หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงมองผู้ฝึกตนหนุ่มหน้าตาไม่เอาไหนโค้งตัวมอบไม้กลองในมือให้แก่แม่นางกระพรวน แววหม่นหมองฉายเข้ามาในส่วนลึกของดวงตาเขา
ชั่วพริบตานั้นมีภาพความทรงจำตอนหนึ่ง และ…คนผู้หนึ่งในช่วงความทรงจำนั้นก็ลอยขึ้นมาในหัวเขา!
“เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า?” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ทันใดนั้นเองเขาก็นึกได้ว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่ตนเองมีนั้นมาจากที่ใด เพราะถ้าลองย้อนกลับไปคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว มีบางส่วนที่แม่นางกระพรวนผู้นี้ดูคล้ายกับฮูหยินอ๋องจันทรารัตติกาลแห่งวังเต๋าไพศาลเมื่อหลายปีก่อนนั้นอย่างมากทีเดียว
แต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ไม่เหมือนกัน คนแรกนั้นมีร่องรอยที่ชัดเจนเกินไป อีกทั้งในครั้งนั้นเวทเมล็ดพันธุ์ดาราของฮูหยินอ๋องจันทรารัตติกาลก็แทบจะไร้รูปร่าง และสามารถแทนลิขิตสวรรค์ได้!
ในขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจดจ้องอยู่ทางนี้ ไม้กลองในมือพวกเขาทั้งสิบคนก็เปล่งรัศมีออกมา สัมผัสได้ถึงพลังที่เริ่มส่งออกมา นั่นแสดงว่าการทดสอบคราวนี้ยุติลงแล้ว และบ่งบอกว่าในที่สุดพวกเขาทั้งสิบคนก็ได้รับสิทธิ์แห่งโชคอย่างแท้จริงแล้ว!
ส่วนที่ว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถเดินไปถึงจุดใด จะได้อยู่ในดาวพระเคราะห์ระดับใด ก็ต้องแล้วแต่วาสนาของพวกเขาแต่ละคนแล้ว!
ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้ไม่อาจคว้าไม้กลองมาได้ แต่พวกเขาก็ได้รู้ว่าวาสนาแห่งโชค ณ สุสานดวงดาราใช่ว่าจะได้มาอย่างง่ายดายเพียงนั้น ในการมาคราวนี้ พวกเขาได้พยายามไขว่คว้าแล้ว ต่อให้ล้มเหลว อย่างน้อยๆ ยามพวกเขากลับไปยังสำนักและตระกูลของแต่ละคน ก็ยังคงได้รับดวงดาราอมตะหนึ่งดวงเพื่อเป็นฐานให้แก่ระดับดาวพระเคราะห์
ดังนั้น ความรู้สึกที่ลอยขึ้นมาในจิตใจของทุกคนซึ่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จึงกำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้าครอบคลุมโลกทั้งโลก และระหว่างที่เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา ร่างที่ปรากฏอยู่ที่นี้จึงค่อยๆ เลือนรางและหายวับไปในที่สุด
พริบตาต่อมา เมื่อภาพตรงหน้าของทุกคนแจ่มชัดขึ้นครั้ง พวกเขาก็ออกมาจากสนามทดสอบแล้ว กลายเป็นภาพภายในพื้นที่ของสมาคมซึ่งจักรวรรดิดาวตกตระเตรียมไว้ให้พวกเขา และทุกคนถึงกับ…ไปอยู่ในภายในห้องพักของตนเอง
ราวกับว่าพวกเขาอยู่ภายในห้องที่แต่ละคนเคยอยู่เมื่อสิบกว่าวันก่อนในระหว่างที่รอการทดสอบด่านแรก ดูคล้ายว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย เหมือนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
หวังเป่าเล่อเองก็ยังต้องนิ่งเหม่อไป เขามองดูไม้กลองในมือ แล้วรีบกวาดตามองห้องที่คุ้นเคยไปโดยรอบ ก่อนจะก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บ เมื่อพบว่าผลึกสีชาดที่บรรจุอยู่ภายในมิได้น้อยลงแต่อย่างใด จึงค่อยโล่งใจได้จริงๆ
ในเวลาเดียวกัน เสียงของกระดาษรูปมนุษย์ที่เคยดังขึ้นก่อนการทดสอบแต่ละครั้งก็ยังดังก้องขึ้นมาในหัวของทุกคนในตอนนี้ด้วย
“ขอแสดงความยินดีกับสหายน้อยจากต่างแดนทั้งสิบคนที่คว้าไม้กลองน้อมดารามาได้ พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัวเจ็ดวัน เจ็ดวันให้หลัง…จักรวรรดิดาวตกของเราจะจัดพิธีกราบไหว้สวรรค์ ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่พวกเจ้าเฝ้าคอยจะได้…ลั่นกลองสู่สวรรค์เพื่อน้อมนำเอาดวงดารามา!”
เมื่อได้ยินคำ ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันส่องประกายแวววาว ใจก็เต้นตูมตามขึ้นมา เพราะเขารู้ดีว่าหากไม่มีสิ่งใดผิดไปจากนี้ ตนเองก็ต้องได้ก้าวย่างเข้าไปในระดับดาวพระเคราะห์เป็นแน่แท้!
“ดาวพระเคราะห์ของข้า จะเป็นระดับใดกันหนอ…” หวังเป่าเล่อตั้งตารอ เขาตั้งเป้าหมายให้ตนเองว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นระดับดาราอมตะ ถ้าเป็นดาราพิเศษได้ก็ดีที่สุด!”
“ต่อให้ต้องทุ่มสุดตัว ก็ต้องเอามาให้ได้!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หลับตาลงแล้วเริ่มนั่งสมาธิ
ตามแผนการที่เขาวางไว้ เขาไม่คิดจะออกไปข้างนอกในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ เพื่อให้ตนเองได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดและเยี่ยมยอดที่สุด ในยามที่ต้องไปพบกับโชควาสนาแห่งดาวพระเคราะห์ในคราวนี้
ในเวลาเดียวกัน ในอวกาศอันไร้ขอบเขต ข้างนอกสุสานดวงดาราซึ่งที่อยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น ดวงดาวขนาดมหึมาที่สร้างจากเหล็กกล้าดวงหนึ่งซึ่งเปี่ยมด้วยรัศมีแสนทรงพลังอันน่าตื่นตะลึง ก็กำลังคำรามร้องและมุ่งหน้าเดินทางไปในอวกาศ
มองเห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนมากกำลังทำงานกันวุ่นวายอยู่บนดาวเหล็กกล้านี้ บางคราวยังได้ยินเสียงคล้ายสัตว์กำลังร้องคำรามดังออกมาจากดาวดวงนี้ด้วย หากมองดูไกลๆ ดาวเหล็กกล้าดวงนี้ดูเหมือนกับเตาหลอมขนาดมหึมาเตาหนึ่ง
ผู้ฝึกตนแต่ละคนบนนั้นก็เป็นเหมือนกับทหารช่าง ที่ยังคงทำงานเพื่อให้ดาวเหล็กกล้านี้ยังคงโคจรต่อไปได้ จึงเป็นเหตุให้เสียงดังโครมครามและเสียงคำรามของสัตว์ยังคงดังอยู่เช่นนั้นไม่ขาดสาย
ผู้ฝึกตนที่เดินทางบนอวกาศและผ่านมาทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังปราณในระดับใด หรือต่อให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับดารานิรันดร์ เมื่อมองเห็นดาวเหล็กกล้าดวงนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไป ทั้งยังพากันก้มหัวและหลีกทางให้
นั่นก็เพราะดาวเหล็กกล้าชนิดนี้…ก็คือ…พาหนะพิเศษของคนตระกูลเซี่ย ซึ่งต้องเป็นผู้มีพลังปราณในระดับดารานิรันดร์เป็นอย่างต่ำจึงจะครอบครองมันได้!
ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลพานิช ไม่เพียงมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในสำนักเสริมแห่งเต๋าฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่ยังมีการจัดการบริหารของตนเอง นอกจากของบางส่วนที่ซื้อหาจากภายนอกแล้ว พวกเขาก็ยังมีของที่ผลิตและขายเองอีกด้วย ฉะนั้นในหลายๆ แง่มุมจึงสามารถมองได้ว่าดาวเหล็กกล้านี้เป็นโรงงานขนาดมหึมา และมีวัตถุเวทผลิตออกมาจากภายในอยู่ทุกเวลาทุกวินาที
ภายในดาวเหล็กกล้าในเวลานี้ ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้ามอมแมมเต็มทน ทั้งยังปล่อยผมยาว กำลังถือม้วนหนังสือหยกม้วนหนึ่ง และตะเบ็งเสียงตะโกนอยู่ไม่หยุด
“เตาอบหมายเลขสาม พวกเจ้าไม่ได้กินข้าวมารึไง รีบทำงานให้เต็มกำลังเดี๋ยวนี้!”
“อ่างหลอมหมายเลขเก้า พะๆๆ…พวกเจ้ามันเป็นสวะทั้งสิ้น รีบปิดสิ!!”
“แล้วยังเรื่องจำนวนของหินทองอีก ข้าบอกพวกเจ้าแล้วอย่างไรว่า ต้องมีเก็บไว้เพียงพอ สวะๆๆ!!”
ดวงตาของชายวัยกลางคนผู้นี้เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับการออกคำสั่งจนไม่ลืมหูลืมตา ทำให้มีเสียงดังลั่นออกมาจากการขับเคลื่อนระบบต่างๆ ของดาวเหล็กกล้าไปตามวิธีที่เขาคิด
ทว่าตรงหน้าเขานั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอ่อนระโหยโรยแรงอยู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เขามองไปยังชายวัยกลางคน อยากจะเอ่ยปากอยู่หลายครั้งหลายหนแต่ก็ยั้งเอาไว้ และถูกชายวัยกลางคนมองผ่านทุกครั้งไป
สุดท้ายเส้นเลือดที่ขมับของเด็กหนุ่มก็พองขึ้นมา คล้ายว่าเขาเหลืออดแล้ว เขาจึงลุกพรวดขึ้นแล้วพุ่งตรงไปข้างกายของชายวัยกลางคน พร้อมกับดึงม้วนหนังสือหยกจากมือของเขาออกแล้วโยนลงบนพื้นอย่างเต็มแรง ก่อนจะตะโกนลั่นออกมา
“ท่านเซี่ย! ประมุข!! นายท่าน!! ท่านฟังข้าสักคำได้หรือไม่!!”
“กระต่ายน้อยลูกข้า ข้าเป็นบิดาเจ้า ไม่ใช่นายท่านของเจ้า เจ้ามาเรียกข้าว่านายท่านนี่หมายความว่าอย่างไร!” ชายวัยกลางคนถลึงตาจดจ้องไปยังเด็กหนุ่ม
“หากท่านยอมฟังข้าสักคำ จะให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่ก็ยังได้…” เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว จับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แล้วรีบเอ่ยไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ เฉินชิงกำลังจะพ้นจากพันธนาการแล้ว เหตุใดท่านไม่ร้อนใจเลยเล่า ด้วยนิสัยไร้เหตุผลของเฉินชิง พอเขาออกมาได้ก็ต้องมาหาท่านแน่ ถึงยามนั้นประมุขผู้เฒ่าต้องไม่มีทางไปขัดแย้งกับเฉินชิงเพราะท่านแน่นอน…”
“จนป่านนี้แล้ว เจ้าก็ยังเอาแต่คิดเรื่องวัตถุเวทอยู่อีก!!”
เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเซี่ยไห่หยาง ส่วนชายวัยกลางคนผู้นั้นย่อมต้องคือบิดาของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดอย่างร้อนอกร้อนใจของเซี่ยไห่หยาง คิ้วของชายวัยกลางคนก็เลิกขึ้นทันใด
“กลัวแล้วมีประโยชน์ใด? อีกอย่าง ก็มิใช่ว่ามีเจ้าที่ร้อนใจอยู่แล้วรึ เจ้าร้อนใจอยู่ก็พอแล้ว อย่างไรชีวิตข้าซึ่งเป็นบิดาของเจ้าก็อยู่ในกำมือเจ้า เจ้ามีปัญญาก็จัดการเอาเอง ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องยอมจำนนแล้ว!” พอพูดจบ ชายวัยกลางคนก็เอื้อมมือขวาไปหยิบม้วนหนังสือหยกที่เซี่ยไห่หยางเขวี้ยงลงพื้นขึ้นมา เขากำลังจะออกคำสั่งต่อ เซี่ยไห่หยางก็ร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านเซี่ย! ท่านเป็นบิดาข้านะ ข้าไม่ใช่บิดาท่าน ละๆๆ…แล้วเหตุใดท่านถึงเอาแต่มาพึ่งข้าเล่า เช่นนี้พวกเราก็สลับตำแหน่งกันแล้วน่ะสิ!”
“แล้วจะให้ทำเช่นใด? จัดการไม่ได้ก็รีบไปเสีย อยู่นี่ไปก็รกหูรกตา หลายปีมานี้ข้าคิดมาตลอด ว่าถ้าครานั้นไม่ใช่ว่าแม่เจ้าฉวยโอกาสเข้าหาตอนที่ข้ากำลังอ่อนล้าจากการหลอมวัตถุเวทล่ะก็ ข้าอยู่ตัวคนเดียวจะดีเพียงใด” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเหลืออด ถลึงตากลับใส่เซี่ยไห่หยางเช่นกัน
“ทะ…ท่าน…” เซี่ยไห่หยางได้ยินคำก็บัลดาลโทสะจนแทบกระอักเลือดสดออกมา ว่าแล้วสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินจากไป
ชายวัยกลางคนมองตาหลังเซี่ยไห่หยางด้วยแววตาอ่อนโยน คล้ายลอบถอนใจเบาๆ อยู่ในใจ แต่ยังไม่ทันเก็บซ่อนความอ่อนโยนในสายตากลับไป จู่ๆ เซี่ยไห่หยาง ก็หันหน้ากลับมา สองพ่อลูกจึงบังเอิญสบตากันคราวหนึ่ง
“ท่านเซี่ย รักษาตัวด้วย!”
“รีบไสหัวไป!”
เซี่ยไห่หยางสูดหายใจลึก ครานี้เขามิได้หันกลับมาอีก เขาออกจากศูนย์บังคับการของดาวเหล็กกล้าด้วยแววตามุ่งมั่น แล้วคว้าเอาหนังสือหยกไปหนึ่งม้วน ปรับสภาพจิตใจพักหนึ่ง แล้วลองเปล่งเสียงอาๆ สองสามหน เพื่อปรับเสียงของตนให้ฟังดูแล้วมีความร้อนใจแต่เยือกเย็น ทั้งมีความมั่นคงหนักแน่น ว่าแล้วจึงส่งเสียงออกไป
“ผู้อาวุโสแห่งไฟ…ผู้น้อยคือเซี่ยไห่หยาง ท่านผู้อาวุโสอยู่หรือไม่ขอรับ?”
“คือว่า…ขออภัยที่มารบกวนท่าน เรื่องที่ข้าขอร้องคราก่อน มิทราบว่าผู้อาวุโสคิดเห็นเป็นเช่นใดขอรับ?”
“ผู้อาวุโส ท่านต้องการสิ่งใดโปรดบอกมา ขอเพียงผู้น้อยทำได้ก็จะทำอย่างเต็มกำลังขอรับ!!”
พูดจบ เซี่ยไห่หยางก็ใช้ม้วนหนังสือหยกถ่ายทอดคำของตนออกไป เขาเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้นกระสับกระส่าย และต้องรอเป็นเวลาถึงหนึ่งก้านธูป ในขณะที่เขากำลังร้อนใจหนักหนา แต่ยังพยายามข่มใจไม่ให้เอ่ยปากถามอีกเพราะไม่ต้องการจะรบกวนให้มากครั้งอยู่นั้น จู่ๆ ม้วนหนังสือหยกก็มีเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยออกมาอย่างเกียจคร้าน
“เจ้าเซี่ยน้อย แม้อยากจะช่วย แต่เรื่องนี้ข้าก็ไม่อาจช่วยได้ เจ้าเองก็รู้ เฉินชิงผู้นี้หาใช่คนมีเหตุมีผล”
เซี่ยไห่หยางได้ฟังคำพลันรู้สึกคล้ายจะหมดเรี่ยวแรง ดวงดามืดหม่นลงทันใด ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นเพียงผู้เดียวที่เขานึกได้ว่าพอจะสามารถเจรจากับเฉินชิงได้ แต่คำตอบตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของเขาว่างเปล่าลงทันใด ทว่าในขณะที่เขากำลังเคว้งคว้างไร้หนทางอยู่ทางนี้ ก็มีเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟดังออกมาจากม้วนหนังสือหยกอีกครั้ง
“แต่ว่า…”
…………………………………………………………