หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 958 ถูกถอดสิทธิ์

“น่าสนใจ…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วหรี่ตา มองหวังเป่าเล่อที่กำลังกักตัวอยู่ อาศัยจากพลังฝึกปรือของเขายังมองไม่ออกถึงแนวโน้มเท่าไหร่ ขณะเดียวกันตัวเขาเองกลับเริ่มคาดหวังอย่างมากต่อพิธีน้อมดาราสู่สวรรค์ในอีกหลายวันให้หลัง

เขาอยากจะรู้นักว่า ในวันพิธีบูชาฟ้านี้ สุดท้ายใครจะได้รับความชมชอบจากดาวเคราะห์เต๋าแสนทะนงดวงนั้น แล้วยิ่งอยากทราบไปอีกว่า หลังดาวเคราะห์เต๋ามีนายแล้ว หวังเป่าเล่อผู้นี้จะมีการบ่มเพาะโชควาสนาเช่นไร

หลังมีความคิดเช่นนี้แล้ว กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็ถอนสายตาไป เงาร่างค่อยๆ เดินลัดหายไปในห้องใต้หลังคา จากนั้นเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ทั้งจักรวรรดิดาวตกนั้นกำลังจัดเตรียมพิธีบูชาฟ้า ในเวลาเดียวกัน จำนวนของกระดาษรูปมนุษย์ที่พบว่าโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนั้นก็มากขึ้นทุกที

แต่ไหนแต่ไรมา ที่จักรวรรดิดาวตกนั้นมีแต่บรรยากาศเย็นเยียบกระจายอยู่ทั่วร่างของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ มีกระดาษรูปมนุษย์จำนวนน้อยนักที่ทราบว่าสภาพการณ์เช่นนี้เริ่มเป็นมาตั้งแต่ตอนไหน สำหรับพวกเขาส่วนใหญ่แล้ว โลกก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่พวกเขารู้ความ

มีเพียงผู้มีอำนาจบางส่วนเท่านั้น ที่คิดย้อนไปถึงสภาพก่อนหน้าของจักรวรรดิดาวตกได้เป็นบางครั้ง และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทราบว่า ความรู้สึกเย็นเยียบนี้ ได้บังเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในช่วงเวลาอันยาวนานหลายปีก่อนหน้า

และทั้งหมดนี้ เป็นเพราะทะเลกระดาษสีดำ!

แต่หลายวันมานี้…อย่าว่าแต่เหล่าใต้เท้าผู้มีอำนาจทั้งหลายเลย ต่อให้เป็นกระดาษรูปมนุษยธรรมดาล้วนสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง กลิ่นอายอ้างว้างเย็นเยียบหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความอบอุ่นของลมฤดูใบไม้ผลิที่กระจายอาบไปทั้งหัวใจของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ กระทั่งว่าผืนดินและแผ่นฟ้า ต่างก็แปลกออกไปโดยใช้คำพูดบรรยายไม่ได้

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด กลับเป็นเหล่านกในทะเลกระดาษดำพวกนั้น แม้ว่าคลื่นยักษ์ซัดโหมจะเป็นเหตุให้ทะเลกระดาษสีดำเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้ว แต่มองไปก็ยังดูล้ำลึกดุจเดิม ตาเนื้อไม่อาจแยกแยะภาพได้ชัดเจน แต่กับพวกนกเหล่านี้ กลับไม่ได้อยู่ในสภาวะถูกกัดกร่อนอีกต่อไปแล้ว พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุด สีสันของพวกมันนั้นแปรผันทุกวัน สลัดลอกไม่หยุด และห้าวันให้หลังก็กลับเป็นสีขาวปลอดโดยสิ้นเชิง

เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่พบเห็นพวกมันโผบินอยู่เหนือท้องฟ้า ล้วนแต่ใจเต้นสั่นระรัว

ดังนั้นแล้วในระหว่างการเตรียมพิธีบูชาฟ้าหลายวันนี้ กระดาษรูปมนุษย์ที่เข้าร่วมทุกตน ล้วนแต่ยินดีปรีดา นำพาหัวใจอันซาบซึ้ง มโหรีอึกทึกครึกโครม ในเวลาเดียวกัน สำหรับหญิงสวมหน้ากากและเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ นั้น หลายวันมานี้พวกเขาล้วนแต่ทุ่มเทให้การตั้งมั่นในสมาธิ

หากดาวเคราะห์เต๋าไม่ปรากฏมาก็ช่างเถิด หรือหากปรากฏแต่ไม่มีชะตาต้องกับพวกเขาก็แล้วไป พวกเขาก็จะไม่มีอาการเช่นนี้เลย แต่ว่าในสถานการณ์เบื้องหน้าเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อน ย่อมเตรียมการไว้พร้อม ยอมแลกทุกสิ่งในวันพิธีบูชาฟ้าเท่านั้น!

สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้สำคัญเท่าชีวิต ดังนั้นกระทั่งตัวชายหนุ่มผู้งามสง่าจากสำนักเต๋าที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายก็ยังตั้งใจยิ่งยวด เขาพยายามผลักให้ตนเองอยู่ในสภาวะที่พร้อมที่สุด ดันพลังให้สูงอีกขั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หากเขาสามารถชิงดาวเคราะห์เต๋ามาเพิ่มขอบข่ายสสารดาราของตนได้ ขอเพียงไม่ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร อนาคตย่อมกลายเป็นผู้มากบารมีในจักรพิภพได้แน่นอน ส่วนเรื่องโชคร้ายทำนองว่าต้องอายุสั้นนั้น บางทีคนอื่นๆ อาจกังวล แต่สำหรับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มีขุมกำลังเบื้องหลังเช่นพวกเขา สำนักของพวกเขาย่อมทุ่มเทยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนั้นขึ้น

ก็อาจกล่าวได้ว่า…เมื่อใดที่ได้ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้มา ทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร สถานะภาพ ตำแหน่ง หรืออนาคตนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงจากตอนนี้ แม้ตอนนี้สถานภาพจะสูงอยู่แล้วก็ตาม แต่หากได้ดาวเคราะห์เต๋ามาอีก จะยิ่งเหนือชั้นถึงขั้นกลายเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดได้

เพราะว่า…ตั้งแต่โบราณกาลมาจวบจนปัจจุบัน ดาวเคราะห์เต๋าก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ผู้ที่เคยถือครองนั้นคล้ายว่ามีเพียงคนเดียว สำหรับผู้ที่เคยได้รับดาวเคราะห์เต๋านั้นก็คือ….จักรพรรดิเทพของดาราจักรไม่รู้สิ้น และเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเขตแดนดาราจักรไม่รู้สิ้นอีกด้วย คนผู้นี้ก็คือผู้บุกเบิกเผ่าดาราจักรไม่รู้สิ้น ผู้มีนามว่า…เว่ยหยางจื่อ! !

ตำนานเล่าขานว่า ในชั่วศักราชหนึ่ง เขาบุกสังหารผู้อาวุโสสามในเก้ารายของสำนักแห่งความมืดด้วยตัวคนเดียว การทรยศของเฉินชิงจื่อก็มีเขาเป็นผู้วางแผนตั้งแต่ต้นจนจบ เขาถึงขั้นเป็นผู้ฉีกเจตจำนงของสำนักแห่งความมืดออกเป็นชิ้นๆ และสาปแช่งด้วยโลหิตแห่งเต๋าสวรรค์ ผนึกสำนักแห่งความมืด เอาชนะวัฏสงสาร ทำให้หลังเข้าสู่ดาราแล้วเหล่าเซียนไม่ตายไม่สิ้นสูญ ได้ถือครองวิญญาณนิรันดร์ อีกทั้งในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นผู้บุกเบิกศักราชใหม่นี้อีกด้วย!

เมื่อมีบุคคลต้นแบบอยู่ตรงหน้า ดาวเคราะห์เต๋าจึงดูน่าหลงใหลอย่างมาก ยิ่งสำหรับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้วย่อมทราบดีกว่าใคร สำหรับตัวหวังเป่าเล่อเองแม้เขาไม่ทราบเรื่องพวกนี้ แต่ใจเขาก็ทะยานอยากพัฒนาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงปิดด่านเก็บตัวเร่งปรับสภาวะตนเองเช่นกัน

แล้วก็เป็นเช่นนี้ จนเวลาผ่านไปสองวันให้หลัง พิธีบูชาฟ้าก็มาถึง!

เมื่อเวลาเข้าใกล้มา เสียงระฆังจากราชวังก็ดังขึ้น เสียงระฆังนี้จะดังขึ้นทุกหนึ่งก้านธูป ทุกครั้งเสียงก็จะดังกังวานครอบคลุมทั้งแปดทิศของจักรวรรดิดาวตก ทุกคนล้วนได้ยิน

เมื่อยามที่ระฆังดังขึ้นรอบแรก กระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกก็พลันหยุดสิ่งที่ทำอยู่ พวกเขาต่างทยอยมารวมตัวกันที่ราชวังดาวตก แต่เพราะมีจำนวนมากเกินไป จึงได้แค่ออกันอยู่หน้าราชวัง ซึ่งเป็นกระดาษรูปมนุษย์ที่มีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดาทั้งสิ้น แต่ที่มากกว่านั้นก็เป็นเหล่าประชาชนชาวกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งกำลังเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เหล่าผู้สูงศักดิ์ของนครดาวตกได้รับชมพิธีสู่สวรรค์ครั้งนี้

จากนั้นระฆังที่สองก็กังวานไปทั่วทิศอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน หญิงสวมหน้ากากและคนอื่นๆ ก็ออกมายืนนอกห้องรับรอง และมีกระดาษรูปมนุษย์มาคอยดูแลปรนนิบัติแล้ว ไม่นานนัก หญิงสวมหน้ากาก ชายหนุ่มผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำ รวมทั้งแม่นางกระพรวน แม่นางน้อย เกาฉวี่ และเจ้าอ้วนน้อย ทั้งเก้าคนที่เหลือค่อยๆ เดินออกจากที่พัก พวกเขาคำนับให้กระดาษรูปมนุษย์คราหนึ่ง จากนั้นก็เหาะมายังนครดาราโดยมีกระดาษรูปมนุษย์นำทาง

กระบวนการฟังดูเหมือนจะยาวนาน แต่จริงๆ แล้วก็แค่ชั่วระฆังดังสามคราเท่านั้น พวกเขาทั้งเก้าคนก็มาถึงนอกนครดาวตกแล้ว มีพื้นที่หนึ่งถูกจัดเตรียมไว้ก่อนหน้า และจัดสรรให้เหล่ากระดาษรูปมนุษย์มาคอยต้อนรับพวกเขา พวกกระดาษรูปมนุษย์ยืนประจำตำแหน่งอยู่ข้างๆ พวกเขา ทุกตนล้วนมีสีหน้านิ่งสงบ ไม่ขยับกาย

ตามกฎแล้ว พวกกระดาษรูปมนุษย์กำลังรอระฆังครั้งที่สี่ดัง แล้วจึงจะพาเหล่าหมาศิษย์แห่งเต๋าเข้าราชวัง

และในช่วงจังหวะที่รออยู่นี้ พวกเขาทั้งเก้าคนแม้จะมีสีหน้าสงบนิ่งแต่ในใจกลับพุ่งพล่านนัก ใจหนึ่งก็รอคอยโอกาสบ่มเพาะโชคสาวนา ส่วนอีกใจนั้นก็ต่อสู้กับตนเอง และพวกเขานั้นก็ยังมีข้อกังขาเล็กๆ อยู่ นั่นก็คือ…พวกเขาไม่เห็นหวังเป่าเล่อเลย

คำถามเล็กๆ นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากที่พักมา พวกเขาแค่ละคนล้วนชะเง้อมองหา จนกระทั่งมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่เห็นอีกฝ่าย ในใจแต่ละคนล้วนค่อยๆ คาดเดา แต่ก็เป็นแค่บางคนเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยใส่ใจนัก

คนอื่นๆ ที่ว่านี้ย่อมรวมถึงแม่สาวกระพรวน และยังมีหญิงสวมหน้ากาก แม่นางน้อยที่กำลังตามหาท่านอา ทว่าหากเปรียบเทียบกันนั้น รายแรกรู้แล้วก็เพียงแค่ยิ้มเย็น ส่วนอีกสองรายหลังนั้นกลับประหลาดใจ

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ยินดีใจกับคราวเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ คนผู้นี้ก็คือเจ้าอ้วนน้อยที่เคยถูกหวังเป่าเล่อเล่นงานนี่เอง ตัวเขาบากบั่นมาถึงที่นี่ได้ คงต้องกล่าวว่านอกจากพลังฝึกปรือแล้วยังอาศัยโชคอันน่าตะลึงอีกด้วย

ในเวลานี้เจ้าอ้วนน้อยมองซ้ายขวา แล้วอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม

“เจ้าเซี่ยต้าลู่นั่นหลงทางรึ น่าเสียดายนัก จักรวรรดิดาวตกกำชับกฎมาตลอด หากว่าเสียงระฆังรอบที่สี่ดังแล้วเขายังไม่มาล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็หมดสิทธิ์แล้ว”

“ครั้งที่สี่?” แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าก็หันไปมองเจ้าอ้วนน้อยด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มนั้นหวานนัก นางกะพริบตาทีหนึ่งแล้วจึงถามต่อ

“พี่ชายตัวน้อย กฎของระฆังนี้ว่าไว้อย่างไร?”

