หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 454 วิชาแห่งศาสตร์มืด หัตถ์สื่อวิญญาณ

บทที่ 454 วิชาแห่งศาสตร์มืด หัตถ์สื่อวิญญาณ

เฉินชิงก็ยังคงเปี่ยมล้นไปด้วยความภูมิใจในตนเอง และขณะที่หวังเป่าเล่อจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อและริษยา เสียงกระแอมกระไอเบาๆ ก็ดังขึ้นด้านหลังพวกเขาทั้งคู่ มันสะท้อนก้องจนทำให้เฉินชิงผู้ภาคภูมิใจอยู่เมื่อครู่สั่นสะท้าน เขาหันหลังไปมองอย่างรวดเร็ว ความสุขที่เคยฉาบอยู่บนใบหน้าบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นความนิ่งขึง สีหน้าท่าทางหื่นกระหายเมื่อครู่กลายเป็นสีหน้าจริงจัง เฉินชิงลดเสียลงต่ำและก้มศีรษะคำนับ

“คารวะท่านอาจารย์!”

เฉินชิงผู้นี้เป็นผู้มีประสบการณ์มาก ทำให้สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ทันท่วงที หวังเป่าเล่อนั้นยังไร้เดียงสาและเปลี่ยนสีหน้าได้ช้ากว่ามากนัก ต้องใช้เวลาไปถึงชั่วอึดใจกว่าเขาจะหันหลังมาพบหน้าอาจารย์หมิงคุนจื่อที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“คารวะท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อรีบกุลีกุจอโค้งคำนับ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนนั้นตอบสนองช้าเกินไป แต่เป็นศิษย์พี่เฉินชิงซึ่งอับอายกับการกระทำของตน จึงเปลี่ยนกริยาอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าอาจารย์หมิงคุนจื่อดูไม่ได้ใส่ใจเฉินชิงนัก ชายชราจ้องมองมาทางเขาด้วยสายตาเปี่ยมเมตตา

“เป่าเล่อ ใบหน้าซากศพของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างเล่า”

หวังเป่าเล่อละล่ำละลักตอบคำอาจารย์

“อาจารย์ขอรับ ศิษย์ต่ำต้อยผู้นี้เริ่มเคยชินกับวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดแล้ว ข้าได้ทำตามเจตจำนงของเต๋าสวรรค์ทุกประการตอนที่วาดใบหน้าซากศพให้ดวงวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้น ในทุกๆ ครั้ง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจก็จะเอ่อล้นขึ้นมาในใจข้า ข้าจึงมักจะวาดแต่งเติมให้พวกเขาไปเล็กน้อยอยู่เสมอๆ” หวังเป่าเล่อภูมิใจกับทักษะการวาดภาพของตนอย่างยิ่ง เมื่อเขาพูดจบ เฉินชิง ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างกายก็กะพริบตาปริบ เขารู้สึกว่าคำถามของอาจารย์ดูจะแปลกอยู่สักหน่อย ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย เฉินชิงจึงพยายามจะเปลี่ยนเรื่องเสีย โดยขณะนี้หัวข้อเรื่องศิษย์น้องหวังเป่าเล่อของเขาดูจะเหมาะสมที่สุด

ชายหนุ่มรีบพูด “ท่านอาจารย์ อย่าไปฟังเรื่องเหลวไหลของศิษย์น้องเป่าเล่อเลยขอรับ ข้านั่งอยู่ข้างๆ เขาและรู้ดีว่าศิษย์น้องเป่าเล่อนั้นร้ายกาจนัก จริงอยู่ว่าใบหน้าซากศพของเขาสวยงามพอใช้ แต่เจ้าคนนี้…ข้าก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไม แต่เขาเอาแต่วาดคนตัวอ้วนท้วน…ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง พวกเขาทุกคนต่างก็อ้วนท้วนสมบูรณ์กันหมด ข้าคิดว่าข้าสามารถมองเห็นอนาคต เมื่อดวงวิญญาณกลุ่มนี้ไปเกิดใหม่ โลกจะต้องเต็มไปด้วยคนตัวอ้วนท้วนไปเสียสิ้น…” เฉินชิงถอนหายใจ เขาหลุบศีรษะลงต่ำและขยิบตาให้หวังเป่าเล่อ เขาอยากจะขอโทษศิษย์น้อง อยากจะบอกว่าศิษย์พี่ผู้นี้ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องใช้เขาเป็นเครื่องเบี่ยงเบนความสนใจ

