน้อยยังหรี่ตาแล้ว เขากระโจนตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่หญิงสวมหน้ากากกลับนิ่งเฉย นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองดูหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ค่อนข้างพิลึก
หวังเป่าเล่อวางแผนไว้ล่วงหน้า ย่อมไม่อาจต่อสู้พัวพันกับพวกเขา จังหวะนี้จึงถอยเท้าอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองก็มาถึงที่นี่ ผู้ที่นำหน้ามานั้นก็คือแม่นางกระพรวนแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิง จักรภพสำนักเสริม เมื่อนางปรากฎตัวก็ยกนิ้วมือขวาขึ้นหนึ่งนิ้ว จากนั้นอักขระโบราณหลายพันตัวโผล่ขึ้นเบื้องหน้านางในทันที อักขระเหล่านั้นมากมายละลานตา หนึ่งตัวก็เสมือนเป็นกระพรวนหนึ่งลูก พวกมันแปรสภาพเป็นพลังสะกดข่มสายหนึ่ง พุ่งมายังหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงดังสนั่น
นอกจากนี้แล้ว เหล่าผู้ถือครองผลึกมายาคนอื่นในกลุ่มที่สอง ก็ลงมือคล้ายๆ กัน ไม่ใช่เพราะนิสัยพวกเขามุทะลุ แต่เวลาจะสิ้นสุดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ท่ามกลางกระแสเวลาที่บีบคั้น พวกเขาต้องบังคับให้เซี่ยต้าลู่ผู้นี้หาวิธีปลดผนึกให้ได้ จึงค่อยสมประสงค์ของทุกคนที่นี่ ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สามที่อยู่ห่างออกไปนั้น ต่างก็รีบตะบึงเข้ามาใกล้
หวังเป่าเล่อเห็นชายหนุ่มท่าทางงามสง่าของสำนักเต๋าฝ่ายซ้ายที่หนึ่งรวมอยู่ในบรรดาคนกลุ่มนั้นด้วย เมื่อมองห่างออกไปอีกระยะ ก็ยังมีอีกหนึ่งปราณกระบี่อันเฉียบคมซึ่งแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง
นอกจากนี้แล้ว รอบทิศยังมีคนอีกจำนวนมากที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ สายตาพวกเขาเปล่งประกาย เห็นชัดว่ากำลังหาจังหวะเหมาะๆ ทุกสิ่งตรงหน้า ทำให้หวังเป่าเล่อเผยสายตาโมโหปนระอา แสดงท่าทีไม่พอใจ จากนั้นเขาจึงถอยเท้าพลางตะโกนออกมาเสียงดัง
“จะรังแกกันมากไปแล้ว!!” ข้าแซ่เซี่ยมิใช่คู่มือของพวกท่าน แต่ข้ามั่นใจแน่ว่าจะหนีได้จนกว่าจะครบครึ่งชั่วยาม หรือก็จนเวลาทดสอบหมดนั่นแหละ! พวกท่านทั้งหลายรังแกกันมากเกินไป ก่อนหน้านี้ก็หาว่าข้าใจดำ อาศัยการขายสิทธิ์หากำไร หลังจากนั้นพอมีจังหวะก็รวมตัวกันโจมตีข้า พอมาวันนี้ยังอยากขโมยวิชาของข้าอีก แถมยังบังคับให้ข้าช่วยพวกท่านปลดผนึก หากข้าไม่ยินยอมจะขายคงไม่ยอมกันใช่ไหม…ได้!!”
“พวกท่านให้ข้าเป็นคนเสนอใช่หรือไม่ งั้นหนึ่งคนต่อผลึกสีชาดห้าล้านเม็ด พวกท่านคนใดยอมมอบให้ ข้าก็จะปลดผนึกให้ผู้นั้น! ” หวังเป่าเล่อพ่นคำพูดออกมาด้วยท่าทีโกรธเคือง พอเอ่ยจบก็หันกายพร้อมจะถอยอีกครั้ง
ทว่าในพริบตาที่เขาเอ่ยคำพูดนั้นเอง หญิงสวมหน้ากากซึ่งเอาแต่จับจ้องพวกเขามาตั้งแต่แรกนั้นก็พูดขึ้นทันที
“ข้าซื้อ! ” พอกล่าวแล้ว นางก็หยิบเอาบัตรผลึกสีชาดขึ้นมาหนึ่งใบพร้อมกับผลึกมายาด้วยความเร็ว นางยื่นให้หวังเป่าเล่อแบบไม่กังวลว่าผู้อื่นจะเข้ามาชิงด้วยซ้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่คนทั้งหมดต่างรุดมาถึงตัวเขาแล้ว จึงไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายอีก แล้วบัตรผลึกสีชาดและผลึกมายาก็มาอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อด้วยประการฉะนี้
เห็นอีกฝ่ายยอมทำตามแบบไม่อิดออด หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาหนึ่งที แล้วยื่นมือรับของมา ระหว่างนั้นเขาก็ครุ่นคิด ในใจรีบชั่งน้ำหนักว่าทำเช่นนี้ถูกหรือไม่ หรือว่ายังมีวิธีการใดที่จะหาผลประโยชน์ได้มากกว่านี้อีกไหม
“ข้าก็จะซื้อ! ” ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังชั่งน้ำหนักในใจ แม่นางกระพรวนจากสำนักเก้าวิหคเพลิงที่ลงมือกับหวังเป่าเล่อก่อนหน้าก็รีบกัดฟันเอ่ยปาก แล้วหยิบเอาผลึกมายาและบัตรผลึกสีชาดออกมา
“ข้าเองก็ซื้อ! !” เจ้าอ้วนน้อยตะโกนเสียงดังแล้วหยิบของออกมา ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของหวังเป่าเล่อ ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น
“พี่ชาย ข้าก็ขอซื้อ” ระหว่างที่กล่าว ด้านหลังของเขานั้นพลันมีมือน้อยๆ ยื่นบัตรผลึกสีชาดและผลึกมายาออกมา นั่นก็คือแม่นางน้อยที่ใช้วิชาศาสตร์มืดผู้นั้น
ในพริบตาที่นางปรากฎกายอยู่หลังตน ดวงตาหวังเป่าเล่อก็หรี่ลง เขาพบว่าตนเองนั้นจับสัมผัสไม่ได้เลยจนกระทั่งนางปรากฎตัว ปกติแล้วก่อนใครจะชิงลงมือ เขาสมควรจะมีเวลาตอบโต้ ทว่าแม่นางผู้นี้กลับเข้าใกล้เขาได้โดยที่ไม่ทำให้เขาเกิดความระวังสักนิด เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็พบกับแม่นางตัวน้อยที่เดินออกมาจากด้านหลังของตน และกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้
ในรอยยิ้มนั้น แฝงความลึกลับอยู่รำไร หลังส่งยิ้มให้นางก็กะพริบตาใส่เขา
อีกสองคนที่โผล่ออกมาในกลุ่มแรกเองก็กำลังกัดฟัน พวกเขาหยิบบัตรผลึกสีชาดออกมาโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก นี่ไม่ใช่พวกเขารวยแต่โง่อย่างใด ทว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ารู้ดีว่าหากเงินสามารถแก้ปัญหาได้ก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่
อีกทั้งจังหวะนี้เวลาก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ถึงแม้จะพอเดาถึงเล่ห์กลของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ออก บางทีการไม่ปลดผนึกอาจไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยัง…ไม่อยากจะเสี่ยง!
พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มท่าทางสง่างามจากสำนักเต๋าฝ่ายซ้ายที่หนึ่งก็เพิ่งจะมาถึง พอเขามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ค่อยๆ ถอนหายใจ แม้ไม่เอ่ยสิ่งใด แต่มือก็หยิบบัตรผลึกสีชาดและผลึกมายาออกมาแล้วโยนให้หวังเป่าเล่อ
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มเปลี่ยนความคิด
“เอาล่ะ ข้าไม่ต้องการเงินของพวกเจ้าแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าเองก็ไม่ได้ลงมือกับข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยปลดผนึกให้แบบไม่คิดค่าแรง!” หวังเป่าเล่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บผลึกมายาเอาไว้ ก่อนจะโยนบัตรผลึกสีชาดคืน ในเวลาเดียวกันก็หันหน้าไปทางหญิงสวมหน้ากากก่อนจะเอ่ยปาก
“เงินของเจ้า ข้ายกเว้นให้แล้ว! ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ละเว้นข้าเถอะ เรื่องไล่สังหารระหว่างเราสองคนก่อนหน้านี้ก็ให้ถือว่าแล้วกันไป คนตระกูลเซี่ยเช่นข้าทำสิ่งใด ล้วนมีหลักการของตน! ” หวังเป่าเล่อกล่าว แล้วก็มองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่กำลังเข้ามาใกล้
ชายหนุ่มชุดดำนั้นชะงักไปชั่วครู่ เขามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาลึกล้ำคราหนึ่ง จากนั้นก็ประสานหมัดคำนับแล้วยื่นผลึกมายามาให้
หญิงสวมหน้ากากเองก็มองหวังเป่าเล่อแบบกังขาแวบหนึ่ง แม้ไม่พูดสิ่งใดแต่ดวงตานางก็อ่อนลงเล็กน้อย ยังคงเป็นชายหนุ่มที่ดูสง่างามของสำนักเต๋าที่หนึ่งฝ่ายซ้ายคนนั้น ที่รู้สึกเหมือนผิดคาด เขาหันมายิ้มให้หวังเป่าเล่อบางๆ กลับกันแม่นางกระพรวนนั้นยังคงเป็นผู้เดียวที่ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่
“นอกจากนี้แล้ว ในส่วนของคนอื่นๆ หากอยากจะปลดผนึก ก็จ่ายมาคนละห้าล้าน! ” หวังเป่าเล่อทำสีหน้าเข้มงวดระหว่างที่กล่าว โดยไม่สนใจแม่นางกระพรวนที่กัดฟันแน่น
“แต่ข้าแซ่เซี่ยขอกล่าวไว้ก่อน ก่อนหน้านี้ข้าปิดบังพวกท่านเรื่องที่ตัวข้ามีสารัตถะเพียงพอที่จะปลดผนึกทั้งหมด ก็เพราะข้าไม่แน่ใจว่าการทดสอบในครั้งนี้ต้องการให้ปลดผนึกจริงหรือไม่ หรือการไม่ปลดผนึกจะกระทบต่อเวทเคลื่อนย้ายหรือไม่ ดังนั้นแล้วหากยังมีผู้ที่ยังไม่ได้ปลดผนึกแต่กลับผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น ก็อย่าหาว่าข้าหลอกเอาเงินพวกท่านแล้วกัน”
“การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ข้าไม่ยินยอมแต่แรก แต่เป็นพวกท่านบังคับข้าเอง ดังนั้น…เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ข้าก็สามารถปลดผนึกให้ได้ แต่หากไม่ยินยอม…ก็ไม่ต้องมาหาข้า!”