แม่นางตัวน้อยสะสวยอ่อนหวาน น้ำเสียงนุ่มละมุน แม้เจ้าอ้วนน้อยจะรู้ว่าอีกฝ่ายอันตราย แต่เขาก็กลับรู้สึกสบายใจยิ่งนัก จึงยอมอธิบายโดยดี

“กฎของจักรวรรดิดาวตก ก็คือการจัดเสียงเตือนให้รู้ลำดับ เสียงระฆังครั้งแรกคือการบอกกล่าวฟ้าดิน ว่างานพิธีกำลังจะเริ่มแล้ว เสียงที่สองนั้น ก็คือการอนุญาตให้ทุกผู้คนเข้ามาชมพิธีใกล้ราชวังได้ ส่วนเสียงที่สามนั้นคือการบอกให้จัดเตรียมพิธีให้พร้อม แล้วให้พาเหล่าผู้มีคุณสมบัติเข้าสู่ราชวัง เรียงลำดับไปตามทีละคน ผู้ที่เข้าไปคนสุดท้าย ตำแหน่งก็ยิ่งสูงส่ง”

“อย่างเช่นจักรพรรดิดาวตกนั้น จะมาตอนที่เสียงระฆังดังเป็นครั้งที่เก้า ในส่วนเหล่าราชาใต้บัญชา ก็จะมาในยามที่ระฆังถูกตีแปดครั้ง ยังมีพวกใต้เท้าเหล่านั้นซึ่งจัดเรียงตามลำดับฝึกปรือ แยกออกเป็นครั้งที่เจ็ดและแปดตามลำดับ ส่วนระฆังครั้งที่ห้านั้นกลับเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกเอง”

“อาศัยธรรมเนียมพวกนี้ พวกเราผู้ฝึกตนจากต่างพิภพแม้จะตำแหน่งสูงส่ง แต่ในวันพิธีบูชาฟ้าของจักรวรรดิดาวตก สถานภาพนี้นับว่าไม่สำคัญ เข้าไปได้ตอนเสียงระฆังที่สี่เท่านั้น ดังนั้นแล้ว…หากว่าเซี่ยต้าลู่ไม่เข้าไปในตอนที่ระฆังดังครบสี่ครั้งล่ะก็ เขาก็จะเสียสิทธิ์นี้ เพราะว่าเขาไม่มีสถานะภาพมากพอที่จะก้าวเข้าไปภายใต้เสียงระฆังดังครั้งต่อๆ ไปได้”

เสียงระฆังครั้งที่สี่พลันกังวานขัดขึ้นระหว่างที่เจ้าอ้วนน้อยพูดพอดี มันส่งเสียงดังทั่วฟ้า พื้นดินสะเทือนคราหนึ่ง เบื้องหน้าพวกเขานั้น พลันปรากฏประตูแสงขนาดยักษ์

ในเวลานี้เองเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็พลันเอ่ยปาก

“ขอเชิญสหายเต๋าจากต่างพิภพ เข้าสู่พิธีในราชวัง!”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทั้งเก้าคนก็รีบสำรวมกายใจ เจ้าอ้วนน้อยเองก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แต่ภายในใจกลับลิงโลดดีใจกับคราวซวยของผู้อื่น เขาคิดว่าเซี่ยต้าลู่เอ๋ยเซี่ยต้าลู่ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาสาย แต่ครั้งนี้เจ้าพลาดครั้งใหญ่แล้ว!

คิดถึงตรงนี้ เจ้าอ้วนน้อยก็รู้สึกสาแก่ใจนัก เขารีบเร่งเดินตามคนอื่นๆ เข้าสู่ภายในประตูลำแสงนั้น เงาร่างของเขาถูกลำแสงเรืองรองดูดกลืน และหายไปในทันที!