หวังเป่าเล่อตาแทบถลน ชายหนุ่มอยากจะแก้ต่างให้ตนเอง แต่ก็มองเห็นสัญญาณที่ศิษย์พี่ส่งมาเสียก่อน เขาจึงยอมกลืนความรู้สึกของตนและเริ่มทำท่าทีสลดใจ ไม่ได้พูดสิ่งใดต่อไป

หมิงคุนจื่อไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เฉินชิงพูดเท่าใดนัก ชายชราไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขาเพียงบอกเคล็ดลับการวาดใบหน้าซากศพให้หวังเป่าเล่ออีกสองสามประการ เฉินชิงที่อยู่ข้างๆ มีท่าทีนบนอบ พยักหน้าตามอยู่โดยตลอด ราวกับว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่อาจารย์กำลังพูด ราวกับว่าความรู้ของอาจารย์นั้นช่างมหัศจรรย์เสียเต็มประดา

หลังจากนั้นพักใหญ่หมิงคุนจื่อก็จากไป ขณะที่ชายชรากำลังเดินไปนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นมือขวาของอาจารย์ มันพร่าเลือนยิ่งกว่าก่อน เหมือนกับคราวที่เขาได้เห็นนิ้วมือของอาจารย์บนเรือพายลำน้อย

สิ่งนั้นทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากถามแต่อาจารย์ก็เดินลับสายตาไปเสียก่อน

“สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไรกัน” หวังเป่าเล่อชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจปรึกษาเรื่องนี้กับศิษย์พี่ เมื่อเฉินชิงได้ยินคำถาม เขาก็ดูตกใจเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าน่าจะตาฝาด ข้าไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติเลย”

หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปเล็กน้อย ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญเรื่องนี้และสงสัยว่าเขาตาฝาดไปจริงๆ วันต่อมา เมื่อเขาตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมอาจารย์อีกครั้งและตั้งใจมองให้ชัดก็เห็นว่ามือของอาจารย์นั้นปกติดี ชายหนุ่มอดขยี้ตาไม่ได้ พลางคิดว่าบางทีเขาอาจจะมีปัญหาเรื่องการมองเห็นก็เป็นได้

แม้กระนั้นความสงสัยในใจของเขาก็ไม่ได้ลดลง ชายหนุ่มเพียงแต่เก็บงำมันไว้ในใจเท่านั้น

วันเวลาผ่านไปเช่นเคย สองสัปดาห์ผ่านไป ช่วงนี้หวังเป่าเล่อยังคงวาดใบหน้าซากศพอยู่ทุกวัน ด้วยการวาดใบหน้าซากศพจำนวนมาก ทำให้วิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดของเขานั้นมีระดับสูงส่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งศิษย์พี่ช่วยให้เขาได้ความทรงจำกลับคืนมามากเท่าใด เขาก็ยิ่งจำวิชาแห่งศาสตร์มืดระดับสองได้มากเท่ากัน

วิชาแห่งศาสตร์มืดระดับสองมีชื่อว่า…หัตถ์สื่อวิญญาณ!

วิชาแห่งศาสตร์มืดระดับหนึ่งคือใบหน้าซากศพ ส่วนระดับสองคือหัตถ์สื่อวิญญาณ สิ่งนี้เป็นทั้งพลังเทพและทักษะการฝึกปราณ…เปลวไฟสีดำก็เหมือนปราณวิญญาณ มันจะค่อยๆ รวบรวมอยู่ในกาย…ยิ่งความทรงจำของหวังเป่าเล่อกลับมามากเพียงใด เขาก็ยิ่งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิชาแห่งศาสตร์มืดเอาไว้ในแบบที่ตนเข้าใจได้มากขึ้นทุกที

