หวังเป่าเล่อที่ใช้เต๋าสาบานของตนเสริมพลังให้เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลกลายเป็นดาวเคราะห์เต๋านั้น ภายในพลังงานดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็มีพลังแห่งคำสาบานด้วยเช่นกัน ในระดับหนึ่งคำพูดของเขาดูสมเหตุสมผล แม้ว่ากริชเหาะเหินสีแดงสดเล่มนี้จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังสามารถปิดผนึกได้
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนข้อตกลงระหว่างกริชเหาะเหินกับสหพันธรัฐในตอนนั้น และยังใช้พลังของตนเพื่อทำให้เกิดการควบแน่นอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการมอบชะตาให้กริชเหาะเหินเล่มนี้ ทำให้ถึงแม้ในแง่ของระดับมันจะยังเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ในแง่ของอานุภาพนั้น เนื่องจากหวังเป่าเล่อมีความเกี่ยวโยงบางอย่างกับมัน เขาจึงใช้พลังของตนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
ในเวลานี้หลังจากได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ กริชเหาะเหินสีแดงเล่มนี้ก็สั่นสะท้านพร้อมกับระเบิดพลังออกมาราวกับตอบสนอง จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นเครื่องประดับติดผมสีแดงและเสียบเข้าไปในกลุ่มผมของหวังเป่าเล่อ ผมของเขาม้วนเป็นเกลียวทำให้ตอนนี้หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นผู้อมตะ
เขาไม่ได้หันไปมองทำเนียบที่พังทลายหรือศพที่อยู่บนพื้น แต่เดินกลางอากาศจากไปทีละก้าว ในซากปรักหักพังที่อยู่เบื้องหลัง คนที่ไม่ได้อยู่ในสี่ตระกูลใหญ่ค่อยๆ ตื่นขึ้น พวกเขามองซากปรักหักพังรอบๆ อย่างงุนงง และเห็นร่างของหวังเป่าเล่ออยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เห็น…รปปั้นนับร้อยพวกนั้นคุกเข่าลงจากที่เคยยืนอยู่
ณ เวลานี้ พระอาทิตย์กำลังตกดิน
ลำแสงแห่งพลบค่ำบนร่างหวังเป่าเล่อราวกับอาภรณ์สีทองที่ไร้รูปร่าง ขณะที่เดินไปไกลเรื่อยๆ ในบรรดาผู้ฝึกตนที่ตื่นขึ้นนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เริ่มคุกเข่าให้หวังเป่าเล่อ และในไม่ช้าคนที่ตื่นขึ้นมาทุกคนก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
หวังเป่าเล่อเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
สถานที่ชุมนุมของกลุ่มนภาห้าสมัยไม่ได้กระจัดกระจาย แต่รวมอยู่ที่เดียวกัน และไม่เหมือนกับในความทรงจำของหวังเป่าเล่อในตอนนั้นอีกแล้ว ที่นั่นกลายเป็นเมืองอย่างสมบูรณ์แล้ว!
เมืองนี้มีขนาดใหญ่มากเท่ากับนครศักดิ์สิทธิ์สามนคร อีกทั้งภายในเมืองนอกจากกลุ่มนภาห้าสมัยแล้วยังมีผู้ฝึกตนสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณา เห็นได้ชัดว่าสองสำนักนี้ก็เกิดการแตกแยกภายในและเปลี่ยนการปกครองเช่นกัน คนส่วนหนึ่งติดตามหลี่ซิงเหวินไปดาวอังคาร ส่วนที่เหลือก็เข้าร่วมกับกลุ่มนภาห้าสมัย
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อ เมื่อร่างของเขาปรากฏตัวอยู่เหนือเมืองของกลุ่มนภาห้าสมัย ความโกรธจากก้นบึ้งหัวใจก็แผ่ซ่านจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆดำก่อตัวขึ้นปกคลุมทั่วทั้งเมือง
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของเมฆดำและพลังยับยั้งที่แผ่ซ่านนั้น ผู้คนในเมืองที่ไม่ใช่สายเลือดกลุ่มนภาห้าสมัยมองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงมันแม้แต่น้อย มีเพียงคนของกลุ่มนภาห้าสมัยเท่านั้นที่เห็นทุกอย่างด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ทำเนียบก็ถูกส่งไปยังคนระดับสูงของกลุ่มนภาห้าสมัยแล้ว ทำให้หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสในกลุ่มนภาห้าสมัยต่างตกตะลึง จิตใจปั่นป่วน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“พวกเราไปยั่วยุผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”
“รีบไปรายงานผู้อาวุโสสำนักวังเต๋า!!”
ยามที่เหล่าบุคคลระดับสูงและหัวหน้าตระกูลของกลุ่มนภาห้าสมัยตื่นตระหนกถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศเพ่งมองคนของกลุ่มนภาห้าสมัยในเมืองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ
“หลี่!”
กลุ่มนภาห้าสมัย หลี่คือตระกูลแรก!
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป ภายในห้องประชุมของกลุ่มนภาห้าสมัย ขณะที่ทุกคนกำลังวิตกกังวลและหวาดกลัวอยู่นั้น หัวหน้าตระกูลหลี่คนปัจจุบันและผู้อาวุโสของตระกูลอีกสามคนข้างกายต่างตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกกว้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างกายก็เหี่ยวแห้งราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลม ฉับพลันก็กลายเป็นความว่างเปล่าราวกับถูกกำจัดทั้งร่างกายและวิญญาณออกไป!
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสที่ถือสันโดษอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหลี่รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุดและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งหมดในวินาทีนี้ได้สิ้นชีพในพริบตา
สุดท้ายหวังเป่าเล่อ…ก็ไม่ได้รีบร้อนจะเอาชีวิตของแค่วิญญาณจุติ แต่ถึงกระนั้นสำหรับผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลของอีกสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังคงตื่นตระหนกสุดขีด ความหวาดกลัวในสายตาแต่ละคนไม่อาจบรรยายได้แล้ว พวกเขากำลังเฝ้าดูผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลเฉินกำลังตายไปต่อหน้าต่อตา!
“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต!”
“ผู้อาวุโส ตระกูลหลี่ทำผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า!”
“ผู้อาวุโส กลุ่มนภาห้าสมัยของเราพึ่งพาผู้อาวุโสเต๋อหยุนจื่อ…”
อีกสี่ตระกูลใหญ่เหาะขึ้นไปในอากาศด้วยความกลัว และตรงไปยังศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยเมฆดำไร้ที่สิ้นสุดบนท้องฟ้า ก่อนจะคุกเข่าลงอ้อนวอนหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่นั่น
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดและไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร มีเพียงหัวหน้าตระกูลจั่วหรือพ่อของจั่วอี้ฟานและจั่วอี้เซียนเท่านั้นที่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อแล้วรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่หัวใจที่สั่นไหวทำให้เขาไม่สามารถค้นหาที่มาของความคุ้นเคยนี้ได้ทันที ขณะที่เขากำลังประมวลผล หวังเป่าเล่อก็เอ่ยชื่อที่สอง
“เฉิน!”
ทันทีที่เอ่ยออกไป ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ที่คุกเข่าอ้อนวอนหวังเป่าเล่ออยู่นั้น หัวหน้าตระกูลเฉินรวมถึงผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณของตระกูลทุกคนก็ตัวสั่นไหวรุนแรง ตาเบิกกว้างและร่างสลายไปในพริบตา!
ภาพนี้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นรุนแรงแก่ตระกูลจั่วและตระกูลที่เหลือจนหลุดเสียงคร่ำครวญ โดยเฉพาะหัวหน้าตระกูลจั่วที่ตัวสั่นอยู่ในขณะนี้ ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นแผ่ซ่าน และในที่สุดก็ค้นพบที่มาพร้อมกับเบิกตากว้าง เขาไม่อาจระงับเสียงอุทานของตนได้เลย
“เจ้า…เจ้าคือ…หวัง เป่าเล่อ!!”
ทันทีที่หัวหน้าตระกูลจั่วเอ่ยออกมา ผู้อาวุโสตระกูลอื่นรวมถึงคนในตระกูลของเขาต่างชะงักไปชั่วขณะ ตามมาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แม้ก่อนที่หวังเป่าเล่อจากไปเขาจะถึงขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว และยังทำได้เป็นคนแรก แต่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปีอีกฝ่ายก็มาถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้แล้ว พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลย
“หวังเป่าเล่อ!” หัวหน้าตระกูลโจวใจสั่นไหว ลมหายใจถี่กระชั้นและกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่คือตัวอักษร ‘โจว’ ที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส
วินาทีต่อมาหัวหน้าทั้งสองตระกูลรวมถึงผู้อาวุโสของตระกูลก็กลายเป็นความว่างเปล่าและสิ้นชีพไป ส่วนตระกูลจั่วนั้น ผู้อาวุโสทุกคนต่างหนีกระเจิงไปทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะรู้ว่าหนีไม่พ้น แต่ก็ยังทำเช่นนั้นตามสัญชาตญาณ มีเพียงหัวหน้าตระกูลจั่วเท่านั้นที่หัวเราะอย่างน่าสมเพช ทันทีที่เขาจำหวังเป่าเล่อได้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าตระกูลจั่ว…จบสิ้นแล้ว
เพราะการตามล่าพ่อแม่ของหวังเป่าเล่อในตอนนั้นเป็นคำสั่งของเขาเอง เพื่อระบายความโกรธที่สะสมอยู่ในใจเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์หนุนหลัง แต่เรื่องนี้ในวินาทีนี้ได้เรียกความตายมาสู่ตระกูลแล้ว
“ทำไมดาวพระเคราะห์ของสำนักวังเต๋าไพศาลถึงไม่มา!”
“ข้าไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่ทำไมเขาไม่มา!!” หัวหน้าตระกูลจั่วกรีดร้องอยู่ในใจและรีบพูดอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มน่าสมเพช
“หวังเป่าเล่อ เห็นแก่มิตรภาพของอี้ฟาน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นพ่อของเขา…”
หวังเปาเล่อเงียบ จั่วอี้ฟานอยู่ที่ไหน เขาเคยถามเจ้าเยี่ยเหมิงแล้วแต่อีกฝ่ายไม่รู้ หลังจากในหัวปรากฏภาพของเขา หวังเป่าเล่อก็เงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“จั่ว!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ร่างหัวหน้าตระกูลจั่วก็สั่นเทิ้ม ฉับพลันเลือดก็ไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ด เส้นผมกลายเป็นสีขาว ฐานการฝึกฝนพลันตกฮวบจากขั้นจุติวิญญาณชั้นมหาวัฏจักรเป็นขั้นกำเนิดแก่นใน และตกลงไปถึงขั้นรากฐานตั้งมั่น จากนั้นก็แตกสลายจนกลายเป็นคนธรรมดา ก่อนจะกระอักเลือดออกมาและร่างกายล้มลง
ยกเว้นหัวหน้าตระกูลจั่ว เหล่าผู้อาวุโสที่แตกกระเจิงไปพวกนั้นต่างตัวสั่นเทิ้มและแตกสลายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
“ชีวิตของเจ้า ข้าจะให้อี้ฟานมารับด้วยตนเอง” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสงบนิ่ง เขาไม่สนใจหัวหน้าตระกูลจั่วที่ถูกทำลายฐานการฝึกฝน แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จิตสังหารในดวงตาไม่ได้ลดน้อยลง กลับกันมันยิ่งเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“ดูพอหรือยัง พิจารณาพอหรือยัง”
ขณะที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกไป จู่ๆ ท้องฟ้าก็เกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว จากนั้นเส้นไหมนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากอากาศและพัดรัดเข้าด้วยกันจนก่อตัวเป็นร่างชายชราคนหนึ่ง
ชายชราผู้นี้มีสีหน้าน่าเกลียด ดวงตาคม เขาสวมเสื้อคลุมเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล มีกระบี่เหาะเหินห้าเล่มแผ่ปราณกระบี่อันแหลมคมอยู่ด้านหลัง ขณะนี้เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อเขม็ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งช้าๆ
“เจ้าหนุ่ม การเลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าแนะนำว่า…เจ้าอย่าหยิ่งผยองให้มากเกินไปนัก มิเช่นนั้น…เมื่อถูกปราบแล้วเจ้าจะเสียใจ!”
……………………………………………………………….
หวังเป่าเล่อที่ใช้เต๋าสาบานของตนเสริมพลังให้เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลกลายเป็นดาวเคราะห์เต๋านั้น ภายในพลังงานดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็มีพลังแห่งคำสาบานด้วยเช่นกัน ในระดับหนึ่งคำพูดของเขาดูสมเหตุสมผล แม้ว่ากริชเหาะเหินสีแดงสดเล่มนี้จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังสามารถปิดผนึกได้
ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนข้อตกลงระหว่างกริชเหาะเหินกับสหพันธรัฐในตอนนั้น และยังใช้พลังของตนเพื่อทำให้เกิดการควบแน่นอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการมอบชะตาให้กริชเหาะเหินเล่มนี้ ทำให้ถึงแม้ในแง่ของระดับมันจะยังเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ในแง่ของอานุภาพนั้น เนื่องจากหวังเป่าเล่อมีความเกี่ยวโยงบางอย่างกับมัน เขาจึงใช้พลังของตนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น
ในเวลานี้หลังจากได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ กริชเหาะเหินสีแดงเล่มนี้ก็สั่นสะท้านพร้อมกับระเบิดพลังออกมาราวกับตอบสนอง จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นเครื่องประดับติดผมสีแดงและเสียบเข้าไปในกลุ่มผมของหวังเป่าเล่อ ผมของเขาม้วนเป็นเกลียวทำให้ตอนนี้หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นผู้อมตะ
เขาไม่ได้หันไปมองทำเนียบที่พังทลายหรือศพที่อยู่บนพื้น แต่เดินกลางอากาศจากไปทีละก้าว ในซากปรักหักพังที่อยู่เบื้องหลัง คนที่ไม่ได้อยู่ในสี่ตระกูลใหญ่ค่อยๆ ตื่นขึ้น พวกเขามองซากปรักหักพังรอบๆ อย่างงุนงง และเห็นร่างของหวังเป่าเล่ออยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เห็น…รปปั้นนับร้อยพวกนั้นคุกเข่าลงจากที่เคยยืนอยู่
ณ เวลานี้ พระอาทิตย์กำลังตกดิน
ลำแสงแห่งพลบค่ำบนร่างหวังเป่าเล่อราวกับอาภรณ์สีทองที่ไร้รูปร่าง ขณะที่เดินไปไกลเรื่อยๆ ในบรรดาผู้ฝึกตนที่ตื่นขึ้นนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เริ่มคุกเข่าให้หวังเป่าเล่อ และในไม่ช้าคนที่ตื่นขึ้นมาทุกคนก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ
หวังเป่าเล่อเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
สถานที่ชุมนุมของกลุ่มนภาห้าสมัยไม่ได้กระจัดกระจาย แต่รวมอยู่ที่เดียวกัน และไม่เหมือนกับในความทรงจำของหวังเป่าเล่อในตอนนั้นอีกแล้ว ที่นั่นกลายเป็นเมืองอย่างสมบูรณ์แล้ว!
เมืองนี้มีขนาดใหญ่มากเท่ากับนครศักดิ์สิทธิ์สามนคร อีกทั้งภายในเมืองนอกจากกลุ่มนภาห้าสมัยแล้วยังมีผู้ฝึกตนสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณา เห็นได้ชัดว่าสองสำนักนี้ก็เกิดการแตกแยกภายในและเปลี่ยนการปกครองเช่นกัน คนส่วนหนึ่งติดตามหลี่ซิงเหวินไปดาวอังคาร ส่วนที่เหลือก็เข้าร่วมกับกลุ่มนภาห้าสมัย
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อ เมื่อร่างของเขาปรากฏตัวอยู่เหนือเมืองของกลุ่มนภาห้าสมัย ความโกรธจากก้นบึ้งหัวใจก็แผ่ซ่านจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆดำก่อตัวขึ้นปกคลุมทั่วทั้งเมือง
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของเมฆดำและพลังยับยั้งที่แผ่ซ่านนั้น ผู้คนในเมืองที่ไม่ใช่สายเลือดกลุ่มนภาห้าสมัยมองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงมันแม้แต่น้อย มีเพียงคนของกลุ่มนภาห้าสมัยเท่านั้นที่เห็นทุกอย่างด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ทำเนียบก็ถูกส่งไปยังคนระดับสูงของกลุ่มนภาห้าสมัยแล้ว ทำให้หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสในกลุ่มนภาห้าสมัยต่างตกตะลึง จิตใจปั่นป่วน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
“พวกเราไปยั่วยุผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”
“รีบไปรายงานผู้อาวุโสสำนักวังเต๋า!!”
ยามที่เหล่าบุคคลระดับสูงและหัวหน้าตระกูลของกลุ่มนภาห้าสมัยตื่นตระหนกถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศเพ่งมองคนของกลุ่มนภาห้าสมัยในเมืองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ
“หลี่!”
กลุ่มนภาห้าสมัย หลี่คือตระกูลแรก!
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป ภายในห้องประชุมของกลุ่มนภาห้าสมัย ขณะที่ทุกคนกำลังวิตกกังวลและหวาดกลัวอยู่นั้น หัวหน้าตระกูลหลี่คนปัจจุบันและผู้อาวุโสของตระกูลอีกสามคนข้างกายต่างตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกกว้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างกายก็เหี่ยวแห้งราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลม ฉับพลันก็กลายเป็นความว่างเปล่าราวกับถูกกำจัดทั้งร่างกายและวิญญาณออกไป!
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสที่ถือสันโดษอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหลี่รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุดและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งหมดในวินาทีนี้ได้สิ้นชีพในพริบตา
สุดท้ายหวังเป่าเล่อ…ก็ไม่ได้รีบร้อนจะเอาชีวิตของแค่วิญญาณจุติ แต่ถึงกระนั้นสำหรับผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลของอีกสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังคงตื่นตระหนกสุดขีด ความหวาดกลัวในสายตาแต่ละคนไม่อาจบรรยายได้แล้ว พวกเขากำลังเฝ้าดูผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลเฉินกำลังตายไปต่อหน้าต่อตา!
“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต!”
“ผู้อาวุโส ตระกูลหลี่ทำผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า!”
“ผู้อาวุโส กลุ่มนภาห้าสมัยของเราพึ่งพาผู้อาวุโสเต๋อหยุนจื่อ…”
อีกสี่ตระกูลใหญ่เหาะขึ้นไปในอากาศด้วยความกลัว และตรงไปยังศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยเมฆดำไร้ที่สิ้นสุดบนท้องฟ้า ก่อนจะคุกเข่าลงอ้อนวอนหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่นั่น
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดและไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร มีเพียงหัวหน้าตระกูลจั่วหรือพ่อของจั่วอี้ฟานและจั่วอี้เซียนเท่านั้นที่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อแล้วรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่หัวใจที่สั่นไหวทำให้เขาไม่สามารถค้นหาที่มาของความคุ้นเคยนี้ได้ทันที ขณะที่เขากำลังประมวลผล หวังเป่าเล่อก็เอ่ยชื่อที่สอง
“เฉิน!”
ทันทีที่เอ่ยออกไป ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ที่คุกเข่าอ้อนวอนหวังเป่าเล่ออยู่นั้น หัวหน้าตระกูลเฉินรวมถึงผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณของตระกูลทุกคนก็ตัวสั่นไหวรุนแรง ตาเบิกกว้างและร่างสลายไปในพริบตา!
ภาพนี้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นรุนแรงแก่ตระกูลจั่วและตระกูลที่เหลือจนหลุดเสียงคร่ำครวญ โดยเฉพาะหัวหน้าตระกูลจั่วที่ตัวสั่นอยู่ในขณะนี้ ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นแผ่ซ่าน และในที่สุดก็ค้นพบที่มาพร้อมกับเบิกตากว้าง เขาไม่อาจระงับเสียงอุทานของตนได้เลย
“เจ้า…เจ้าคือ…หวัง เป่าเล่อ!!”
ทันทีที่หัวหน้าตระกูลจั่วเอ่ยออกมา ผู้อาวุโสตระกูลอื่นรวมถึงคนในตระกูลของเขาต่างชะงักไปชั่วขณะ ตามมาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แม้ก่อนที่หวังเป่าเล่อจากไปเขาจะถึงขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว และยังทำได้เป็นคนแรก แต่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปีอีกฝ่ายก็มาถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้แล้ว พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลย
“หวังเป่าเล่อ!” หัวหน้าตระกูลโจวใจสั่นไหว ลมหายใจถี่กระชั้นและกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่คือตัวอักษร ‘โจว’ ที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส
วินาทีต่อมาหัวหน้าทั้งสองตระกูลรวมถึงผู้อาวุโสของตระกูลก็กลายเป็นความว่างเปล่าและสิ้นชีพไป ส่วนตระกูลจั่วนั้น ผู้อาวุโสทุกคนต่างหนีกระเจิงไปทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง
แม้จะรู้ว่าหนีไม่พ้น แต่ก็ยังทำเช่นนั้นตามสัญชาตญาณ มีเพียงหัวหน้าตระกูลจั่วเท่านั้นที่หัวเราะอย่างน่าสมเพช ทันทีที่เขาจำหวังเป่าเล่อได้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าตระกูลจั่ว…จบสิ้นแล้ว
เพราะการตามล่าพ่อแม่ของหวังเป่าเล่อในตอนนั้นเป็นคำสั่งของเขาเอง เพื่อระบายความโกรธที่สะสมอยู่ในใจเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์หนุนหลัง แต่เรื่องนี้ในวินาทีนี้ได้เรียกความตายมาสู่ตระกูลแล้ว
“ทำไมดาวพระเคราะห์ของสำนักวังเต๋าไพศาลถึงไม่มา!”
“ข้าไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่ทำไมเขาไม่มา!!” หัวหน้าตระกูลจั่วกรีดร้องอยู่ในใจและรีบพูดอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มน่าสมเพช
“หวังเป่าเล่อ เห็นแก่มิตรภาพของอี้ฟาน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นพ่อของเขา…”
หวังเปาเล่อเงียบ จั่วอี้ฟานอยู่ที่ไหน เขาเคยถามเจ้าเยี่ยเหมิงแล้วแต่อีกฝ่ายไม่รู้ หลังจากในหัวปรากฏภาพของเขา หวังเป่าเล่อก็เงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“จั่ว!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ร่างหัวหน้าตระกูลจั่วก็สั่นเทิ้ม ฉับพลันเลือดก็ไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ด เส้นผมกลายเป็นสีขาว ฐานการฝึกฝนพลันตกฮวบจากขั้นจุติวิญญาณชั้นมหาวัฏจักรเป็นขั้นกำเนิดแก่นใน และตกลงไปถึงขั้นรากฐานตั้งมั่น จากนั้นก็แตกสลายจนกลายเป็นคนธรรมดา ก่อนจะกระอักเลือดออกมาและร่างกายล้มลง
ยกเว้นหัวหน้าตระกูลจั่ว เหล่าผู้อาวุโสที่แตกกระเจิงไปพวกนั้นต่างตัวสั่นเทิ้มและแตกสลายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง
“ชีวิตของเจ้า ข้าจะให้อี้ฟานมารับด้วยตนเอง” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสงบนิ่ง เขาไม่สนใจหัวหน้าตระกูลจั่วที่ถูกทำลายฐานการฝึกฝน แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จิตสังหารในดวงตาไม่ได้ลดน้อยลง กลับกันมันยิ่งเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“ดูพอหรือยัง พิจารณาพอหรือยัง”
ขณะที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกไป จู่ๆ ท้องฟ้าก็เกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว จากนั้นเส้นไหมนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากอากาศและพัดรัดเข้าด้วยกันจนก่อตัวเป็นร่างชายชราคนหนึ่ง
ชายชราผู้นี้มีสีหน้าน่าเกลียด ดวงตาคม เขาสวมเสื้อคลุมเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล มีกระบี่เหาะเหินห้าเล่มแผ่ปราณกระบี่อันแหลมคมอยู่ด้านหลัง ขณะนี้เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อเขม็ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งช้าๆ
“เจ้าหนุ่ม การเลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าแนะนำว่า…เจ้าอย่าหยิ่งผยองให้มากเกินไปนัก มิเช่นนั้น…เมื่อถูกปราบแล้วเจ้าจะเสียใจ!”
……………………………………………………………….