………………………………………………………….

“น่าสนใจ…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วหรี่ตา มองหวังเป่าเล่อที่กำลังกักตัวอยู่ อาศัยจากพลังฝึกปรือของเขายังมองไม่ออกถึงแนวโน้มเท่าไหร่ ขณะเดียวกันตัวเขาเองกลับเริ่มคาดหวังอย่างมากต่อพิธีน้อมดาราสู่สวรรค์ในอีกหลายวันให้หลัง

เขาอยากจะรู้นักว่า ในวันพิธีบูชาฟ้านี้ สุดท้ายใครจะได้รับความชมชอบจากดาวเคราะห์เต๋าแสนทะนงดวงนั้น แล้วยิ่งอยากทราบไปอีกว่า หลังดาวเคราะห์เต๋ามีนายแล้ว หวังเป่าเล่อผู้นี้จะมีการบ่มเพาะโชควาสนาเช่นไร

หลังมีความคิดเช่นนี้แล้ว กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็ถอนสายตาไป เงาร่างค่อยๆ เดินลัดหายไปในห้องใต้หลังคา จากนั้นเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ทั้งจักรวรรดิดาวตกนั้นกำลังจัดเตรียมพิธีบูชาฟ้า ในเวลาเดียวกัน จำนวนของกระดาษรูปมนุษย์ที่พบว่าโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนั้นก็มากขึ้นทุกที

แต่ไหนแต่ไรมา ที่จักรวรรดิดาวตกนั้นมีแต่บรรยากาศเย็นเยียบกระจายอยู่ทั่วร่างของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ มีกระดาษรูปมนุษย์จำนวนน้อยนักที่ทราบว่าสภาพการณ์เช่นนี้เริ่มเป็นมาตั้งแต่ตอนไหน สำหรับพวกเขาส่วนใหญ่แล้ว โลกก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่พวกเขารู้ความ

มีเพียงผู้มีอำนาจบางส่วนเท่านั้น ที่คิดย้อนไปถึงสภาพก่อนหน้าของจักรวรรดิดาวตกได้เป็นบางครั้ง และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทราบว่า ความรู้สึกเย็นเยียบนี้ ได้บังเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในช่วงเวลาอันยาวนานหลายปีก่อนหน้า

และทั้งหมดนี้ เป็นเพราะทะเลกระดาษสีดำ!

แต่หลายวันมานี้…อย่าว่าแต่เหล่าใต้เท้าผู้มีอำนาจทั้งหลายเลย ต่อให้เป็นกระดาษรูปมนุษยธรรมดาล้วนสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง กลิ่นอายอ้างว้างเย็นเยียบหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความอบอุ่นของลมฤดูใบไม้ผลิที่กระจายอาบไปทั้งหัวใจของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ กระทั่งว่าผืนดินและแผ่นฟ้า ต่างก็แปลกออกไปโดยใช้คำพูดบรรยายไม่ได้

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด กลับเป็นเหล่านกในทะเลกระดาษดำพวกนั้น แม้ว่าคลื่นยักษ์ซัดโหมจะเป็นเหตุให้ทะเลกระดาษสีดำเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้ว แต่มองไปก็ยังดูล้ำลึกดุจเดิม ตาเนื้อไม่อาจแยกแยะภาพได้ชัดเจน แต่กับพวกนกเหล่านี้ กลับไม่ได้อยู่ในสภาวะถูกกัดกร่อนอีกต่อไปแล้ว พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุด สีสันของพวกมันนั้นแปรผันทุกวัน สลัดลอกไม่หยุด และห้าวันให้หลังก็กลับเป็นสีขาวปลอดโดยสิ้นเชิง

เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่พบเห็นพวกมันโผบินอยู่เหนือท้องฟ้า ล้วนแต่ใจเต้นสั่นระรัว

ดังนั้นแล้วในระหว่างการเตรียมพิธีบูชาฟ้าหลายวันนี้ กระดาษรูปมนุษย์ที่เข้าร่วมทุกตน ล้วนแต่ยินดีปรีดา นำพาหัวใจอันซาบซึ้ง มโหรีอึกทึกครึกโครม ในเวลาเดียวกัน สำหรับหญิงสวมหน้ากากและเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ นั้น หลายวันมานี้พวกเขาล้วนแต่ทุ่มเทให้การตั้งมั่นในสมาธิ

หากดาวเคราะห์เต๋าไม่ปรากฏมาก็ช่างเถิด หรือหากปรากฏแต่ไม่มีชะตาต้องกับพวกเขาก็แล้วไป พวกเขาก็จะไม่มีอาการเช่นนี้เลย แต่ว่าในสถานการณ์เบื้องหน้าเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อน ย่อมเตรียมการไว้พร้อม ยอมแลกทุกสิ่งในวันพิธีบูชาฟ้าเท่านั้น!

สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้สำคัญเท่าชีวิต ดังนั้นกระทั่งตัวชายหนุ่มผู้งามสง่าจากสำนักเต๋าที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายก็ยังตั้งใจยิ่งยวด เขาพยายามผลักให้ตนเองอยู่ในสภาวะที่พร้อมที่สุด ดันพลังให้สูงอีกขั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หากเขาสามารถชิงดาวเคราะห์เต๋ามาเพิ่มขอบข่ายสสารดาราของตนได้ ขอเพียงไม่ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร อนาคตย่อมกลายเป็นผู้มากบารมีในจักรพิภพได้แน่นอน ส่วนเรื่องโชคร้ายทำนองว่าต้องอายุสั้นนั้น บางทีคนอื่นๆ อาจกังวล แต่สำหรับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มีขุมกำลังเบื้องหลังเช่นพวกเขา สำนักของพวกเขาย่อมทุ่มเทยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนั้นขึ้น

ก็อาจกล่าวได้ว่า…เมื่อใดที่ได้ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้มา ทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร สถานะภาพ ตำแหน่ง หรืออนาคตนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงจากตอนนี้ แม้ตอนนี้สถานภาพจะสูงอยู่แล้วก็ตาม แต่หากได้ดาวเคราะห์เต๋ามาอีก จะยิ่งเหนือชั้นถึงขั้นกลายเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดได้

เพราะว่า…ตั้งแต่โบราณกาลมาจวบจนปัจจุบัน ดาวเคราะห์เต๋าก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ผู้ที่เคยถือครองนั้นคล้ายว่ามีเพียงคนเดียว สำหรับผู้ที่เคยได้รับดาวเคราะห์เต๋านั้นก็คือ….จักรพรรดิเทพของดาราจักรไม่รู้สิ้น และเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเขตแดนดาราจักรไม่รู้สิ้นอีกด้วย คนผู้นี้ก็คือผู้บุกเบิกเผ่าดาราจักรไม่รู้สิ้น ผู้มีนามว่า…เว่ยหยางจื่อ! !

ตำนานเล่าขานว่า ในชั่วศักราชหนึ่ง เขาบุกสังหารผู้อาวุโสสามในเก้ารายของสำนักแห่งความมืดด้วยตัวคนเดียว การทรยศของเฉินชิงจื่อก็มีเขาเป็นผู้วางแผนตั้งแต่ต้นจนจบ เขาถึงขั้นเป็นผู้ฉีกเจตจำนงของสำนักแห่งความมืดออกเป็นชิ้นๆ และสาปแช่งด้วยโลหิตแห่งเต๋าสวรรค์ ผนึกสำนักแห่งความมืด เอาชนะวัฏสงสาร ทำให้หลังเข้าสู่ดาราแล้วเหล่าเซียนไม่ตายไม่สิ้นสูญ ได้ถือครองวิญญาณนิรันดร์ อีกทั้งในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นผู้บุกเบิกศักราชใหม่นี้อีกด้วย!

เมื่อมีบุคคลต้นแบบอยู่ตรงหน้า ดาวเคราะห์เต๋าจึงดูน่าหลงใหลอย่างมาก ยิ่งสำหรับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้วย่อมทราบดีกว่าใคร สำหรับตัวหวังเป่าเล่อเองแม้เขาไม่ทราบเรื่องพวกนี้ แต่ใจเขาก็ทะยานอยากพัฒนาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงปิดด่านเก็บตัวเร่งปรับสภาวะตนเองเช่นกัน

แล้วก็เป็นเช่นนี้ จนเวลาผ่านไปสองวันให้หลัง พิธีบูชาฟ้าก็มาถึง!