ชายหนุ่มยังรู้อีกด้วยว่าวิชาใบหน้าซากศพแห่งความมืดนั้นคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาฝึกตนที่ศิษย์ขั้นรากฐานตั้งมั่นของสำนักแห่งความมืดเคยสอน การฝึกปรือเคล็ดวิชานี้อาจทำให้บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น และสร้างแก่นในแห่งความมืดเพื่อเริ่มฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณต่อไป ถึงกระนั้น วิธีการฝึกตนเช่นนี้ก็โบราณไปเสียแล้ว

สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์ สำนักแห่งความมืดจะให้ศิษย์ฝึกวิชาใบหน้าซากศพจนกระทั่งพวกเขาบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ จากนั้นจึงค่อยเริ่มฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดระดับสอง ซึ่งก็คือหัตถ์สื่อวิญญาณ วิธีนี้จะกระตุ้นให้เกิดการกลายพันธุ์ของเปลวไฟสีดำภายในกาย และเปลวไฟสีดำก็จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งและเพิ่มจำนวนขึ้น เมื่อศิษย์มีแก่นในของตนเองแล้ว เปลวไฟสีดำก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย

นั่นเพราะวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณช่วยเร่งการดูดซึมปราณมืดและเข้าไปบีบอัดเปลวไฟสีดำในร่างกาย

ส่งผลให้มีเปลวไฟสีดำหลายๆ ดวงปรากฏขึ้นในกายพร้อมๆ กัน จำนวนของเปลวไฟสีดำจะแตกต่างกันไปตามพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล

ตามบันทึกของสำนักแห่งความมืด จำนวนเปลวไฟสีดำที่แบ่งตัวมากสุดซึ่งเคยมีคนทำไว้คือแปดสิบเอ็ดครั้ง แปลว่าเปลวไฟสีดำแปดสิบเอ็ดดวงนั้นซ้อนทับกันไปมาจนในที่สุดจึงกลายเป็นแก่นในแห่งความมืด พลังของมันมหาศาล ผู้ที่ทำสำเร็จนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น…คือศิษย์พี่เฉินชิงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขานี่เอง!

คนอื่นๆ ก็สามารถสร้างเปลวไฟสีดำได้หลายสิบดวงเช่นกัน

ในด้านการโจมตี วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณจะสร้างหัตถ์แห่งความมืดออกมาจากกาย หัตถ์แห่งความมืดนี้สามารถทะลุผ่านกายเนื้อของสิ่งมีชีวิตใดก็ตามและเข้าไปจับวิญญาณได้!

นี่คือวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ!

ทรงพลังจนเหลือจะกล่าว!

หากผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในแห่งความมืดใช้วิชานี้ พลังก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก!

หลังจากที่ได้ความทรงจำเหล่านี้กลับคืนมา ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็ถี่เร็วขึ้น นอกจากการวาดใบหน้าซากศพแล้วนั้น เขาก็เริ่มฝึกวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณด้วย การฝึกพลังเทพนี้ยากยิ่ง แต่พลังในการเพิ่มพูนเปลวไฟสีดำของมันนั้นสัมผัสได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำในกายเขาเริ่มเติบโตจากสามดวงไปสี่ แล้วก็ห้า แล้วก็หก แล้วก็เจ็ด…

หลังจากผ่านไปสองสัปดาห์ ชายหนุ่มก็มีเปลวไฟสีดำอยู่ในร่างถึงสิบเจ็ดดวง เมื่อทั้งหมดมาเรียงซ้อนกัน พลังของพวกมันก็เกินไปกว่าที่เขาเคยมีในอดีต!

ขณะนี้นั้น เมื่อหวังเป่าเล่อเดินไปมาอยู่ในบริเวณสำนัก เพียงแค่รัศมีที่ตัวเขาแผ่ออกมาก็ทำให้วิญญาณคนบาปซึ่งถูกลงโทษให้มาเป็นข้ารับใช้ต่างพากันตื่นกลัว เมื่อพวกมันเห็นเขา พวกมันจะตัวสั่นงันงกและพากันก้มคำนับด้วยความกลัว

นี่คือรัศมีอันยอดเยี่ยมที่หวังเป่าเล่อไม่เคยมีมาก่อนตอนที่เพิ่งกลับมายังสำนักแห่งความมืด!

ชายหนุ่มคิดว่าวันเวลาต่อๆ มาก็จะสงบสุขเช่นเดียวกับตอนนี้ และเขาจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างเงียบๆ ทว่า หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน จู่ๆ ตอนเที่ยงของวันหนึ่ง ก็มีลมกรรโชกแรงเข้ามาในสำนักแห่งความมืด สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาจนกระทั่งท้องฟ้ยังสั่นสะเทือนและพลันมืดสนิท มีรัศมีอันทรงพลังแผ่ลงมาจากท้องฟ้าที่เกลื่อนดาว!

รัศมีนั้นช่างทรงพลังนัก ปรากฏเป็นตัวตนทั้งหมดเจ็ดตน หกตนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าเทพยดาในสรวงสวรรค์ เมื่อพวกมันลงมา ท้องฟ้าก็สะเทือนเลื่อนลั่น แม้กระทั่งดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปจากสำนักแห่งความมืดก็ยังสั่นสะเทือน สรรพชีวิตรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมลงมาบนร่าง ราวกับว่าเวลานั้นเดินช้าลงไป

แต่พวกมันก็ยังเป็นรองตัวตนที่เจ็ด ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น ดวงดาวทั้งหมดที่อยู่ห่างสำนักแห่งความมืดไปก็ส่งเสียงกัมปนาทดังสนั่นออกมา ราวกับว่าพวกมันจะแตกสลาย รอยร้าวบนดวงดาวเหล่านั้นมองเห็นได้ชัดเจน ประตูวัฏสงสารทั้งหมดเริ่มสั่นไหวและแสงสว่างเริ่มมืดมัวลง แม่น้ำแห่งวิญญาณที่ไหลผ่านประตูอยู่ก็สั่นสะเทือนและหยุดนิ่ง ราวกับว่าถูกปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวต่อไปได้

ลมหายใจของศิษย์สำนักแห่งความมืดทุกคนเริ่มไม่คงที่ ความตื่นตระหนกตกใจแผ่ไปทั่วในใจทุกคน เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่ บรรดาอสูรต่างก็ตัวสั่นเทา วิญญาณนับไม่ถ้วนส่งเสียงกรีดร้อง โลกทั้งใบสั่นไหว ท้องฟ้าส่งเสียงร้องคำรน บนท้องฟ้าเหนือสำนักแห่งความมืดปรากฏ…ดวงอาทิตย์เจ็ดดวง!

ในบรรดาดวงอาทิตย์ทั้งเจ็ด หกดวงเป็นสีแดงฉาน มีดวงเดียวเท่านั้นที่เป็นสีม่วง!

ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้น เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเกรี้ยวกราดก็ระเบิดออกมาจากดวงอาทิตย์สีม่วง

“หมิงคุนจื่อ คืนวิญญาณลูกสาวของข้ามา!”

เมื่อเสียงคำรามนั้นดังออกมา แสงเข้มข้นสีม่วงก็ระเบิดออกจากดวงอาทิตย์สีม่วง เช่นเดียวกันกับดวงอาทิตย์สีแดงฉานทั้งหก แสงเจิดจ้าปกคลุมทั่วผืนทวีปในพริบตา ปลดปล่อยทั้งความรุนแรงและความร้อนอันแสนสาหัสที่มีพลังทำลายไร้ที่สิ้นสุด ราวกับจะข่มขู่ทำลายดินแดนส่วนนั้นไปในพริบตา! ราวกับจะพุ่งเข้าชนให้ทุกสิ่งแหลกเป็นผุยผงไปกระนั้น!

เมื่อพลังอันเหลือล้นนั้นปะทุขึ้น ภายในสำนักแห่งความมืด รัศมีที่รุนแรงพอๆ กันก็ปะทุออกมา ดวงจันทร์จำนวนมากปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า พวกมันมีทั้งหมดสิบสามดวงด้วยกัน แต่ละดวงนั้นมีพลังเทียบเคียงได้กับดวงอาทิตย์สีแดงฉาน ดวงจันทร์ต่างผลักรัศมีอันทรงพลังของดวงอาทิตย์สีแดงให้ออกไป จังหวะนั้นเอง ดวงจันทร์ดวงที่สิบสี่ก็เผยโฉมขึ้นบนท้องฟ้า

ดวงจันทร์ดวงนั้นมีสีดำสนิท!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset