หวังเป่าเล่อตามติดศิษย์พี่สิบห้าที่เดินนำอยู่ข้างหน้าด้วยความสับสน ตอนแรกศิษย์พี่สิบห้าก็ยังเดินดูปกติดี แต่ไปๆ มาๆ กลับกระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า ด้วยท่าทางการกระโดดแบบนั้นประกอบกับรูปร่างที่เหมือนถั่วงอก ทำให้ศิษย์พี่สิบห้าเด้งดึ๋งเหมือนกับเห็ดเข็มทอง
อีกทั้งยังร้องรำทำเพลงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นออกมา….
“ดาราจักรไฟช่างดี ดาราจักรไฟช่างวิเศษ ดาราจักรไฟช่างน่ายกย่อง…”
เพลงนี้มีแต่มนต์สะกดเต็มไปหมด ซึ่งทำให้ความคิดของหวังเป่าเล่อสับสนวุ่นวายมากขึ้น เขาเริ่มรู้สึกว่ามีเรื่องบ้าบอคอแตกเหนือคำบรรยายอยู่ที่โลกใบนี้…อีกทั้งใจยังเผลอด่วนสรุปจากความรู้สึกทั้งหมดตอนที่ตัวเองเห็นวัวแก่ จนกระทั่งได้มาถึงที่นี่
“ในดาราจักรไฟ มีวัวแก่ตัวหนึ่งที่แกร่งกล้าจนท่านอาจารย์ยังต้องให้ความยำเกรง…เห็นๆ กันอยู่ว่าวัวแก่นั่นโมโหง่าย พูดได้เลยว่าดาราจักรไฟไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องมาประจบสอพลอ แต่ตัวเขาเองดันอยากได้ยินคำสรรเสริญเยินยอพวกนั้นมากกว่าใครๆ น่ะสิ…”
“ในดาราจักรไฟ ข้ามีศิษย์พี่สิบห้าที่ดูเจ้าเล่ห์ ซ้ำยังดูเหมือนพวกสมองมีปัญหาด้วย ศิษย์พี่ผู้นี้พูดจาบ้าๆ บอๆ อย่างวลีเด็ดที่ว่า ‘เจ้ารู้ไว้ว่า’…ซึ่งเขามักจะชอบมองไปรอบก่อนกระซิบกระซาบ ทั้งๆ ที่เขาพูดออกมาโต้งๆ ได้เลย แล้วทำไมถึงพูดตรงๆ ออกมาได้ยาก แม้ว่าบริเวณโดยรอบจะไม่มีใคร แต่การโพล่งออกมากลับมีโอกาสที่จะโดนสอดแนม…”
“ในดาราจักรไฟ ข้ายังมีศิษย์พี่สิบสี่อีกคน ที่ดูเหมือนพวกสมองมีปัญหาเช่นกัน เขากลายร่างเป็นภูเขาจำลองเพราะการฝึกภาพมายา ทว่าดันกลายร่างกลับมาไม่ได้…” หวังเป่าเล่อได้แต่คิดไม่ตกจนปวดหัวขึ้นมาแล้วเผลอยกมือนวด แต่ว่า…เมื่อเขาตามศิษย์พี่สิบห้ามายังหอคอยที่มีศิษย์พี่สิบสามอยู่ หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกปวดหัวมากขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาได้เตรียมตัวมาแล้วตั้งแต่มาถึง ทว่ายังเพ่งดูว่ามีหินหรือวัตถุอื่นใดนอกหอคอยของศิษย์พี่สิบสามหรือเปล่า หลังจากที่เห็นแค่ต้นไม้ที่ตายแล้วสามถึงห้าต้น ไม่เห็นก้อนหินอื่นใด เขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เพียงชั่วครู่หัวใจเขาพลันสั่นสะท้าน รีบมองดูต้นไม้ที่ตายแล้วซ้ำอีกครั้ง…
“เป็นไปไม่ได้หรอก…” หวังเป่าเล่อพึมพำออกมายามที่มองไปยังต้นไม้ที่ตายแล้วเหล่านั้น ศิษย์พี่สิบห้าที่อยู่ด้านข้างรีบเดินไปข้างหน้าต้นไม้ที่ตายแล้วต้นหนึ่ง ก่อนจะโค้งคำนับด้วยความเคารพ
ครั้นเห็นฉากนี้ หวังเป่าเล่อตบหน้าผากฉาดใหญ่ ก่อนจะก้าวไปทำความเคารพด้วยกันทันที
“ขอคารวะศิษย์พี่สิบสาม!”
ต้นไม้ที่ตายแล้วไร้ซึ่งการตอบสนอง ทว่าศิษย์พี่สิบห้ากลับแย้มรอยยิ้มพิมพ์ใจออกมา ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ข้ารู้แล้วล่ะศิษย์พี่สิบห้า ต้นไม้ต้นนี้คือศิษย์พี่สิบสาม เขาก็ฝึกภาพมายาของศิษย์พี่สิบสี่ด้วยใช่หรือไม่ พอมีอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้น ทำให้หลังจากกลายเป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว กลับไม่สามารถแปลงร่างกลับมาได้เช่นกัน”
“เจ้าสิบหกช่างฉลาดล้ำเสียจริง สามารถวิเคราะห์จากเรื่องที่ข้าเล่าไปก่อนหน้านี้ได้ ปฏิภาณไหวพริบก็ยิ่งไร้ที่ติอีกด้วย” แววตาของศิษย์สิบห้าเผยความพอใจยิ่งขึ้น พลางหันไปมองดูต้นไม้ตายแล้วต้นนั้นที่พวกเขาได้ทำความเคารพ ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว แม้มิตรภาพของศิษย์พี่สิบสามและศิษย์พี่สิบสี่แน่นแฟ้น แต่กลับชอบที่จะแข่งขันกันเอง ดังนั้นหลังจากศิษย์พี่สิบสี่ได้ฝึกภาพมายา ศิษย์พี่สิบสามจึงริเริ่มตามหาท่านอาจารย์และขอวิธีฝึกแบบเดียวกัน ผลลัพธ์ก็คือ…เจ้ารู้ว่า เขาไม่สามารถแปลงร่างกลับได้ แต่สำหรับศิษย์พี่สิบสามนั้น นี่เป็นความยินดีของเขาที่จะอยู่แบบนี้ ตอนนี้ทั้งสองกำลังแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะแปลงร่างกลับมาได้ก่อน”
หวังเป่าเล่อขำไม่ออก ซ้ำยังรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่ายังไม่ทันที่จะกล่าวอะไรออกมา กลับมีต้นต้นหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าข้างๆ ต้นไม้ตายแล้วที่ทั้งสองได้ทำความเคารพ เอ่ยพูดออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เจ้าสิบห้าวอนหาเรื่องเสียแล้ว นอกจากจะยังไม่เลิกคารวะแบบผิดๆ ยังจะพูดจาสามหาวถึงข้าอีก”
ทันทีที่คำพูดของต้นไม้ที่ตายแล้วหลุดออกมา หวังเป่าเล่อก็หันไปมองต้นไม้ตายแล้วพูดได้ต้นนั้น อดไม่ได้ที่จะมองแล้วมองอีกต้นไม้ที่ตัวเขาทำความเคารพไปก่อนหน้านี้
“ไม่ต้องมองแล้ว ต้นไม้ที่พวกเจ้าคารวะไปนั้นเป็นต้นไม้จริงๆ…” เมื่อเสียงนิ่งๆ ของศิษย์พี่สิบสามดังออกมา ศิษย์สิบห้าที่อยู่ตรงนั้นก็รีบทำความเคารพซ้ำอีกครั้ง
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่สิบสามด้วยขอรับที่สามารถเอาชนะศิษย์พี่สิบสี่ได้สำเร็จ กระบวนเวทอันไม่มีที่ติของศิษย์พี่นั้นช่างไร้เทียมทาน!”
หวังเป่าเล่อหายใจได้เต็มปอด ความคิดอันสับสนวุ่นวายดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าได้พบกับศิษย์ร่วมสำนักที่ยังพูดจาปกติเสียที จึงรีบทำความเคารพซ้ำอีกรอบ
“ศิษย์สิบหกขอคารวะศิษย์พี่สิบสามขอรับ!”
“เจ้านี่เองศิษย์สิบหก ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะว่าอย่าไปฟังคำพูดประจบประแจงไร้แก่นสารพวกนั้นของศิษย์สิบห้า ข้ากับศิษย์สิบสี่แข่งกันกลายร่างกลับก่อนอะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี!” เสียงของต้นไม้ตายแล้วช่างน่าเกรงขาม แฝงไปด้วยคำสั่งสอน จนใจของหวังเป่าเล่อเองก็ได้แต่เคารพยกย่อง ครั้นกำลังจะรับปาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น…
“เศษสวะอย่างศิษย์สิบสี่นั่นจะเทียบกับข้าได้อย่างไรกัน ดวงจิตของเขาหลับใหลอยู่ ส่วนข้าน่ะ แข็งแกร่งกว่าเขามาก ข้าสามารถแผ่กระจายดวงจิต ข้ายังสามารถเชยชมการเปลี่ยนแปลงของท้องนภา และสัมผัสสายลมพัดพาผ่านกิ่งก้านใบของข้าด้วยความรื่นรมย์” ครั้นต้นไม้ที่ตายแล้วพูดถึงจุดนี้ด้วยความทะนงตน ทั่วทั้งต้นสั่นระริกอยู่สองสามครั้ง
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่นิ่งเงียบ
“เจ้าสิบหกน้อยใช้ได้ทีเดียวนะเนี่ย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ศิษย์พี่ขอให้ของขวัญต้อนรับแก่เจ้าก็แล้วกัน” ขณะกล่าว ทั่วทั้งต้นไม้ที่ตายแล้วพลันสั่นระริกขึ้นเรื่อยๆ พาลทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันกำลังจะพังครืนลงมาเอง หวังเป่าเล่อดูแล้วรู้สึกหวาดหวั่น รู้สึกได้ลางๆ ถ้าอีกฝ่ายได้กระทำการเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนแล้วล่ะก็ คงจะใช้พลังเต็มพิกัด มิหนำซ้ำตอนที่หน้าแดง ต้นไม้ที่ตายแล้วก็ส่งเสียงครางเบาๆ อย่างมีความสุข ใบไม้แห้งจุกหนึ่งได้เกาะตัวกันเป็นกระจุกบนกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง
ตอนที่มันทิ้งตัวลงมา แล้วหล่นลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อนั้น ยังมีไอร้อนๆ ลอยละล่องอยู่บนใบไม้พวกนั้นด้วย
หวังเป่าเล่อตะลึงงันอีกครั้งขณะมองไปยังใบไม้ โชคดีที่เขาสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่แปรปรวนของอันน่าประหลาดบนใบไม้นั่น ถึงจะไม่ได้เข้าใจผิดแต่อย่างใด…แต่ความรู้สึกแปลกๆ ในใจกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงจำใจรับใบไม้นั่นมา ก่อนจะคารวะขอบคุณต้นไม้ที่ตายแล้ว
“เจ้าสิบห้า ถึงศิษย์พี่สิบสี่จะออกนอกลู่นอกทาง แต่นี่ก็เป็นชะตากรรมของศิษย์พี่สิบสี่ หากเจ้าเผชิญกับภยันตรายในภายภาคหน้า เพียงนำใบไม้แห้งออกมา ก็จะสามารถอัญเชิญร่างมายาของศิษย์พี่สิบสามมาเพื่อการต่อสู้ได้ทันที!” หลังศิษย์สิบห้าสูดหายใจเข้าออกเสียงดังอยู่ด้านข้าง ต้นไม้ที่ตายแล้วจึงหัวเราะร่าออกมาอย่างพอใจ
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปคารวะศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ เถอะ”
เมื่อกล่าวจบ ต้นไม้ที่ตายแล้วไม่สั่นไหวอีกต่อไป ก่อนจะนิ่งสงบอีกครา ศิษย์สิบห้าจึงดึงหวังเป่าเออกไปอย่างว่องไว เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ…เอ่อ…ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ของพวกเราได้ฝึกตนด้วยภาพมายานั่นด้วยหรือไม่…”
“ชู่!” ทันทีที่ศิษย์สิบห้าได้ยินคำถามนั้น เขาพลันหันขวับก่อนยกนิ้วชี้มาที่ปากของเขา แล้วส่งสัญญาณให้หวังเป่าเล่อหยุดพูด เมื่อเดินห่างออกมาได้พอสมควร ศิษย์สิบห้ามองไปรอบๆ จึงกระซิบกระซาบความลับออกมา
“ศิษย์น้องสิบหกคิดมากเกินไปแล้ว ในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักของพวกเรา เจ้ารู้ไว้ว่า…มีศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่แค่สองคนที่สมองมีปัญหา มันไม่ยากที่พวกเขาเชื่อมั่นท่านอาจารย์จนฝึกตนด้วยภาพมายานั่น ส่วนคนอื่นๆ นั้นจะไปฝึกตนด้วยวิธีนั้นได้อย่างไรกันล่ะ”
ครั้นคำพูดของศิษย์สิบห้าหลุดออกมา แววตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย ก่อนจะกระซิบถามหลังจากลังเล
“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ เหตุใดถึงบอกว่ามันไม่ยากที่จะเชื่อมั่นท่านอาจารย์ล่ะ? ท่านอาจารย์ไม่น่าเชื่อถือหรอกหรือ?”
“ข้าไม่ได้พูดนะ เจ้านั่นแหละพูด!” ศิษย์สิบห้าได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เขารีบหันไปมองรอบๆ ก่อนจะรีบปฏิเสธออกมาทันควัน ไม่รีรอที่จะลากหวังเป่าเล่อออกมาจากบริเวณนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อประหลาดใจและสงสัยมากยิ่งขึ้น ศิษย์สิบห้าจึงดึงเขาไปในมุมถนนแห่งหนึ่ง แล้วกระซิบออกมาด้วยสีหน้าน่าสงสัย
“น้องสิบหกจะกล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ ข้าจะบอกเจ้าไว้…ท่านอาจารย์เป็นคนโอบอ้อมอารีและใจกว้างมาก ซ้ำยังรักและห่วงใยลูกศิษย์ประหนึ่งลูกในไส้ ด้วยเหตุนี้ท่านอาวุโสจึงมักจะชอบค้นหาเคล็ดวิชาพิสดารบางอย่าง ซึ่งอยู่ในจุดค้นพบบางจุดที่อยู่ตามอวกาศ มาให้พวกเราฝึกฝน เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน และให้ข้ามีพัฒนาการที่รวดเร็วเหมือนมังกรและวิหคท่ามกลางผู้คน”
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าพลันเผยความเลื่อมใสออกมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงดังลั่น
“ท่านอาจารย์ผู้มีเมตตา!”
“ใช่ ท่านอาจารย์ผู้มีเมตตา!” ศิษย์สิบห้าขยิบตา แล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาลง
“แต่ข้าขอแนะนำเจ้าว่า…หากท่านอาจารย์มอบเคล็ดวิชาที่คล้ายกันให้กับเจ้า เจ้าต้องรอจนกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ฝึกตนเสร็จเสียก่อน ถ้าแน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้วก็ค่อยฝึกตนอีกครั้ง…” เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าหวังเป่าเล่อก็ยากที่จะปกปิดความผิดปกติที่ซ่อนเร้นไว้ได้ อีกทั้งหลังจากที่ศิษย์สิบห้าพูดจบ เขาได้มองเข้าไปยังนัยน์ตาของหวังเป่าเล่ออย่างกะทันหัน พร้อมทั้งเอ่ยถามอย่างมีนัยสำคัญ
“หลังจากศิษย์น้องสิบหกมาถึงดาราจักรไฟแล้วได้เห็นศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ และได้ฟังเรื่องที่ข้าบอก ข้ารู้เลยว่าในใจเจ้าตอนนี้ต้องรู้สึกได้ว่าท่านอาจารย์ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ใช่หรือไม่?”
………………………………………………..