เมื่อเวลาเข้าใกล้มา เสียงระฆังจากราชวังก็ดังขึ้น เสียงระฆังนี้จะดังขึ้นทุกหนึ่งก้านธูป ทุกครั้งเสียงก็จะดังกังวานครอบคลุมทั้งแปดทิศของจักรวรรดิดาวตก ทุกคนล้วนได้ยิน

เมื่อยามที่ระฆังดังขึ้นรอบแรก กระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกก็พลันหยุดสิ่งที่ทำอยู่ พวกเขาต่างทยอยมารวมตัวกันที่ราชวังดาวตก แต่เพราะมีจำนวนมากเกินไป จึงได้แค่ออกันอยู่หน้าราชวัง ซึ่งเป็นกระดาษรูปมนุษย์ที่มีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดาทั้งสิ้น แต่ที่มากกว่านั้นก็เป็นเหล่าประชาชนชาวกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งกำลังเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เหล่าผู้สูงศักดิ์ของนครดาวตกได้รับชมพิธีสู่สวรรค์ครั้งนี้

จากนั้นระฆังที่สองก็กังวานไปทั่วทิศอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน หญิงสวมหน้ากากและคนอื่นๆ ก็ออกมายืนนอกห้องรับรอง และมีกระดาษรูปมนุษย์มาคอยดูแลปรนนิบัติแล้ว ไม่นานนัก หญิงสวมหน้ากาก ชายหนุ่มผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำ รวมทั้งแม่นางกระพรวน แม่นางน้อย เกาฉวี่ และเจ้าอ้วนน้อย ทั้งเก้าคนที่เหลือค่อยๆ เดินออกจากที่พัก พวกเขาคำนับให้กระดาษรูปมนุษย์คราหนึ่ง จากนั้นก็เหาะมายังนครดาราโดยมีกระดาษรูปมนุษย์นำทาง

กระบวนการฟังดูเหมือนจะยาวนาน แต่จริงๆ แล้วก็แค่ชั่วระฆังดังสามคราเท่านั้น พวกเขาทั้งเก้าคนก็มาถึงนอกนครดาวตกแล้ว มีพื้นที่หนึ่งถูกจัดเตรียมไว้ก่อนหน้า และจัดสรรให้เหล่ากระดาษรูปมนุษย์มาคอยต้อนรับพวกเขา พวกกระดาษรูปมนุษย์ยืนประจำตำแหน่งอยู่ข้างๆ พวกเขา ทุกตนล้วนมีสีหน้านิ่งสงบ ไม่ขยับกาย

ตามกฎแล้ว พวกกระดาษรูปมนุษย์กำลังรอระฆังครั้งที่สี่ดัง แล้วจึงจะพาเหล่าหมาศิษย์แห่งเต๋าเข้าราชวัง

และในช่วงจังหวะที่รออยู่นี้ พวกเขาทั้งเก้าคนแม้จะมีสีหน้าสงบนิ่งแต่ในใจกลับพุ่งพล่านนัก ใจหนึ่งก็รอคอยโอกาสบ่มเพาะโชคสาวนา ส่วนอีกใจนั้นก็ต่อสู้กับตนเอง และพวกเขานั้นก็ยังมีข้อกังขาเล็กๆ อยู่ นั่นก็คือ…พวกเขาไม่เห็นหวังเป่าเล่อเลย

คำถามเล็กๆ นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากที่พักมา พวกเขาแค่ละคนล้วนชะเง้อมองหา จนกระทั่งมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่เห็นอีกฝ่าย ในใจแต่ละคนล้วนค่อยๆ คาดเดา แต่ก็เป็นแค่บางคนเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยใส่ใจนัก

คนอื่นๆ ที่ว่านี้ย่อมรวมถึงแม่สาวกระพรวน และยังมีหญิงสวมหน้ากาก แม่นางน้อยที่กำลังตามหาท่านอา ทว่าหากเปรียบเทียบกันนั้น รายแรกรู้แล้วก็เพียงแค่ยิ้มเย็น ส่วนอีกสองรายหลังนั้นกลับประหลาดใจ

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ยินดีใจกับคราวเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ คนผู้นี้ก็คือเจ้าอ้วนน้อยที่เคยถูกหวังเป่าเล่อเล่นงานนี่เอง ตัวเขาบากบั่นมาถึงที่นี่ได้ คงต้องกล่าวว่านอกจากพลังฝึกปรือแล้วยังอาศัยโชคอันน่าตะลึงอีกด้วย

ในเวลานี้เจ้าอ้วนน้อยมองซ้ายขวา แล้วอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม

“เจ้าเซี่ยต้าลู่นั่นหลงทางรึ น่าเสียดายนัก จักรวรรดิดาวตกกำชับกฎมาตลอด หากว่าเสียงระฆังรอบที่สี่ดังแล้วเขายังไม่มาล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็หมดสิทธิ์แล้ว”

“ครั้งที่สี่?” แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าก็หันไปมองเจ้าอ้วนน้อยด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มนั้นหวานนัก นางกะพริบตาทีหนึ่งแล้วจึงถามต่อ

“พี่ชายตัวน้อย กฎของระฆังนี้ว่าไว้อย่างไร?”

แม่นางตัวน้อยสะสวยอ่อนหวาน น้ำเสียงนุ่มละมุน แม้เจ้าอ้วนน้อยจะรู้ว่าอีกฝ่ายอันตราย แต่เขาก็กลับรู้สึกสบายใจยิ่งนัก จึงยอมอธิบายโดยดี

“กฎของจักรวรรดิดาวตก ก็คือการจัดเสียงเตือนให้รู้ลำดับ เสียงระฆังครั้งแรกคือการบอกกล่าวฟ้าดิน ว่างานพิธีกำลังจะเริ่มแล้ว เสียงที่สองนั้น ก็คือการอนุญาตให้ทุกผู้คนเข้ามาชมพิธีใกล้ราชวังได้ ส่วนเสียงที่สามนั้นคือการบอกให้จัดเตรียมพิธีให้พร้อม แล้วให้พาเหล่าผู้มีคุณสมบัติเข้าสู่ราชวัง เรียงลำดับไปตามทีละคน ผู้ที่เข้าไปคนสุดท้าย ตำแหน่งก็ยิ่งสูงส่ง”

“อย่างเช่นจักรพรรดิดาวตกนั้น จะมาตอนที่เสียงระฆังดังเป็นครั้งที่เก้า ในส่วนเหล่าราชาใต้บัญชา ก็จะมาในยามที่ระฆังถูกตีแปดครั้ง ยังมีพวกใต้เท้าเหล่านั้นซึ่งจัดเรียงตามลำดับฝึกปรือ แยกออกเป็นครั้งที่เจ็ดและแปดตามลำดับ ส่วนระฆังครั้งที่ห้านั้นกลับเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกเอง”

“อาศัยธรรมเนียมพวกนี้ พวกเราผู้ฝึกตนจากต่างพิภพแม้จะตำแหน่งสูงส่ง แต่ในวันพิธีบูชาฟ้าของจักรวรรดิดาวตก สถานภาพนี้นับว่าไม่สำคัญ เข้าไปได้ตอนเสียงระฆังที่สี่เท่านั้น ดังนั้นแล้ว…หากว่าเซี่ยต้าลู่ไม่เข้าไปในตอนที่ระฆังดังครบสี่ครั้งล่ะก็ เขาก็จะเสียสิทธิ์นี้ เพราะว่าเขาไม่มีสถานะภาพมากพอที่จะก้าวเข้าไปภายใต้เสียงระฆังดังครั้งต่อๆ ไปได้”

เสียงระฆังครั้งที่สี่พลันกังวานขัดขึ้นระหว่างที่เจ้าอ้วนน้อยพูดพอดี มันส่งเสียงดังทั่วฟ้า พื้นดินสะเทือนคราหนึ่ง เบื้องหน้าพวกเขานั้น พลันปรากฏประตูแสงขนาดยักษ์

ในเวลานี้เองเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็พลันเอ่ยปาก

“ขอเชิญสหายเต๋าจากต่างพิภพ เข้าสู่พิธีในราชวัง!”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทั้งเก้าคนก็รีบสำรวมกายใจ เจ้าอ้วนน้อยเองก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แต่ภายในใจกลับลิงโลดดีใจกับคราวซวยของผู้อื่น เขาคิดว่าเซี่ยต้าลู่เอ๋ยเซี่ยต้าลู่ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาสาย แต่ครั้งนี้เจ้าพลาดครั้งใหญ่แล้ว!

คิดถึงตรงนี้ เจ้าอ้วนน้อยก็รู้สึกสาแก่ใจนัก เขารีบเร่งเดินตามคนอื่นๆ เข้าสู่ภายในประตูลำแสงนั้น เงาร่างของเขาถูกลำแสงเรืองรองดูดกลืน และหายไปในทันที!

………………………………………………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset