หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอคอย รอการมาถึงของเซี่ยไห่หยาง เมื่อได้ยินก็ลืมตาพร้อมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ใบหน้าแสดงความพึงพอใจจนปิดไม่อยู่
ส่วนหนึ่งของความพึงพอใจนี้มาจากที่เซี่่ยไห่หยางมาตามที่คาดไว้ อีกส่วนมาจากคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่ารูปงามที่หนึ่งในสหพันธรัฐ
“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ยินผู้เรียกข้าเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจที่เซี่ยไห่หยางเรียกตนว่าอาจารย์อา ขณะที่กำลังจะเรียกเซี่่ยไห่หยางให้เข้ามา ในสมองกลับมีเสียงที่เหนื่อยหน่ายของแม่นางน้อยที่ส่งมา
“ไม่อายหรือ”
“หืม” หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจแล้ว
“หมายความว่าอะไร!”
“ข้าถามเจ้าว่าไม่อายหรือ เจ้าอ้วน ข้าตามเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก หลายปีมานี้เพิ่งเคยได้ยินคนเรียกเจ้ารูปงามที่หนึ่งในสหพันธรัฐ และไม่เคยได้ยินผู้อื่นเรียกเจ้าเช่นนี้มาก่อน เจ้ากลับกล่าวว่าไม่ได้ยินผู้อื่นเรียกเจ้าเช่นนี้มานานแล้ว…ไม่อายหรือ”
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง หากเป็นผู้อื่นได้ฟังคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ หากไม่อับอายก็จะกระอักกระอ่วน แต่หวังเป่าเล่อมิใช่คนธรรมดาสามัญ เวลานี้เบิกตาขึ้น สีหน้ายากที่จะอธิบาย
“แม่นางน้อย เหตุใดเจ้าจึงไร้ความมั่นใจเช่นนี้ ข้าคงต้องแก้ให้เจ้าคิดให้ถูกต้อง ไม่ใช่สนใจความเห็นของผู้อื่นเสมอ ผู้ฝึกตนรุ่นข้าถือความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอเพียงตัวเราคิดว่าเรานั้นสามารถ เช่นนั้นสรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมดำเนินไปตามความคิด เจ้านี่…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าทอดถอนใจ
“เจ้าอ้วนนี่ พูดให้ชัดเจ้าก็คือหน้าด้าน”
“แม่นางน้อย ร่างไร้วิญญาณก็มีระดูด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อสีหน้าเป็นปกติ พูดเบาๆ ประโยคนี้ก็ทำให้แม่นางน้อยสำลักในทันที และนางก็ทำได้แต่เพียงส่งเสียงเชอะและหยุดโต้เถียง แต่ตนเองก็ยังคงคิดหาเหตุผล
อันที่จริงนางก็สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของตนในช่วงเวลานี้ดูแปลกๆ อยู่บ้าง ปกตินางใส่หน้ากาก แม้จะสังเกตได้แต่ก็ไม่ชัดเจนเช่นนั้น วันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงดูเหมือนควบคุมมันไม่ได้
“มีบางอย่างผิดปกติ…” แม่นางน้อยภายในหน้ากากนั่งขัดสมาธิเท้าคางอยู่ตรงนั้น สายตาส่อแววครุ่นคิด
และในขณะที่นางครุ่นคิดว่าเหตุใดช่วงเวลานี้จึงอารมณ์เสียง่ายขึ้น หวังเป่าเล่อก็ได้เรียกให้เซี่ยไห่หยางที่รออยู่ด้านนอกเข้ามา ประตูใหญ่หอคอยเปิดออก หวังเป่าเล่อเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อเซี่ยไห่หยางเห็นหวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกทันที ใบหน้าแสดงถึงความเคารพและโค้งคำนับลงอีกครั้ง
“ศิษย์เซี่ยไห่หยาง ขอคำนับอาจารย์อาสิบหก”
“สหายไห่หยาง นี่เจ้าหมายความว่าอะไร” หวังเป่าเล่อสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เดินตรงเข้าไปพยุงเซี่ยไห่หยางขึ้น ถามด้วยความประหลาดใจ
“พวกเราเป็นสหายกัน เหตุใดหลังจากไปพบอาจารย์ข้าแล้ว เจ้าจึงเรียกข้าว่าอาจารย์อา สหายไห่หยางหยอกข้าเล่นแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางก็อับอายอยู่บ้าง อย่างไรหน้าเขาก็ไม่ทนเท่าหวังเป่าเล่อ เวลานี้ถูกหวังเป่าเล่อกล่าวเช่นนี้ ในใจของเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกด้อยไปชั่วชีวิต แต่เขาก็ปรับอารมณ์ได้ในไม่ช้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่หมายถึงความภาคภูมิใจ
“อาจารย์อา ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นว่าข้ามีความจริงใจ ดังนั้นจึงให้ศิษย์คนโตของท่านเป็นอาจารย์ข้า รับข้าไว้เป็นศิษย์ จากนี้ต่อไปข้าเซี่ยไห่หยางก็เป็นศิษย์หลานของท่านอาจารย์อา ดังนั้นอาจารย์อาอย่างไรก็อย่าได้เรียกสหายอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราอาจลึกซึ้งกว่าสหายมากนัก” เซี่ยไห่หยางกล่าวอย่างจริงใจและเต็มภาคภูมิ แต่หวังเป่าเล่อกลับมีสีหน้าแปลกๆ
เขาแอบร้องอยู่ในใจว่าอาจารย์ก็ใจร้ายเกินไปแล้ว ประโยชน์ก็ได้รับแล้วยังจะผูกเขาไว้ในกลุ่มอัคคี ทำให้เซี่ยไห่หยางไม่เพียงถูกรั้งไว้ จากนี้ไปก็ต้องเป็นคนของที่นี่ด้วย
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การดึงประโยชน์เพียงครั้งเดียว แต่เป็นทั้งชีวิต
“ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อชื่นชมอยู่ในใจ เมื่อมองเซี่ยไห่หยางก็ทำได้แค่ทอดถอนใจ เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขวาขึ้นลูบศีรษะเซี่ยไห่หยาง…
เซี่ยไห่หยางตัวแข็งทื่อแต่ก็จนปัญญา ตอนนี้เขาถือเป็นผู้น้อยรุ่นหลัง ได้แต่ปลอบตนเองอยู่ภายในใจว่าทั้งหมดนี้ล้วนสมควรแล้ว นี่เป็นกฎของกลุ่มอัคคี ในเมื่อตนเองเป็นผู้น้อย เช่นนั้นผู้อาวุโสลูบศีรษะจะเป็นอะไรกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยไห่หยางก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตามสัญชาตญาณขณะที่หวังเป่าเล่อลูบศีรษะ เพียงแต่รอยยิ้มนี้หายไปจากใบหน้าแข็งทื่อ พร้อมกับการเรียกขานของหวังเป่าเล่อ
“หยางเอ๋อร์ อาจารย์อารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นมีเหตุผล มาเถอะ เข้ามาคุยกัน” หวังเป่าเล่อส่งเสียกระแอม ยอมรับสถานะของตนในทันที ก่อนจะเอามือไพล่หลังเดินเข้าหอคอยไป
เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึก หลังจากปลอบและสะกดตนเองอยู่ในใจอีกครั้งก็รีบเดินตามเข้าไป ซ้ำยังปิดประตูหอคอยด้วย ท่าทางดูอ่อนน้อม โดยที่ไม่ต้องมีอาจารย์คอยสั่งสอน หลังจากเข้าไปในหอคอย เขากวาดตามองไปรอบด้าน แล้วพับแขนเสื้อก่อนเอ่ยปากเสียงดัง
“อาจารย์อาสิบหก ศิษย์เห็นสถานที่นี้มีฝุ่นเล็กน้อย ให้ข้าช่วยท่านเช็ดเถิด” กล่าวพลาง เขาก็ตรงเข้าไปเช็ดโต๊ะ
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ ในใจก็ชื่นชมความร้ายกาจของท่านอาจารย์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงรั้งเซี่ยไห่หยางไว้ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น
“หยางเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ เฮ้อ พูดก็พูดเถอะ เจ้าต้องการให้ข้าช่วยแนะนำอาจารย์อาท่านใดให้เจ้า”
เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อเรียกตนอีกครั้ง ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางก็กระตุก เขามองไปทางหวังเป่าเล่อแล้วฝืนยิ้ม
“อาจารย์อา ท่านอย่าได้ล้อเลียนข้าเลย ผู้ที่ข้าต้องการหามิใช่ท่านหรอกหรือ”
“ข้าหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ
เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องระหว่างท่านพ่อของตนและเฉินชิงจื่อออกมาอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ท่านพ่อช่วยจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกฝึกสร้างเทพวัตถุ จนถึงเฉินชิงจื่อนำเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดมา ต่อต้านวงแหวนปราณ เกิดการทำลายล้าง ตอนนี้ห่างจากพิภพปัจจุบันไม่ไกลแล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆ ต้องมาระบายโทสะกับผู้ที่ช่วยเหลือเป็นแน่ ล้วนมีกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว
และโดยไม่มีการปกปิด เมื่อพ่อของเขาผิดก็คือผิด ขณะเดียวกันเซี่ยไห่หยางก็เสนอที่จะชดใช้ ขอเพียงเฉินชิงจื่อสามารถปล่อยเรื่องนี้ไป
หวังเป่าเล่อที่ดูปกติในตอนแรก แต่หลังจากฟังไปแล้ว การหายใจของเขาก็เปลี่ยนไป จนกระทั่งเขาฟังจบ เขานั่งหลับตาอยู่ตรงนั้น เกิดระลอกคลื่นในใจขึ้น แล้วจึงค่อยๆ สงบลง
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่เฉินชิงจื่อจึงทิ้งเขาไว้ที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ เห็นได้ว่าถูกล้อมสังหารขณะพาตนเองไปหลบซ่อนที่สำนักแห่งความมืด ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งตนออกไปก่อน
ขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะท่าทีของเซี่ยไห่หยางได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่า ครั้งนี้ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่ไร้อุปสรรคแต่กลับมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น สั่นสะเทือนไปทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อย่างไรก็ตามนั่นคนที่ถูกเขาทำให้ได้รับความยากลำบากก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ ทุกวันนี้เป็นตายก็หารู้ไม่
และตระกูลไม่รู้สิ้น บางทีอาจมีอุปสรรค แต่โดยทั่วไปศิษย์พี่ย่อมปลอดภัย มิเช่นนั้นเซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็คงไม่มาหาเขาถึงที่
ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อโล่งใจแล้วจึงลืมตาขึ้นกวาดตาไปยังเซี่ยไห่หยาง จิตใจก็มีความสุขขึ้นมา ในเมื่อเรื่องนี้อาจารย์เป็นผู้แนะนำมา อีกอย่างเซี่ยไห่หยางก็g8pช่วยเหลือเขาไว้ไม่น้อย ดังนั้นตนเองเข้าช่วยเหลือบ้างก็เป็นการสมควรแล้ว
แต่…ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ผ่านมาคือการลงทุนและการค้า เช่นนั้นตอนนี้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ดังนั้นบนใบหน้าหวังเป่าเล่อจึงปรากฏความลำบากใจ
“เรื่องนี้…ข้าและเฉินชิงจื่อก็มิได้สนิทสนมกันเช่นนั้น…”
“อาจารย์อา ศิษย์ยินยอมมอบดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงเพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือของอาจารย์อา” เซี่ยไห่หยางรีบเอ่ยปาก
“ที่จริงข้าและเฉินชิงจื่อสนิทกันเพียงเล็กน้อย…” หวังเป่าเล่อส่งเสียงกระแอม แล้วยกมือขวาขึ้นนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือดูเหมือนถูกันไปมาอย่างไม่ตั้งใจแล้วก็ลูบศีรษะ
“ศิษย์ยอมเพิ่มอีกพันดวง!” เซี่ยไห่หยางกัดฟันแน่น แต่ในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้ว่าเบี้ยต่อรองต้องเพิ่มทีละน้อย จากน้อยไปหามาก ไม่ควรให้ก้อนใหญ่ในทันที มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถใช้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดเพื่อแลกกับประโยชน์ที่สูงสุดได้
“ข้าเคยกินข้าวกับเฉินชิงจื่อ!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ
“สามพันดวง!”
“ฉันเคยดื่มเหล้ากับเฉินชิงจื่อ!”
“ห้าพันดวง!”
“ข้าและเฉินชิงจื่อร่วมน้ำสาบานกัน!”
“แปดพันดวง อาจารย์อา นี่มันถึงที่สุดแล้ว…” เซี่ยไห่หยางกำลังจะร้องไห้แล้ว แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดเป็นเพียงแค่เปลือกนอก แปดพันดวงไม่ใช่ขีดจำกัดทั้งหมดของเขา หวังเป่าเล่อก็พอมองออก แต่เขาก็รู้ดีว่าผลประโยชน์ต้องค่อยๆ ดึงให้ไม่รู้ตัว ไม่อาจสำเร็จได้ภายในขั้นตอนดียว
เขาจึงจำใจพยักหน้า
“ช่างเถอะ หยางเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ามีความกตัญญูเช่นนี้ อาจารย์อาจะช่วยเจ้าสักครั้ง รอให้พบเฉินชิงจื่อก่อนแล้วข้าจะช่วยพูดให้เจ้า”
เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ยินก็แววตาเป็นประกาย รีบรับคำในทันที คำพูดของอีกฝ่ายแฝงความนัย อย่างไรก็ตามคำพูดยังแบ่งทั้งจำนวนรวมทั้งน้ำหนักหนักเบาของคำพูด ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ในทันที หากต้องการให้หวังเป่าเล่อช่วยอย่างเต็มกำลัง ต่อไปตนเองต้องคอยเอาใจเขาบ่อยๆ เป็นดี
อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ต้องทำให้อีกฝ่ายมีความสุขสบายใจ…
“หวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์พอๆ กับปรมาจารย์แห่งไฟ…ยังมีท่านอาจารย์ที่จริงใจ จิตใจดี ไม่ใจร้ายเช่นนั้น” เซี่ยไห่หยางร้องคร่ำครวญอยู่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกันไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ของตนนั้นดีที่สุดแล้ว
……………………………………………………..
หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอคอย รอการมาถึงของเซี่ยไห่หยาง เมื่อได้ยินก็ลืมตาพร้อมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ใบหน้าแสดงความพึงพอใจจนปิดไม่อยู่
ส่วนหนึ่งของความพึงพอใจนี้มาจากที่เซี่่ยไห่หยางมาตามที่คาดไว้ อีกส่วนมาจากคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่ารูปงามที่หนึ่งในสหพันธรัฐ
“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ยินผู้เรียกข้าเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจที่เซี่ยไห่หยางเรียกตนว่าอาจารย์อา ขณะที่กำลังจะเรียกเซี่่ยไห่หยางให้เข้ามา ในสมองกลับมีเสียงที่เหนื่อยหน่ายของแม่นางน้อยที่ส่งมา
“ไม่อายหรือ”
“หืม” หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจแล้ว
“หมายความว่าอะไร!”
“ข้าถามเจ้าว่าไม่อายหรือ เจ้าอ้วน ข้าตามเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก หลายปีมานี้เพิ่งเคยได้ยินคนเรียกเจ้ารูปงามที่หนึ่งในสหพันธรัฐ และไม่เคยได้ยินผู้อื่นเรียกเจ้าเช่นนี้มาก่อน เจ้ากลับกล่าวว่าไม่ได้ยินผู้อื่นเรียกเจ้าเช่นนี้มานานแล้ว…ไม่อายหรือ”
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง หากเป็นผู้อื่นได้ฟังคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ หากไม่อับอายก็จะกระอักกระอ่วน แต่หวังเป่าเล่อมิใช่คนธรรมดาสามัญ เวลานี้เบิกตาขึ้น สีหน้ายากที่จะอธิบาย
“แม่นางน้อย เหตุใดเจ้าจึงไร้ความมั่นใจเช่นนี้ ข้าคงต้องแก้ให้เจ้าคิดให้ถูกต้อง ไม่ใช่สนใจความเห็นของผู้อื่นเสมอ ผู้ฝึกตนรุ่นข้าถือความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอเพียงตัวเราคิดว่าเรานั้นสามารถ เช่นนั้นสรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมดำเนินไปตามความคิด เจ้านี่…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าทอดถอนใจ
“เจ้าอ้วนนี่ พูดให้ชัดเจ้าก็คือหน้าด้าน”
“แม่นางน้อย ร่างไร้วิญญาณก็มีระดูด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อสีหน้าเป็นปกติ พูดเบาๆ ประโยคนี้ก็ทำให้แม่นางน้อยสำลักในทันที และนางก็ทำได้แต่เพียงส่งเสียงเชอะและหยุดโต้เถียง แต่ตนเองก็ยังคงคิดหาเหตุผล
อันที่จริงนางก็สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของตนในช่วงเวลานี้ดูแปลกๆ อยู่บ้าง ปกตินางใส่หน้ากาก แม้จะสังเกตได้แต่ก็ไม่ชัดเจนเช่นนั้น วันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงดูเหมือนควบคุมมันไม่ได้
“มีบางอย่างผิดปกติ…” แม่นางน้อยภายในหน้ากากนั่งขัดสมาธิเท้าคางอยู่ตรงนั้น สายตาส่อแววครุ่นคิด
และในขณะที่นางครุ่นคิดว่าเหตุใดช่วงเวลานี้จึงอารมณ์เสียง่ายขึ้น หวังเป่าเล่อก็ได้เรียกให้เซี่ยไห่หยางที่รออยู่ด้านนอกเข้ามา ประตูใหญ่หอคอยเปิดออก หวังเป่าเล่อเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
เมื่อเซี่ยไห่หยางเห็นหวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกทันที ใบหน้าแสดงถึงความเคารพและโค้งคำนับลงอีกครั้ง
“ศิษย์เซี่ยไห่หยาง ขอคำนับอาจารย์อาสิบหก”
“สหายไห่หยาง นี่เจ้าหมายความว่าอะไร” หวังเป่าเล่อสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เดินตรงเข้าไปพยุงเซี่ยไห่หยางขึ้น ถามด้วยความประหลาดใจ
“พวกเราเป็นสหายกัน เหตุใดหลังจากไปพบอาจารย์ข้าแล้ว เจ้าจึงเรียกข้าว่าอาจารย์อา สหายไห่หยางหยอกข้าเล่นแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางก็อับอายอยู่บ้าง อย่างไรหน้าเขาก็ไม่ทนเท่าหวังเป่าเล่อ เวลานี้ถูกหวังเป่าเล่อกล่าวเช่นนี้ ในใจของเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกด้อยไปชั่วชีวิต แต่เขาก็ปรับอารมณ์ได้ในไม่ช้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่หมายถึงความภาคภูมิใจ
“อาจารย์อา ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นว่าข้ามีความจริงใจ ดังนั้นจึงให้ศิษย์คนโตของท่านเป็นอาจารย์ข้า รับข้าไว้เป็นศิษย์ จากนี้ต่อไปข้าเซี่ยไห่หยางก็เป็นศิษย์หลานของท่านอาจารย์อา ดังนั้นอาจารย์อาอย่างไรก็อย่าได้เรียกสหายอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราอาจลึกซึ้งกว่าสหายมากนัก” เซี่ยไห่หยางกล่าวอย่างจริงใจและเต็มภาคภูมิ แต่หวังเป่าเล่อกลับมีสีหน้าแปลกๆ
เขาแอบร้องอยู่ในใจว่าอาจารย์ก็ใจร้ายเกินไปแล้ว ประโยชน์ก็ได้รับแล้วยังจะผูกเขาไว้ในกลุ่มอัคคี ทำให้เซี่ยไห่หยางไม่เพียงถูกรั้งไว้ จากนี้ไปก็ต้องเป็นคนของที่นี่ด้วย
นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การดึงประโยชน์เพียงครั้งเดียว แต่เป็นทั้งชีวิต
“ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อชื่นชมอยู่ในใจ เมื่อมองเซี่ยไห่หยางก็ทำได้แค่ทอดถอนใจ เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขวาขึ้นลูบศีรษะเซี่ยไห่หยาง…
เซี่ยไห่หยางตัวแข็งทื่อแต่ก็จนปัญญา ตอนนี้เขาถือเป็นผู้น้อยรุ่นหลัง ได้แต่ปลอบตนเองอยู่ภายในใจว่าทั้งหมดนี้ล้วนสมควรแล้ว นี่เป็นกฎของกลุ่มอัคคี ในเมื่อตนเองเป็นผู้น้อย เช่นนั้นผู้อาวุโสลูบศีรษะจะเป็นอะไรกัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยไห่หยางก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตามสัญชาตญาณขณะที่หวังเป่าเล่อลูบศีรษะ เพียงแต่รอยยิ้มนี้หายไปจากใบหน้าแข็งทื่อ พร้อมกับการเรียกขานของหวังเป่าเล่อ
“หยางเอ๋อร์ อาจารย์อารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นมีเหตุผล มาเถอะ เข้ามาคุยกัน” หวังเป่าเล่อส่งเสียกระแอม ยอมรับสถานะของตนในทันที ก่อนจะเอามือไพล่หลังเดินเข้าหอคอยไป
เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึก หลังจากปลอบและสะกดตนเองอยู่ในใจอีกครั้งก็รีบเดินตามเข้าไป ซ้ำยังปิดประตูหอคอยด้วย ท่าทางดูอ่อนน้อม โดยที่ไม่ต้องมีอาจารย์คอยสั่งสอน หลังจากเข้าไปในหอคอย เขากวาดตามองไปรอบด้าน แล้วพับแขนเสื้อก่อนเอ่ยปากเสียงดัง
“อาจารย์อาสิบหก ศิษย์เห็นสถานที่นี้มีฝุ่นเล็กน้อย ให้ข้าช่วยท่านเช็ดเถิด” กล่าวพลาง เขาก็ตรงเข้าไปเช็ดโต๊ะ
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ ในใจก็ชื่นชมความร้ายกาจของท่านอาจารย์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงรั้งเซี่ยไห่หยางไว้ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น
“หยางเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ เฮ้อ พูดก็พูดเถอะ เจ้าต้องการให้ข้าช่วยแนะนำอาจารย์อาท่านใดให้เจ้า”
เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อเรียกตนอีกครั้ง ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางก็กระตุก เขามองไปทางหวังเป่าเล่อแล้วฝืนยิ้ม
“อาจารย์อา ท่านอย่าได้ล้อเลียนข้าเลย ผู้ที่ข้าต้องการหามิใช่ท่านหรอกหรือ”
“ข้าหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ
เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องระหว่างท่านพ่อของตนและเฉินชิงจื่อออกมาอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ท่านพ่อช่วยจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกฝึกสร้างเทพวัตถุ จนถึงเฉินชิงจื่อนำเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดมา ต่อต้านวงแหวนปราณ เกิดการทำลายล้าง ตอนนี้ห่างจากพิภพปัจจุบันไม่ไกลแล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆ ต้องมาระบายโทสะกับผู้ที่ช่วยเหลือเป็นแน่ ล้วนมีกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว
และโดยไม่มีการปกปิด เมื่อพ่อของเขาผิดก็คือผิด ขณะเดียวกันเซี่ยไห่หยางก็เสนอที่จะชดใช้ ขอเพียงเฉินชิงจื่อสามารถปล่อยเรื่องนี้ไป
หวังเป่าเล่อที่ดูปกติในตอนแรก แต่หลังจากฟังไปแล้ว การหายใจของเขาก็เปลี่ยนไป จนกระทั่งเขาฟังจบ เขานั่งหลับตาอยู่ตรงนั้น เกิดระลอกคลื่นในใจขึ้น แล้วจึงค่อยๆ สงบลง
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่เฉินชิงจื่อจึงทิ้งเขาไว้ที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ เห็นได้ว่าถูกล้อมสังหารขณะพาตนเองไปหลบซ่อนที่สำนักแห่งความมืด ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งตนออกไปก่อน
ขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะท่าทีของเซี่ยไห่หยางได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่า ครั้งนี้ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่ไร้อุปสรรคแต่กลับมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น สั่นสะเทือนไปทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อย่างไรก็ตามนั่นคนที่ถูกเขาทำให้ได้รับความยากลำบากก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ ทุกวันนี้เป็นตายก็หารู้ไม่
และตระกูลไม่รู้สิ้น บางทีอาจมีอุปสรรค แต่โดยทั่วไปศิษย์พี่ย่อมปลอดภัย มิเช่นนั้นเซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็คงไม่มาหาเขาถึงที่
ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อโล่งใจแล้วจึงลืมตาขึ้นกวาดตาไปยังเซี่ยไห่หยาง จิตใจก็มีความสุขขึ้นมา ในเมื่อเรื่องนี้อาจารย์เป็นผู้แนะนำมา อีกอย่างเซี่ยไห่หยางก็g8pช่วยเหลือเขาไว้ไม่น้อย ดังนั้นตนเองเข้าช่วยเหลือบ้างก็เป็นการสมควรแล้ว
แต่…ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ผ่านมาคือการลงทุนและการค้า เช่นนั้นตอนนี้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ดังนั้นบนใบหน้าหวังเป่าเล่อจึงปรากฏความลำบากใจ
“เรื่องนี้…ข้าและเฉินชิงจื่อก็มิได้สนิทสนมกันเช่นนั้น…”
“อาจารย์อา ศิษย์ยินยอมมอบดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงเพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือของอาจารย์อา” เซี่ยไห่หยางรีบเอ่ยปาก
“ที่จริงข้าและเฉินชิงจื่อสนิทกันเพียงเล็กน้อย…” หวังเป่าเล่อส่งเสียงกระแอม แล้วยกมือขวาขึ้นนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือดูเหมือนถูกันไปมาอย่างไม่ตั้งใจแล้วก็ลูบศีรษะ
“ศิษย์ยอมเพิ่มอีกพันดวง!” เซี่ยไห่หยางกัดฟันแน่น แต่ในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้ว่าเบี้ยต่อรองต้องเพิ่มทีละน้อย จากน้อยไปหามาก ไม่ควรให้ก้อนใหญ่ในทันที มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถใช้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดเพื่อแลกกับประโยชน์ที่สูงสุดได้
“ข้าเคยกินข้าวกับเฉินชิงจื่อ!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ
“สามพันดวง!”
“ฉันเคยดื่มเหล้ากับเฉินชิงจื่อ!”
“ห้าพันดวง!”
“ข้าและเฉินชิงจื่อร่วมน้ำสาบานกัน!”
“แปดพันดวง อาจารย์อา นี่มันถึงที่สุดแล้ว…” เซี่ยไห่หยางกำลังจะร้องไห้แล้ว แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดเป็นเพียงแค่เปลือกนอก แปดพันดวงไม่ใช่ขีดจำกัดทั้งหมดของเขา หวังเป่าเล่อก็พอมองออก แต่เขาก็รู้ดีว่าผลประโยชน์ต้องค่อยๆ ดึงให้ไม่รู้ตัว ไม่อาจสำเร็จได้ภายในขั้นตอนดียว
เขาจึงจำใจพยักหน้า
“ช่างเถอะ หยางเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ามีความกตัญญูเช่นนี้ อาจารย์อาจะช่วยเจ้าสักครั้ง รอให้พบเฉินชิงจื่อก่อนแล้วข้าจะช่วยพูดให้เจ้า”
เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ยินก็แววตาเป็นประกาย รีบรับคำในทันที คำพูดของอีกฝ่ายแฝงความนัย อย่างไรก็ตามคำพูดยังแบ่งทั้งจำนวนรวมทั้งน้ำหนักหนักเบาของคำพูด ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ในทันที หากต้องการให้หวังเป่าเล่อช่วยอย่างเต็มกำลัง ต่อไปตนเองต้องคอยเอาใจเขาบ่อยๆ เป็นดี
อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ต้องทำให้อีกฝ่ายมีความสุขสบายใจ…
“หวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์พอๆ กับปรมาจารย์แห่งไฟ…ยังมีท่านอาจารย์ที่จริงใจ จิตใจดี ไม่ใจร้ายเช่นนั้น” เซี่ยไห่หยางร้องคร่ำครวญอยู่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกันไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ของตนนั้นดีที่สุดแล้ว
……………………………………………………..