“ซากวาฬ วิหาร ทะเลมหานคร?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ยามหวนนึกถึงตำนานบนโลกทั้งหมดที่ตนรู้จัก แม้จะมีการดำรงชีวิตคล้ายกัน ครั้นนำมาเทียบเคียงกันแล้วเขาก็มั่นใจได้ว่าในตำนานเหล่านั้นไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้
ไม่เพียงแต่สหพันธรัฐที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้ แม้กระทั่งตำนานที่สืบทอดมาช้านานก็ไม่มีเช่นกัน
“ชักน่าสนใจแล้วสิ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนร่างจะหายวับไปทันที แล้วมาโผล่ที่บริเวณใต้ท้องทะเลลึกที่มีซากวาฬอยู่ การมองเห็นของเขาพลันมืดมน กลิ่นอายแห่งความตายลอยวนท้องทะเลบริเวณนี้ ประหนึ่งอัดแน่นด้วยพลังกัดกร่อนที่น่าพิศวง
ไม่เพียงแต่สัตว์ทะเลที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ หวังเป่าเล่อที่อยู่ที่นี่ก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อยเช่นกัน ถึงจะรู้ว่าตอนนี้เขาคือร่างอวตาร ทว่าก็ยังอยู่ในระดับของดาวพระเคราะห์ เนื่องจากมีดาวเคราะห์เต๋าอยู่ แม้กระบวนท่าสารัตถะของเขาอาจจะมีพลังการต่อสู้ไม่ดีเท่าร่างต้นแบบ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก
แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายที่ต่ำกว่าดาวเคราะห์อมตะ เขาก็สู้ได้ ถึงกระนั้นเมื่อมาอยู่ที่นี่เขากลับตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่าหากไม่ใช้วิธีการบางอย่าง เกรงว่าหากอยู่ที่นี่เป็นเวลานานร่างต้นแบบจะได้รับความเสียหาย
ดังนั้นแม้ที่นี่จะมีความพิศวง แต่กลับมาพร้อมกับพลังอันน่าอัศจรรย์ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นดาวพระเคราะห์เหมือนๆ กัน ถ้ายังมัวลังเลอยู่แบบนี้ เห็นทีอาจจะพบจุดจบอยู่ที่นี่อย่างน่าคับแค้นใจ
“ซากวาฬ…” หวังเป่าเล่อดวงตาทอแสงวาววับ เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังพลันแปรเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์เต๋า ส่งผลให้แสงเจิดจ้าของดวงดาราอาบไล้อยู่รอบตัวทันที ประหนึ่งคบเพลิงในยามรัตติกาลก็มิปาน วินาทีนั้นท้องทะเลลึกอันมืดสงัดสว่างเรืองรองขึ้นมาทันตา ในเวลาเดียวกันแสงเจิดจ้าจากดวงดาราบนร่างกายก็กระจายสาดส่องทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้หวังเป่าเล่อพิศดูรายละเอียดโครงกระดูกซากวาฬที่อยู่ด้านล่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น!
กระดูกที่เผยให้เห็นทั้งหมดถูกสลักด้วยอักขระ ขณะเดียวกันก็ยังมีแมลงจำนวนมากที่กำลังหลับอยู่ในเนื้อหนังเน่าๆ แมลงแต่ละตัวพวกนั้นดูเหมือนเกิดขึ้นจากกลิ่นอายแห่งความตาย จำนวนของมันมากเสียจน…น่าตกใจพอสมควร
สถานการณ์นี้แทบจะทำให้ดาวพระเคราะห์ส่วนใหญ่สั่นคลอน แม้แต่อัจฉริยะแห่งดาวพระเคราะห์ที่มีกฎหลอมรวมวิญญาณดวงดาราพิเศษ หากมาอยู่ที่นี่ใบหน้าย่อมถอดสีแน่นอน ปฏิกิริยาแรกคือล่าถอยออกจากไป แล้วค่อยมาชั่งน้ำหนักอีกครั้งหลังจากวางแผน
สำหรับหวังเป่าเล่อ มันทำให้สีหน้าของเขาแปลกไปเล็กน้อย แม้ว่าดวงตาจะหรี่ลง แต่ดาวสีดำดวงหนึ่งในเก้าดาวเคราะห์บรรพกาลในเวลานี้กลับแผ่รัศมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลบรัศมีของดาวเคราะห์บรรพกาลดวงอื่น ภายใต้การอำนาจการสั่งการดาวเคราะห์เต๋า ด้านหลังของหวังเป่าเล่อพลันเปล่งแสงออกมา
คำสั่งที่ซ่อนอยู่ของดาวเคราะห์บรรพกาลสีดำดวงนี้คือความตาย!
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่หวังเป่าเล่อคือบุตรแห่งความมืด พลังเทพที่อยู่ในตัวทำให้เขาไม่หวั่นเกรงต่อภูตผีปีศาจตนใด ด้วยสองสิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยังสามารถมองข้ามกลิ่นอายแห่งความตายทั้งหมดได้อยู่ หลังจากกวาดตามองชั่วครู่ ร่างของเขาพลันพุ่งเข้าหาซากวาฬโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงปรี่เข้าไปในช่องว่างระหว่างซี่โครงบนร่างซากวาฬ
ภายในร่างกายของซากวาฬมีของครอบจักรวาล อย่างเช่นเรือรบชีวภาพหนึ่งลำ ในระหว่างขั้นตอนการค้นหาของหวังเป่าเล่อ เขามองเห็นห้องโดยสารหลายๆ ห้อง ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป ส่วนใหญ่จึงทรุดโทรม ภายในห้องโดยสารเหล่านี้เขายังได้พบศพด้วย!
มีศพอยู่มากมาย เกรงว่าจะมีอีกเป็นพันๆ ศพ แม้ร่างกายจะเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาจนไม่อาจมองเห็นสภาพที่สมบูรณ์ได้ แต่โดยทั่วไปก็สามารถมองเห็นได้ว่าพวกมัน…ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเข้าหากัน อ้างอิงตามคำพูดของหลินโยว ถ้าสำนักดาราจันทร์ได้เดินทางออกจากโลก เช่นนั้นก็ควรจะเป็นร่างมนุษย์ถึงจะถูก ทว่าที่นี่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลังจากหวังเป่าเล่อตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ได้หยุดอยู่ในห้องโดยสารแห่งหนึ่ง เขาก้มมองซากศพหนึ่งที่อยู่บนพื้น ครั้นจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงหยุดครุ่นคิด
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ภายในวาฬนี้ได้ตายอย่างเฉียบพลัน…หรืออาจจะหมดแรงต่อต้านกะทันหัน?” ระหว่างที่หวังเล่อเป่ากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ดวงตาก็โชนแสงวูบหนึ่ง พลังบ่มเพาะที่ผันผวนภายในกายปะทุออกแล้วแผ่ซ่านไปรอบๆ ทันที มีเส้นโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนผุดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา วินาทีที่มันปรากฏขึ้นมาก็ได้ห่อหุ้มร่างกายเขาไว้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม กลับสัมผัสได้ถึงพลังบ่มเพาะที่ผันผวนซึ่งแผ่ซ่านอยู่รอบกายของหวังเป่าเล่อ ท่ามกลางการปะทะที่มองไม่เห็น ยังมีเสียงห้ำหั่นดังอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นเส้นโลหิตก็ผุดขึ้นมาจากในตัวของซากวาฬมากยิ่งขึ้น ซ้ำยังพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไป ด้วยประสาทสัมผัสของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ถึงด้านในของเส้นโลหิตที่แปลกประหลาดเหล่านั้น ราวกับประกอบด้วยพลังเทพที่สามารถกักขังชีวิตไว้ได้ หากโดนสัมผัสเข้าเมื่อใดก็จะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทั้งหมด
“กระจอก!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงเยาะเย้ย พลางยกมือขวาขึ้นโดยไม่สนใจต่อเส้นโลหิตผุดออกมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วคว้ามันไว้ทันที จู่ๆ กฎโลหิตก็ทำการก่อตัวเป็นวงแหวนโลหิต ไหลบ่าไปทั่วบริเวณ เส้นโลหิตเหล่านั้นที่กระจายออกมาพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สถานการณ์ราวกับพลิกผัน จบลงด้วยสัญญาณการล่าถอยที่เกิดขึ้น ทว่าระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังเย้ยหยัน ดูเหมือนว่าพวกมันโดนสะกดเอาไว้ทำให้พุ่งเข้ามารวมตัวกันที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันรวมกันอยู่บนฝ่ามือของเขา
เพียงพริบตาเดียว เส้นโลหิตทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดจึงหลอมรวมเป็นลิ่มเลือดอยู่บนฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ ระหว่างที่ลิ่มเลือดกำลังดิ้นอยู่ มันได้กลายเป็นวายร้ายตัวจิ๋วในร่างคน ซ้ำยังดิ้นรนอย่างต่อเนื่องขณะแผดเสียงคำรามอันไร้ค่าใส่หวังเป่าเล่อ ราวกับต้องการโจมตีวิญญาณเทพ
“วิญญาณวุธ?” ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทอย่างหวังเป่าเล่อมองแค่ปราดเดียวก็รู้ที่มาของวายร้ายตัวจิ๋วนี้แล้ว บัดนี้เขาจับวายร้ายตัวจิ๋วสีเลือดด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายกดไปที่ผนังด้านในของซากวาฬพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“กล้าไม่เบานี่ วิญญาณที่ดับสูญและศพที่สิ้นชีพล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า!”
“จงตื่น!”
ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อได้เปล่งออกไป ด้วยการกระจายกําลังคำสั่งของดาวเคราะห์บรรพกาลสีดำ ร่างของซากวาฬที่ตั้งตระหง่านพลันสั่นท้าน พลังแปลกประหลาดจึงแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างของวาฬ ทำให้หลุมดำในดวงตาที่เน่าเปื่อยของมันบังเกิดไฟโลกันตร์โชติช่วง ร่างกายของมันกำลังสั่นระริก เสมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
แม้ว่าร่างครึ่งหนึ่งจะถูกฝังอยู่ใต้โคลน แต่ด้วยชีวิตที่โยนให้ ร่างกายของมันจึงสั่นไหวอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงดังก้องกังวาล ระหว่างที่หางและครีบของมันกวัดแกว่งไปมา ร่างกายส่วนอื่นๆ ก็ดิ้นไปมาจนหลุดออกจากโคลน เผยให้เห็นใต้ท้องของมันที่มีเส้นโลหิตโยงใยกันนับไม่ถ้วน!
อีกทั้งส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของเส้นโลหิต…ด้านล่างสุดของโคลนที่เผยให้เห็นหลุมลึก กลับมีวงแหวนปราณขนาดมหึมาอยู่!
เส้นโลหิตที่อยู่บนวงแหวนปราณเชื่อมต่อกับซากวาฬ ซ้ำยังเชื่อมโยงเข้ากับวายร้ายสีเลือดที่อยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ เหตุการณ์นี้ทำให้วายร้ายตัวจิ๋วที่กำลังดิ้นไปมาและแผดเสียงคำรามเงียบลงไป จากนั้นก็ตัวสั่นขึ้นมา ยามที่หันมองหวังเป่าเล่อสายตาพลันฉาบความตื่นกลัวอย่างไม่อาจควบคุมได้
หวังเป่าเล่อไม่ใยดีความหวาดกลัวของวายร้ายตัวจิ๋ว เขาหายตัวมาโผล่ตรงด้านนอกของซากวาฬ เขาก้มหน้ามองวงแหวนปราณที่อยู่ในโคลนตมก้นทะเล รับรู้ได้ว่าวงแหวนปราณนี้ล้วนมีไว้เคลื่อนย้ายเหมือนกับวงแหวนปราณที่อยู่ในจุดค้นพบทั้งหมดที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ทุกประการ ขณะเดียวกันก็มองออกถึงความแตกต่างของมันด้วย
วงแหวนปราณของจุดค้นพบแห่งอื่นล้วนถูกทิ้งร้าง แม้ว่าจะมีความผันผวนซ่อนอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่ามีอยู่มานานเกินไป หากไม่มีการเพิ่มพลังงานสักหน่อยก็จะไม่สามารถเปิดได้ตลอดเวลา เฉกเช่นแบตเตอรี่ที่อยู่ในสถานะไฟอ่อนกำลัง
ทว่าวงแหวนปราณที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันเปิดใช้งานด้วยสถานะไฟเต็มเปี่ยม ทั้งหมดนี้พลันทำให้หวังเป่าเล่อพอจะคาดเดาคำตอบได้ลางๆ ซากวาฬนั้นเป็นเรือรบชีวภาพ และไม่ใช่ของสำนักดาราจันทร์ แต่อาจจะโดนสำนักนี้หรือด้วยเหตุผลอื่น สะกดให้ติดกับวงแหวนปราณเพื่อเสริมพลังให้กับวงแหวนปราณนี้
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้วงแหวนปราณแห่งนี้ ยังคงอยู่ในสถานะที่สามารถเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา แม้จะผลิตวิญญาณวุธทั้งหมด หรือจะเรียกมันว่าวิญญาณวงแหวนคงจะเหมาะสมยิ่งกว่า
ขณะที่หวังเป่าเล่อคาดเดาทุกอย่างนี้อยู่ในใจ วงแหวนปราณนั้นก็เริ่มส่องแสงสว่าง ราวกับว่าภายใต้การปลุกเร้านี้จะทำให้วงแหวนคลื่อนย้ายเปิดใช้งานได้ด้วยตัวมันเอง
ดวงตาของหวังเป่าเล่อวาววับ วินาทีที่รัศมีวงแหวนปราณยังคงส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง เท้าขวาของเขาจึงหวดไปกลางอากาศอย่างรุนแรงด้วยเสียงที่ดังสนั่น วงแหวนปราณนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงโพล้งเพล้งแตกร้าวออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสงที่ส่องสว่างอยู่นั้นจึงค่อยๆ ริบหรี่
วายร้ายจิ๋วสีเลือดที่อยู่ในมือแผดเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าอนาถ หลังจากถูกหวังเป่าเล่อปิดผนึก เขาก็เก็บมันและซากวาฬเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการสูญเปล่า เขาหายตัวออกจากพื้นที่ทะเลแห่งนี้ แล้วมาโผล่ที่ก้นทะเลอีกแห่งหนึ่งแล้ว ด้านหน้าของเขาเต็มไปด้วยสาหร่าย ซ้ำยังมีรูปปั้นหินถือกระบี่ศิลาที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า…วิหาร!
วินาทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น ร่างของหินแกะสลักนั้นสั่นเล็กน้อย ปราณกระบี่ของกระบี่ศิลาที่อยู่ด้านหลังพลันกระโจนขึ้นมาแล้วตวัดมาที่หวังเป่าเล่อ!
……………………………………………….