หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 961 ดาวเคราะห์ระดับเก้า!

เมื่อกล่าวจบ เจ้าอ้วนน้อยก็เหาะเข้าหากลองสู่สวรรค์ภายในชั่วพริบตา ท่ามกลางสายตานับหมื่นรวมถึงหวังเป่าเล่อซึ่งจ้องเขม็งไปทางนั้น เจ้าอ้วนน้อยพลันยกมือขวาขึ้น เรียกเอาไม้กลองน้อมดาราออกมา จากนั้นก็กระโจนสูงขึ้นไปประมาณร้อยจั้งทางด้านหลังของตัวกลอง แล้วตีลงไปทันทีด้วยความรุนแรง!

ตึง!

น้ำเสียงหนักอึ้ง พริบตานั้นฟ้าดินสะเทือน น้ำเสียงอันหนักหน่วงนี้สะเทือนขวัญผู้คน มันดังสะท้อนไปมาหลายครั้ง และทำให้จิตใจของเหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากกระเพื่อมไหวตาม ไม่เว้นแม้แต่หวังเป่าเล่อเอง ในเวลาเพียงช่วงลมหายใจหนึ่ง เขาก็มองเห็นทะเลเมฆบังเกิดบนท้องฟ้า จากฟ้ากระจ่างใสในยามกลางวันกลายเป็นผืนราตรีมืดมิดอย่างรวดเร็ว!

“การตีกลองครั้งที่หนึ่ง แทนเสียงเบิกฟ้า เตรียมเพื่อให้สวรรค์จัดฉากขับเน้นแสงของเหล่าดาราให้ชัดเจน” เมื่อสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังเพ่งมองท้องฟ้า กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็เอ่ยปากอธิบาย

ในพริบตาที่เขาเอ่ยนั้น เจ้าอ้วนน้อยก็ตะโกนคราหนึ่ง พลางสะบัดไม้กลองในมือ จากนั้นตีลงไปเป็นครั้งที่สอง เกิดเป็นเสียงดังก้องกังวานอีกครั้ง

หลังสิ้นเสียงนี้ พริบตานั้นท้องฟ้าก็เผยแสงดวงดาวระยิบระยับส่องประกาย เหล่าดวงดาวนับไม่ถ้วนเหล่านี้หากเทียบขนาดกับผืนฟ้าแล้ว อาจถือว่ามีจำนวนน้อยนัก จนกระทั่งว่าอาจมีจำนวนแค่หนึ่งในหมื่นส่วนของนภา ดวงดาวที่ปรากฏนั้นก็ค่อนข้างอับแสง ดูๆ ไปแล้วเหมือนพวกมันเป็นแค่ดาวเคราะห์ธรรมดา!

“เสียงกลองในครั้งที่สอง จะเริ่มฉายให้เห็นเหล่าดาราที่ถูกเชิญมา ยิ่งเสียงกลองดังในครั้งต่อๆ ไป ดวงดาราก็จะยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น และเมื่อปล่อยให้ดำเนินขั้นตอนไป ก็มีโอกาสที่ดาวเคราะห์วิญญาณและดาวเคราะห์อมตะจะปรากฎโฉม และหากผู้ใดสามารถตีได้ถึงเจ็ดครั้ง ก็นับว่าผู้นั้นมีคุณสมบัติในการน้อมดาวเคราะห์พิเศษแล้ว กฎนี้จะเป็นเช่นเดียวกันจนถึงขั้นตอนหลังๆ นั่นคือ…ยิ่งตีกลองได้มากเท่าไหร่ โอกาสในการน้อมดาวเคราะห์พิเศษก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ!”

“ตามบันทึกแห่งจักรวรรดิดาวตกของข้า หากว่าผู้ใดสามารถตีกลองได้มากกว่าสิบครั้ง ผู้นั้นก็นับว่าได้รับสิทธิ์ในการน้อมดาวเคราะห์เต๋าแล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสสำเร็จที่ว่านั้นก็ต่ำนัก…” จักรพรรดิดาวตกอธิบายให้หวังเป่าเล่อฟัง เพื่อให้เขาเข้าใจทุกขั้นตอนก่อนจะเริ่มเคาะกลองสู่สวรรค์

ในยามนี้ ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ตื่นเต้นเต็มที่ เขาหันหน้าไปคารวะจักรพรรดิดาวตก ในเวลาเดียวกันก็เห็นเจ้าอ้วนน้อยตรงนั้นตีกลองครั้งที่สาม ต่อด้วยครั้งที่สี่

ในส่วนของดวงดาวบนท้องฟ้านั้น ยามนี้พวกมันทวีจำนวนมากขึ้น ตั้งแต่ครั้งที่สามก็มองเห็นแสงดาราระยิบระยับจับทั่วฟ้า เมื่อมาถึงครั้งที่สี่ แสงดารายิ่งพราวจรัส หากว่านำพวกมันมาหลอมจำนวนรวมกัน เกรงว่าน่าจะนับจำนวนได้เทียบเท่าสองเขตจักรพิภพของทั้งจักรวาลแล้ว ในเวลาเดียวกัน แสงของเหล่าแสงดารานี้ต่างก็ดูแตกต่างไปจากปกติอยู่บ้าง

หากมองไปจะพบว่าเหล่าดาวที่ส่องสว่างนั้น ต่างมิใช่ดาวเคราะห์ธรรมดา แต่ถึงกับเป็นดาวเคราะห์วิญญาณ พร้อมกันนี้ ในยามที่เจ้าอ้วนน้อยตีกลองเป็นครั้งที่สี่ ท่ามกลางแสงดาวเหล่านั้น ก็พลันปรากฏแสงที่ส่องสว่างกว่าแสงดาราที่อยู่ตรงนั้นทั้งปวง และดาวดวงนั้นก็คือ ดาวเคราะห์…อมตะ!

เมื่อมองเห็นภาพนี้ แววตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกายประหลาด ดาวนั่นคือเป้าหมายแรกสุดของเขา ดาวเคราะห์อมตะ ตอนนี้พอได้มองเห็นมันแล้วในใจเขาก็สั่นสะท้าน แต่แรงสะท้านในตอนนี้ส่วนมากมาจากความทะเยอทะยานของเขา

“ไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนน้อยจะน้อมดาราพิเศษได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ ขณะเดียวกันตรงลานนอกราชวัง ไม่สิ กระทั่งทั่วทั้งราชอาณาจักรดาวตกนี้ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาตรงนี้ทั้งสิ้น ภายหลังเจ้าอ้วนน้อยเคาะกลองครั้งที่สี่ ในหมู่ผู้เฝ้าดูก็เริ่มมีคนกระซิบกระซาบกัน ทุกคนต่างคาดเดากันไปว่าดาวเคราะห์พิเศษจะปรากฎตัวในรอบนี้หรือไม่

กระทั่งตัวของเจ้าอ้วนน้อยเองก็ตื่นเต้นเป็นที่สุดเหมือนกัน มากไปกว่านั้นคือเขากระวนกระวาย หลังจากตีกลองไปแล้วสี่ครั้ง ตัวเขาก็เริ่มสัมผัสถึงความลำบาก ยามที่ตีครั้งแรกก็ยังดีอยู่หรอก แต่พอมาครั้งที่สี่ ตัวเขาเหมือนกับใช้พลังฝึกปรือที่มีทั้งหมดไปสิ้น ตอนนี้พลังภายในร่างว่างเปล่าแล้ว

ทว่า ในเมื่อเขากล้าขอตีกลองเป็นคนแรก เช่นนั้นก็ย่อมต้องเตรียมตัวมาดี พลันเขาก็โห่ร้องเสียงก้องพลางยกมือขวาขึ้นลูบหยกพกที่ห้อยอยู่ตรงคอของเขา จากนั้นก็บีบมันอย่างแรงทำให้ตัวหยกแตกออก ทันใดนั้น หยกพกชิ้นนั้นก็กลายเป็นหมอกกลุ่มหนึ่งปกคลุมร่างของเขา ท่ามกลางหมอกนี้ เจ้าอ้วนน้อยระเบิดพลังปราณอย่างรุนแรง เขาหยิบไม้กลองขึ้นเพื่อตีลงไปอีกครั้ง

ครั้งที่ห้า!

ท้องฟ้าสั่นสะท้าน แสงแห่งดวงดาวบีบอัดเป็นธาราแสงดาว มองไปตอนนี้จะเห็นว่าจำนวนแห่งดวงดาวมีมากมายจนไม่อาจนับได้ จำนวนของมันแทบจะครองพื้นที่ท้องฟ้าไปถึงสามส่วน และท่ามกลางบรรยากาศอันตระการตา ดวงดาวยอมปรากฎออกมามากขึ้นนี้ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ยังไม่เห็นดาวเคราะห์พิเศษเลยสักนิด

กลับกัน หลังจากที่หมอกรอบตัวของเจ้าอ้วนน้อยหายไปสิ้นแล้ว ร่างกายของเขาก็พลันโอนเอนใกล้จะล้ม สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับว่านี่คือสุดขีดจำกัดของเขาแล้ว

“หมอนี่อ่อนแอขนาดนี้เชียว?” หวังเป่าเล่อเห็นฉากนี้เข้าก็กังขา

“ไม่ใช่อ่อนแอหรอก แต่ระดับความยากของการตีกลองนั้น ยิ่งยากจะทานทนมากขึ้นในครั้งหลังๆ สหายน้อย ท่านทราบหรือไม่ว่าหลายปีมานี้ จำนวนครั้งของการตีกลองที่มากที่สุดในจักรวรรดิดาวตกเรา คือจำนวนกี่ครั้ง?” จักรพรรดิดาวตกมองหวังเป่าเล่อ หลังจากเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าแล้ว เขาก็ค่อยๆ เอ่ยปาก

“สิบครั้ง!” ระหว่างที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกเอ่ยปาก เจ้าอ้วนน้อยก็ตะโกนขึ้นมาเสียงแหลม เขาตัดสินใจใช้วิชาเร้นลับบนร่าง ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากล้ามเนื้อของเขาหดลีบด้วยความรวดเร็ว จากนั้นเพียงชั่วกระพริบตา ทั้งร่างของเขาก็เหมือนกลายเป็นโครงกระดูกโครงหนึ่ง นี่ก็คือค่าตอบแทนสำหรับการตีกลองครั้งที่หกของเขา

หลังจากสิ้นเสียงตีกลองนี้ แสงดาวที่ส่องมาจากท้องฟ้าก็ยิ่งทวีความเจิดจ้า ตอนนี้จำนวนดวงดาวกินพื้นที่ประมาณหกส่วนบนฟากฟ้าแล้ว และจะเห็นได้ว่าดาวดวงสุดท้ายที่ปรากฏออกมานั้นมีส่องสว่างยิ่งกว่าดาราใดๆ!

“ดาวเคราะห์พิเศษ!!”

เสียงฮือฮานั้นดังมาจากทั้งสี่ทิศ เหล่าหญิงสวมหน้ากากเองก็เผยแววตาประหลาด เจ้าอ้วนน้อยเองเหมือนฝืนจนเกินกำลัง ยามนี้เขากระอักเลือดออกมา ทั้งร่างทรุดฮวบ ส่วนมือของเขาไม่เหลือแรงกระทั่งจะถือไม้กลองอีกต่อไป ตัวไม้กลองสลายไปในพริบตา แปรเป็นลำแสงหนึ่งแล้วอันตรธานไป

และในเวลานี้เอง ดาวเคราะห์พิเศษที่ปรากฏออกมา ก็พลันเปล่งแสงเรืองรอง น้อมนำดาราทั้งหลายส่งเข้าประคองร่างของเจ้าอ้วนน้อย โอบร่างที่หมดสติของเขาไว้ จากนั้นก็พาขึ้นท้องฟ้า สุดท้ายแล้วในยามที่หายวับไปจากสายตาผู้คน ดวงดาวที่เหลืออยู่เต็มท้องฟ้าเองก็พลันหายไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงดาวเคราะห์พิเศษดวงนั้นที่ยังประดับอยู่บนฟากฟ้า และหากเพ่งให้ละเอียดลงไป จะเห็นว่าภายในนั้นเหมือนจะมีเจ้าอ้วนน้อยอยู่ด้วย!

“เจ้าอ้วนถึงกับหลอมรวมกับดาวเคราะห์พิเศษได้!” หวังเป่าเล่อลมหายใจกระชั้น ดวงตาแฝงความปรารถนา เขารู้สึกว่าหากอีกฝ่ายเองก็ทำสำเร็จ เช่นนั้นสำหรับตนเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา

“หนุ่มน้อยคนนี้ดวงดีไม่เลว ถึงแม้ว่านี่จะเป็นดาวเคราะห์พิเศษระดับต่ำที่สุด แต่ก็นับว่าเขาได้รับการยอมรับแล้ว นี่เป็นโอกาสบ่มเพาะของเขา” จักรพรรดิแห่งดาวตกค่อยๆ เอ่ยปาก หลังจากนั้นก็มองหวังเป่าเล่อแล้วกล่าวต่อ

“หลักเกณฑ์ลับๆ ของดาวเคราะห์พิเศษ ปกติพวกมันจะแบ่งเป็นทั้งหมดเก้าระดับ แม้ความแตกต่างของระดับที่หนึ่งจะห่างจากดาวเคราะห์เต๋าถึงระหว่างฟ้าและดิน แต่ในบางโอกาสที่เหมาะสมซึ่งน้อยอย่างยิ่ง พวกมันเองก็อาจจะพัฒนาไปเป็นดาวเคราะห์เต๋าได้ เพียงแต่ว่าโอกาสที่ว่านี้น้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก”

“ส่วนที่สหายน้อยท่านนั้นได้หลอมรวม ก็คือดาวเคราะห์พิเศษระดับเก้าล่าง เมื่อเทียบกับระดับหนึ่งก็เป็นคนละเรื่องกันไปเลย ข้าเรียกพวกระดับหนึ่งเหล่านี้ว่า…ดาวเคราะห์บรรพกาล พวกมันคือดาวเคราะห์ที่ล้มเหลวจากการเลื่อนเป็นดาวเคราะห์เต๋าแต่ไม่เคยตัดใจ ในระยะเวลาที่ผ่านมาพวกมันคิดวางแผนเลื่อนระดับตนเองตลอดมา…พวกนี้ก็คือดาวเคราะห์บรรพกาล ในจักรวรรดิดาวตกของเรา นับตั้งแต่โบราณมา มีดาวเคราะห์ประเภทอยู่เก้าดวง”

“ระดับที่เก้าล่าง? ดาวเคราะห์บรรพกาลระดับที่หนึ่ง” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย กำลังคิดอยากถามอีกฝ่ายให้ละเอียด ในเวลานี้เอง ถัดจากเจ้าอ้วนก็ถึงคราวมหาศิษย์แห่งเต๋าจากต่างพิภพรายที่สอง ซึ่งทะยานขึ้นไปยังกลองสู่สวรรค์

รายที่สองนี้ก็คือหญิงสวมหน้ากาก การปรากฏกายของนางดึงดูดหวังเป่าเล่อนัก จริงๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ต่อสู้ได้เก่งกาจ ถือว่าเป็นไม่กี่คนที่ถือครองพลังระดับสูงสุดในการแข่งครั้งนี้ และนางดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มผู้สง่างามและคนอื่นๆ ที่เหลือด้วยเช่นกัน

หากเทียบกับกระบวนท่าเยอะแยะของเจ้าอ้วนน้อยแล้ว ตัวนางแค่เดินเข้าใกล้กลอง จากนั้นเรียกไม้กลองมาถือแล้วลงมือตีรวดเดียวห้าครั้งถ้วน!

บนท้องฟ้านั้น ธาราดวงดาวที่หายไปพลันกลับมาปรากฏอีกครั้งในทันที ในยามนี้ หวังเป่าเล่อย่อมไม่อาจเห็นใบหน้าที่สดใสภายใต้หน้ากากของนางได้ เพราะบรรยากาศรอบตัวของนางดูสุขุมยิ่ง นางเริ่มตีครั้งที่หก และครั้งที่เจ็ด!

ในสองครั้งให้หลังนั้น เกิดลมพายุหมุนคว้างกลางท้องฟ้า แสงจากดาราท่วมท้นไปถึงเจ็ดส่วนของนภา อีกทั้งมีจำนวนดวงดาวไม่น้อยที่เป็นดาวเคราะห์พิเศษอีกด้วย ในบรรดานั้น มีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งสาดแสงเรืองรองอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าไม่ใช่ชั้นเก้าล่าง แต่ว่าเป็นถึงดาวเคราะห์พิเศษระดับกลาง

“ระดับที่สี่กลาง!” จักรพรรดิดาวตกที่อยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ในยามนี้ดวงตาทอประกายชื่นชม เขาค่อยๆ กล่าว

“เป้าหมายของนาง เกรงว่าจะไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาพึมพำ ในเวลาเดียวกัน หญิงสวมหน้ากาก็ตีกลองครั้งที่แปด แต่ราวกับว่านี่ถึงขีดจำกัดของนางแล้ว หลังจากตีครั้งที่แปดไปแล้วนั้น ร่างกายของนางก็สั่นเทาอย่างชัดเจน พลังปราณอ่อนล้า

ในเวลาเดียวกันบนท้องฟ้าก็ทอแสงเจิดจ้า ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างถึงแปดส่วนของท้องฟ้า จำนวนของดวงดาวในตอนนี้ น่าจะมากถึงขั้นร้อยล้านดวงเห็นจะได้ พวกมันทอแสงกะพริบเต็มไปหมด คำว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้านี้อาจยังไม่เหมาะจะใช้ก็บรรยายฉากนี้ด้วยซ้ำ

ในหมู่ดาราเหล่านี้ จะเห็นแสงแห่งดวงดาวที่ส่องสว่างเป็นพิเศษอยู่สามดวง ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อไม่มีแสงใดที่ส่องสว่างแรงกล้ากว่านั้น แสงของดวงดาวทั้งสามนี้ก็สาดส่องไปทั้งแปดทิศ

“ดาวเคราะห์พิเศษระดับสองบน หากว่าสามารถเคาะได้อีกครั้ง นางก็จะได้รับสิทธิ์น้อมดาราระดับสองบนทั้งหมด กระทั่งบางทีอาจยังมีโอกาสได้สัมผัสดาวดวงนั้น…ดาวเคราะห์พิเศษระดับที่หนึ่ง!” ดวงตาของจักรพรรดิแห่งดาวตกทอประกายประหลาด เอ่ยเสียงเบา

“น่าเสียดาย นางคงถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้ยืมแรงจากภายนอก ก็น่าจะตีต่อไม่ไหว”

………………………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset