ได้ยินคำ ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏประกายล้ำลึกขึ้นมา ทั้งรู้สึกเยาะหยันอยู่ในใจ ด้วยอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เขาหลายครา หนำซ้ำพอออกปากคราวนี้ก็จะให้ตนเองเป็นทาสรับใช้อีก ในสายตาของหวังเป่าเล่อ โดยพื้นฐานแล้วคนจำพวกนี้คือพวกที่มีอัตตาสูงจนถึงขั้นงี่เง่า ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อีกฝ่ายจะมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต่ำต้อยแต่อย่างใด
โดยเฉพาะตรงประโยคสุดท้ายมีน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน เห็นชัดว่าหากคำตอบของเขาไม่เป็นที่พอใจ อีกฝ่ายก็จะต้องเข้ามาขัดขวางไม่ให้เขาได้รับวาสนาแห่งโชคเป็นแน่ แต่ต่อให้เห็นด้วย… ดูท่าก็คงไม่ใช่แค่ให้ทำสัญญาปากเปล่าไร้หลักฐานง่ายๆ เท่านั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องถูกให้ใส่กระพรวนเป็นทำนองว่าห้ามผิดสัญญาอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“หญิงสาวเหล่านี้ทะนงตัวเกินไปแล้วกระมัง ถ้าเกิดข้าเล่าภูมิหลังของข้าให้ฟังพวกนางจะต้องตกใจตายแน่นอน!” หวังเป่าเล่อค่อนแคะอยู่ในใจ ระหว่างนั้นก็เอียงตาไปคอยสังเกตแม่นางกระพรวนที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะใบหน้ารูปไข่และจุดสำคัญต่างๆ บนเรือนร่างของนาง
ไม่อาจไม่พูดว่า ทั้งรูปร่างหน้าตาของแม่นางกระพรวนผู้นี้พอจะเทียบชั้นกับเจ้าเยี่ยเหมิงได้ทีเดียว โดยเฉพาะรูปร่างของนางนั้นได้เปรียบกว่ามาก นอกจากส่วนนูนๆ เว้าๆ ที่เด่นชัดแล้ว เอวนางก็คอดบางชนิดหาตัวจับยาก จึงทำให้นางมีรูปร่างแสนรัญจวนใจ รับกับท่อนล่างที่คอดกิ่วเหมือนน้ำเต้า ยามเลื่อนสายตาลงมาก็ยิ่งเห็นว่าท่อนขาเบียดชิดกันแน่นดังลำไผ่สองท่อนก็ไม่ปาน
รูปร่างเช่นนี้ หากจะให้หวังเป่าเล่อนำมาเปรียบเทียบ ก็เกรงว่าจะมีเพียงหลี่หว่านเอ๋อร์บุตรสาวของหัวหน้าเสนาบดีสหพันธรัฐเพียงผู้เดียวที่มีคุณสมบัติดังนี้ ครั้นนึกถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ ในใจหวังเป่าเล่อก็อดร้อนรุ่มขึ้นมาไม่ได้ หลังจากกระแอมไอไปหลายหน ก็ลอบคิดว่าในเมื่อเจ้าพุ่งเป้ามาที่ข้า เช่นนั้นก็ว่ากันไม่ได้ ข้าต้องตอบโต้บ้างแล้ว จึงได้ออกปากไปด้วยท่าทีขึงขังว่า
“เจ้าหมายความดังนั้นจริงใช่หรือไม่!”
หวังเป่าเล่อพูดไปพลาง สังเกตสีผิวของแม่นางกระพรวนผู้นี้ไปพลาง สีผิวของนางนั้นยิ่งน่าตราตรึงใจและเข้ากับกระพรวนบนข้อมือของนาง นอกจากทั่วตัวนางจะงดงามหมดจดแล้ว ก็ยังให้ความรู้สึกซุกซนมีชีวิตชีวา เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความเย้ายวน ทำเอาหวังเป่าเล่ออดกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้
“บริสุทธิ์สดใสก็ดี หวานเป็นน้ำผึ้งก็ได้ นี่เรียกว่าน้ำผึ้งบริสุทธิ์แท้ๆ!” หวังเป่าเล่อเอ่ยชมอยู่ในใจทั้งสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังกว่าเดิมโข
เดิมทีนั้น เมื่อแม่นางกระพรวนเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก็คิดว่าคนตรงหน้านี่คงไม่ใช่ธรรมดาเป็นแน่ พูดได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในยอดผู้กล้าจำนวนน้อยนิดที่มาในคราวนี้และอยู่ในสายตานาง นางจึงคิดว่าหากสามารถปะเหลาะให้เขามาเป็นทาสศึกได้แล้ว เขาจะต้องเป็นประโยชน์ต่อนางในภายภาคหน้าแน่นอน
นางจึงฝืนทนความสะอิดสะเอียนในใจ สูดหายใจลึกหนหนึ่ง แล้วเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นว่า
“ย่อมต้องหมายความดังนั้น!”
“เมื่อเป็นดังนี้ก็… ช่างเถิด ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ให้มาเป็นภรรยาทาสของข้า ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้ารุ่งโรจน์ไปชั่วชีวิต!” หวังเป่าเล่อประกาศเสียงลั่น พลางถอนใจเบาๆ ด้วยท่าทีเอือมระอา
“เจ้าคู่ควรรึ?” แม่นางกระพรวนได้ยินคำก็พลันยิ้มเยาะด้วยโทสะมหันต์ ทั้งแววเหยียดหยันและความเย็นยะเยือกที่ฉายวาบเข้ามาในดวงตาพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำไปดังนั้น นางก็หันไปเอ่ยกับคนรอบทิศด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า
“สหายเต๋าทุกท่าน เซี่ยต้าลู่ผู้นี้มีอุปนิสัยต่ำช้า ละโมบในทรัพย์ไร้ยางอาย ซึ่งพวกท่านก็เคยเห็นมาแล้วก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าผลึกมายาบนตัวคนผู้นี้ที่แท้แล้วอยู่ในสภาพที่ถูกผนึกเอาไว้ ในระยะยาวจึงยังไม่มีผลกระทบใดหากจะส่งมอบออกมา แต่ในเมื่อเขาเคยเอ่ยถึงมาก่อน ฉะนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไร้หนทางเยียวยา แต่พวกเราจะไม่ยอมทนถูกดูแคลน ข้าเสนอว่า… ให้เขาออกจากการช่วงชิงวาสนาแห่งโชคคราวนี้ไปเสีย จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่นต่อไป”
เมื่อแม่นางกระพรวนพูดจบ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยังคงเป็นปกติ นั่นเพราะถ้อยคำที่นางเอ่ยล้วนเป็นที่สิ่งที่เขาคาดเอาไว้แล้ว แม้ว่าก่อนนี้เขาจะพูดไว้ชัดเจน แต่เขาก็รู้ดีว่าหากมีคนที่ขืนหน้าด้านหน้าทน พยายามใส่อารมณ์ให้ร้ายกัน คำอธิบายก็ไร้ประโยชน์ใดๆ
หนทางเดียวที่จะตอบโต้ก็คือต้องหาทางตบหน้าอีกฝ่ายให้จงได้
“แม่นางน้อยผู้หัวรั้นนี่ไม่อยากให้ข้าทำสำเร็จ นึกว่าได้ผลรึ?” มุมปากของหวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มเยาะ เขาไม่ได้แยแสกับสายตาคนรอบด้านที่กำลังมองมา เพราะเขารู้ดีว่าความสามารถของตนก็คือสิ่งที่คุกคามคนเหล่านั้นอยู่ ดังนั้นคนที่จะทำตามคำของแม่นางกระพรวนคงจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรเสีย ในการทดสอบครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะมีคนเพียงสิบคนที่ถูกเลือกจากคนทั้งสิ้นสามสิบคน เดิมทีก็มีการแข่งขันที่สูงมากอยู่แล้ว หากสามารถเป็นที่ยอมรับได้แต่เนิ่นๆ แล้วขับตัวเขาออกไปได้ เช่นนั้นแล้วโอกาสของทุกคนก็จะมีมากขึ้นอีกสักหน่อย
แม้ว่าเรื่องของโอกาสที่มากขึ้นนี้ หาใช่เรื่องสำคัญสำหรับเหล่าผู้คนอย่างชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น แต่สำหรับคนอื่นๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น กระทั่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการคัดเลือกหนนี้ อาจเกิดขึ้นท่ามกลางการแย่งชิงเพื่อให้แต่ละคนได้มีชะตาชีวิตที่พลิกผันไปจากเดิม
โดยเฉพาะ…กับคนที่มีภูมิหลังไม่เพียบพร้อม ต่อให้เขาเรียกขานตนเองว่าเซี่ยต้าลู่ แต่ความจริงแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อเขา เมื่อเป็นดังที่ว่ามา คนจำนวนหนึ่งจึงเห็นด้วยกับคำพูดของแม่นางกระพรวนอย่างรวดเร็ว
และแน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่เห็นพ้องกับนางนั้นก็เป็นพวกที่คิดมิดีมิร้ายต่อแม่นางกระพรวน ด้วยเหตุนี้ เหล่าคนที่ปรากฏตัวออกมาในช่วงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มและชิงผลึกมายาไปได้ จึงเป็นคนประเภทนี้ทั้งนั้น พอพวกเขาหันไปสบตากัน วินาทีต่อมาก็พุ่งตัวเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า
ทันใดนั้น คนแปดเก้าคนกรูเข้ามาหาพร้อมกันด้วยพลังจู่โจมสุดสะพรึง ทุกคนล้วนเทียบได้กับผู้บรรลุพลังจิตวิญญาณอมตะระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น และยังมีแม่นางกระพรวนสำทับเข้าไปอีก อย่าว่าแต่หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เลย ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์จริงๆ ในยามนี้ก็ยังต้องถอยร่นไปก่อน
ด้วยเหตุนี้เอง หวังเป่าเล่อจึงขยับตัวให้ถอยไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่พวกเขาบุกเข้ามา ทำให้หลบพ้นการจู่โจมของทุกคนไปได้ด้วยการถอยออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยจั้งท่ามกลางเสียงสะเทือน ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้จู่โจมเข้ามา ต่างก็มีสีหน้าต่างกันไป หญิงสวมหน้ากากและชายหนุ่มผู้สง่างามที่เป็นหนึ่งในนั้นก็คล้ายมีท่าทีลังเลขึ้นมา แต่ในที่สุดก็ยังเขยื้อนร่าง พุ่งตัวไปยังสิบภูผาใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปและเลือกตำแหน่งของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขับพลังปราณ ใช้พลังปราณของตนเร่งให้ไม้กลองเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา วิธีนี้ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่กระดาษรูปมนุษย์เคยบอกไว้ แต่เห็นชัดว่าทุกคนต่างก็รู้กันดี
ยังมีแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดผู้นั้น นางหันหน้ามายิ้มให้หวังเป่าเล่อ แล้วพุ่งตัวไปเลือกภูผาใหญ่เช่นกัน ส่วนชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่เล่มโตไว้บนหลังกลับไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด หากแต่พุ่งตัวจากไปในชั่วพริบตา โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ
คนอื่นๆ ต่างก็จากไปดังนี้เช่นกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันใด ทว่าต้นตอของเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะแม่นางกระพรวน หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ปล่อยให้นางคลาดสายตา ชายหนุ่มกวาดตาไปยังแม่นางกระพรวน จากนั้นก็ถอยหลังไปอีกคราวหนึ่ง ไม่ได้สนใจว่าทุกคนจะรุกไล่เขาอย่างใด
“มีปัญญา ก็ตามมา!” แม้แต่ตอนที่เขาถอยไปก็ยังทิ้งคำพูดเอาไว้ เหล่าผู้ฝึกตนภายใต้การนำของแม่นางกระพรวนซึ่งไล่กวดเขามาพักหนึ่ง จึงเกิดความลังเลขึ้นมา
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดตรงหน้าพวกเขาในเวลานี้ก็คือวาสนาแห่งโชค ว่าแล้วจึงพากันหันไปมองทางแม่นางกระพรวน ต่อมาจึงเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้คิดจะรุกไล่หวังเป่าเล่ออย่างไม่คิดชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ ที่พูดไปก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่การแสดงท่าที่ให้ชัดเจนเท่านั้น
“ไม่เป็นไร คนผู้นี้ไปแล้วก็ช่างเถิด หากกล้ากลับมาอีก พวกเราค่อยสังหารเขาเป็นพอ และหากผู้ใดสามารถสังหารเขาได้ ข้าจะมอบดาราอมตะให้ดวงหนึ่งเพื่อใช้เสริมพลังให้ถึงระดับดาวพระเคราะห์!”
รางวัลชิ้นงามดังนี้ย่อมทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีดวงตาแวววาวขึ้นมาทันใด แม้ไม่เอ่ยปากแต่ในใจล้วนเกิดความคิดมากมายขึ้นมา และแม้ว่าทุกคนต่างพุ่งตรงไปยังสิบภูผาใหญ่ แต่จิตใจบางส่วนของพวกเขาก็ยังคงพะวงอยู่ที่ภายนอกนั่น และยังคงคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อ
ดังนี้เอง คนทั้งสามสิบคนที่มาถึงที่แห่งนี้ เว้นแต่หวังเป่าเล่อคนเดียว จึงพากันเลือกจับจองภูผาใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายหม้อหลอมของตนเอง บนภูผาใหญ่บางลูกมีผู้ฝึกตนอยู่เพียงผู้เดียว ส่วนบางลูกก็มีอยู่หลายคนที่ต้องการจับจอง ต่างฝ่ายไม่ได้ลงมือต่อกันในทันใด หากแต่ส่งสายตาเขม็งใส่กัน และยังคงเก็บอาการกันอยู่ เพื่อรอวินาทีที่ไม้กลองก่อร่างสำเร็จ
นั่นเพราะต่อให้เป็นฝ่ายรุกไล่ก่อนก็ไม่ได้มีความหมายใด หากเกิดบาดเจ็บขึ้นมา จนเป็นที่สังเกตเห็นของผู้ที่ต้องการช่วงชิงภูผาใหญ่หม้อหลอมคนอื่นๆ กลับยิ่งทำให้พ่ายแพ้ได้ง่ายขึ้น
หวังเป่าเล่อกวาดตามองจากไกลๆ เมื่อเห็นดังนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาน้อยๆ ด้วยสติปัญญาของทุกคน เขาจึงไม่มีโอกาสจับปลายามน้ำขุ่น[2] แต่หากเอาแต่รอแล้วค่อยเข้าไปชิงไม้กลองในภายหลัง แม้จะยังไม่รู้ว่าผลจะเป็นเช่นใด แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี
เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ ก็กระแอมไอหนหนึ่งพลางพึมพำขึ้นมาในใจ
“ผู้อาวุโส พวกเขาไม่ไว้หน้าเราเลย…”
หวังเป่าเล่อพูดจบและรอสักพักหนึ่ง แต่ก็เห็นว่ากระดาษรูปมนุษย์ไม่ตอบมาก็กำลังจะถามต่อไป แล้วได้ยินเสียงถอนหายใจดังเข้ามาในหู
“เจ้านะเจ้า… นี่ไม่ใช่เจ้ารนหาที่เองรึ? ไปคว้าวาสนาแห่งโชคอย่างสงบๆ ไม่ดีหรือ…” มีความอ่อนล้าอยู่ในน้ำเสียงของกระดาษรูปมนุษย์ เห็นชัดว่ามันค่อนข้างปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่มีมากกว่าก็คือความระอาใจ รู้สึกว่าเหตุใดตนต้องมาพบเจอกับเจ้าตัวฉิบหายวายป่วงเช่นนี้
“คำนี้ของผู้อาวุโสไม่ถูกนะขอรับ ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตน จะให้ทำตัวปกติธรรมดาก็ใช่ว่าจะไม่ได้ หากข้ามีตัวคนเดียว ย่อมต้องวางตัวเรียบเฉยอยู่แล้ว แต่ในเมื่อข้ามีผู้อาวุโสคอยช่วยเหลือ ข้าย่อมต้องพยายามไขว่คว้าหาผลประโยชน์เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตสักหน่อย หากผู้อาวุโสรู้สึกว่ายุ่งยาก เช่นนั้นผู้เยาว์ก็จะจัดการเรื่องนี้เองขอรับ” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากอย่างสงบ เขาพูดเรื่องจริง เพราะในมุมมองของเขา ต่อให้ไม่มีกระดาษรูปมนุษย์คอยช่วยเหลือ ผลึกมายาที่ได้มาก่อนหน้า เขาก็สามารถช่วงชิงมันมาได้ตัวตนเองอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ สำหรับเขาแล้วไม่ได้สลักสำคัญอะไร อย่างมากเขาก็แค่เข้าแลกด้วยตนเอง ไม้กลองสิบอันก็ไปชิงมาสักอัน ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าใด
แต่หากเป็นดังนี้…เรื่องที่เขาร่วมมือกับกระดาษรูปมนุษย์ก็จะไม่ได้มีความหมายอันใดไปด้วย ดังนั้นเขาจึงได้พยายามสุดความสามารถเพื่อจะได้ตักตวงผลประโยชน์ให้มากขึ้นไปอีก สิ่งที่ชายหนุ่มพูดทำให้กระดาษรูปมนุษย์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แม้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่เขาก็ยอมรับว่าสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดมีเหตุผลจริงๆ
เมื่อผ่านไปพักหนึ่ง กระดาษรูปมนุษย์ก็ถอนหายใจอีกหน
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว เอาเถิด ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาพิเศษในการหลอมอาวุธให้เจ้า มันมีนามว่า ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’!”
…………………………………………………
[1] ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ เป็นสำนวน หมายถึงการยักยอก ยักย้ายถ่ายเทของของผู้อื่นมาเป็นของตน
[2] จับปลายามน้ำขุ่น เปรียบเปรยว่า ตักตวงผลประโยชน์ในยามที่กำลังวุ่นวาย