หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา – บทที่ 1083 ซุนเต๋อ!

เงาร่างชายหนุ่มค่อยๆ กลืนหายไปในฝูงชน ผู้ฟังเรื่องเล่าในโรงน้ำชาต่างถอนหายใจกันยกใหญ่ ถกเถียงเรื่องราวระหว่างกัน แม้จะไม่มีเรื่องราวต่อจากนั้น แต่บรรยากาศที่นี่กลับคึกคักยิ่งกว่า

“ข้าว่าผู้เยี่ยมยุทธ์แซ่หลัวจะต้องชนะแน่นอน พวกเจ้าคิดดูสิ สามารถใช้พื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นคุกได้ แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าพลังเทพนี้เยี่ยมยอดแค่ไหน”

“เป็นไปไม่ได้ คนเลวต้องตายแน่นอน ผู้แซ่หลัวนี่ดูแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร อีกคนต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย!”

“แต่คุณชายซุนก็เล่าเรื่องนี้มาครึ่งเดือนแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่พูดถึงอีกคนเสียทีว่าชื่ออะไร”

“เมื่อเทียบกับอีกคนชื่อแซ่อะไร ข้ากลับอยากรู้มากกว่าว่าในหัวของเขานั้นมีอะไรถึงได้เล่าเรื่องที่ชวนให้ผู้คนติดหนึบเช่นนี้”

“ใช่แล้ว หลงจู๊ คุณชายซุนผู้นี้เป็นใครกันแน่”

ผู้คนถกเถียงกัน น้ำชาก็ขายดีขึ้น ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ยิ่งยุ่ง ส่วนหลงจู๊กลับระบายยิ้มเต็มใบหน้า ยามได้ยินคนถามจึงกระแอมทีหนึ่งพลางรินชาให้ตนเอง

“พูดถึงคุณชายซุน นับว่าเป็นคนแปลกผู้หนึ่ง ได้ยินเขาพูดว่าเดิมสอบจวี่เหริน[1]ได้ แต่ไม่สนใจอาชีพราชการ ปรารถนาจะเดินท่องภูเขาแม่น้ำ ดูชีวิตประชาราษฎร์ เป็นสักขีพยานการเปลี่ยนแปลงของคืนวันและเป็นผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ร้อยปีของยุค และด้วยเขาผ่านทางนี้ข้าจึงขอร้องเขาอยู่นานถึงจะยอมพักอยู่ที่นี่สักระยะ พวกเจ้าโชคดีได้ฟังเรื่องของเขา เรื่องนี้ก็นับว่าพอจะเล่าไปต่อได้ชั่วชีวิตแล้ว”

ผู้ฟังเรื่องเล่าทั้งหลายต่างมีสีหน้านับถือเมื่อได้ยินคำพูดของหลงจู๊ ก่อนถกเรื่องราวกันอีกครั้ง กระทั่งถึงพลบค่ำ เมื่อแขกใหม่มา พวกเขาถึงทยอยกันจากไป

ยามที่พวกเขาจากไป คุณชายซุนที่พวกเขานับถือผู้นั้นก็กลับถึงโรงเตี๊ยม ระหว่างทางมีคนไม่น้อยยิ้มทักทายเมื่อเห็นเขา แม้แต่เด็กรับใช้ที่โรงเตี๊ยม เมื่อเห็นเขากลับมาก็กุลีกุจอวิ่งมาหา

“คุณชายซุนกลับมาแล้ว วันนี้อยากกินอะไรขอรับ”

“ซันเป่าอาหารขึ้นชื่อของร้านเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่ซุนวางท่าที ยิ้มน้อยๆ พลางผงกศีรษะให้เด็กรับใช้ ก่อนโคลงศีรษะเข้าห้องของตนเอง เมื่อปิดประตูก็ได้ยินเสียงเด็กรับใช้สั่งอาหารเสียงดัง

หลังจากเข้าห้อง ท่าทีของเขาพลันหายไป จนดูเหมือนเด็กมีปัญหา นั่งเอียงอยู่บนเก้าอี้ ยกขาขึ้นข้างหนึ่ง วางแผ่นไม้สีดำลงบนโต๊ะ ก่อนหยิบเงินออกมาจากหน้าอกอย่างรวดเร็ว กำมันอย่างตื่นเต้น จากนั้นจึงหยิบขึ้นมากัดดู เมื่อแน่ใจว่าเงินไม่มีปัญหา ท่าทางก็ยิ่งตื่นเต้นยกใหญ่

“คิดไม่ถึงว่าการเล่าเรื่องจะหาเงินได้เช่นนี้ ผู้คนที่นี่ซื่อๆ เป็นทำเลที่ดีโดยแท้!” คุณชายซุนยิ้มกริ่ม ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและลำพองใจ นัยน์ตาเป็นประกาย ในใจเริ่มคำนวณว่าจะหาเงินจากที่นี่ให้มากกว่าเดิมอย่างไร

แท้จริงแล้ว ผู้แซ่ซุนนี้มีนามว่าซุนเต๋อ ไม่ใช่จวี่เหรินอย่างที่หลงจู๊โรงน้ำชาพูดแต่อย่างใด เขาเป็นคนในเมือง แม้จะเล่าเรียน หากแต่ความคิดกลับซับซ้อน แม้จะไม่ลักเล็กขโมยน้อยแต่กลับลุ่มหลงในการพนันและหอนางโลม ครอบครัวที่เดิมทียังนับว่ามั่งคั่งก็ถูกเขาผลาญจนหมด สอบเข้ารับราชการก็สอบตกหลายครั้งหลายครา ไม่ต้องพูดถึงจวี่เหริน แม้กระทั่งซิ่วไฉก็ไม่ผ่าน จวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพียงถงเซิง[2].ไอลีนโนเวล.

สุดท้ายติดหนี้พนันก้อนโต อยู่ในเมืองต่อไปไม่ได้อีกจึงจากบ้านเกิดด้วยความจนใจ ตลอดทางได้แต่ใช้ฝีปากหลอกลวง ก่อนจะถึงที่นี่ก็มีแต่เสื้อผ้าบนตัวชุดเดียวเท่านั้น ถุงเงินก็แทบจะว่างเปล่า

แต่ตั้งแต่เขามาถึงอำเภอเล็กๆ ในชนบทอันห่างไกลนี้ โชคชะตาก็ดีขึ้นไม่น้อย วันแรกที่มาถึงที่นี่เขาก็ฝัน ในความฝันนั้นเห็นโลกที่ราวกับเทพนิยาย เมื่อตื่นขึ้นก็ครุ่นคิดอยู่นาน ว่าจะลองหาโรงน้ำชาเล่าความฝันตัวเองสักตอน

กลับคิดไม่ถึงว่า…เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นตำนานสุดยอด เมื่อบวกกับฝีปากของเขาก็โด่งดังขึ้นมาทันที หลงจู๊โรงน้ำชาเห็นช่องทางค้าขาย จึงรีบเข้ามาผูกสัมพันธ์ ทั้งสองร่วมมือกัน และเขาก็ใช้โอกาสสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นหลงจู๊โรงน้ำชาผู้นั้นไม่เพียงตระเตรียมที่พัก ทั้งยังเชิญเขาไปเล่าเรื่องทุกวี่ทุกวันด้วย

จนตอนนี้ก็ปาไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลืออย่างรวดเร็วตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินไป เรียกว่ามีทั้งชื่อเสียงเงินทองทำให้เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสุขสบาย

“ไม่รู้ว่าเรื่องราวในความฝันนั้นยาวแค่ไหน คราวหน้าต้องพูดให้ช้ากว่านี้หน่อย แบบนี้ถึงจะเป็นน้ำน้อยไหลนาน” ซุนเต๋อกะพริบตา ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจ ผ่านไปไม่นาน เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาก็รีบเก็บเงิน ก่อนจัดท่านั่ง ใบหน้าวางมาดอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เข้ามาได้”

ประตูห้องเปิดออก เด็กรับใช้ยกอาหารและกาสุราเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้น หลังจากวางลงบนโต๊ะอย่างว่องไว ก็ถามอย่างเอาอกเอาใจ เมื่อรู้ว่าเจ้านายตรงหน้าไร้ความต้องการอื่น จึงถอยออกไปจากห้อง หลังจากเด็กรับใช้จากไปแล้ว ท่าทางของซุนเต๋อพลันผ่อนคลาย กินดื่มจนอิ่มหนำก่อนตบหน้าท้องอย่างอิ่มเอม

“เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ผู้คนใสซื่อไม่พอ ตลอดทางที่ผ่าน สตรีที่นี่ก็งดงามอย่างยิ่ง เอวบางอ้อนแอ้น งดงามปานจะกลืนกิน ทว่าน่าเสียดาย…ตอนที่เพิ่งจะมาถึงยังไม่ได้แวะเวียนไปหอนางโลม ทั้งเรื่องพนันขันต่อ…” ซุนเต๋อถูมือไปมา อดทนครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพักเรื่องการพนันไว้ก่อน

“สิ่งที่สำคัญตอนนี้ คือต้องรีบดูเรื่องราวใหม่” คิดได้ดังนั้น ซุนเต๋อก็ถอดชุดและพับวางไว้ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ปัดฝุ่นบนชุดเสร็จจึงนอนลงบนเตียงและค่อยๆ หลับไป

ยามหลับใหล ความฝันเทพนิยายก็เผยขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง

เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เรื่องราวในความฝันของเขาก็ค่อยๆ ถึงจุดตื่นเต้นบีบคั้นตามเรื่องราวที่เขาเล่าในแต่ละวัน…

“การแย่งชิงของทั้งสอง ทำให้คุกไร้รูปพังทลาย เก้าพันหมื่นเต๋าสวรรค์ล่มสลาย พายุกลุ่มนี้กวาดม้วนจักรวาลจนสิ้น…”

“จากนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตัดสินโทษเต๋าสวรรค์ เกิดใหม่เก้าพันหมื่น พร้อมใช้กฎแห่งสวรรค์ในโลกเก้าพันหมื่นเหมือนกับหลัวที่เกิดเป็นเก้าพันหมื่น กำเนิดขึ้นเป็นวนเวียนไม่รู้จบ ล้วนตื่นจากความว่างเปล่าในทุกชาติและเข้าสู่การต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!”

“ในห้วงเวลาอันยาวนาน เงาร่างคนทั้งสองอยู่ในทุกหนทุกแห่ง การต่อสู้ของพวกเขาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งก็ตายลงเหมือนมนุษย์ธรรมดา บางครั้งก็กลายเป็นสัตว์ร้ายดูดกลืนชีวิตอย่างสุดกำลัง บางครั้งก็กลายเป็นเซียนออกรบเพื่อโลกอีกครั้ง!”

“มหาศิษย์แห่งเต๋าจำนวนมหาศาลก็คือพวกเขาทั้งสองที่กลับชาติมา ตำนานเรื่องเล่าอันนับไม่ถ้วนก็เกิดจากพวกเขาทั้งสอง…อีกทั้งการกลับชาติมาเกิดของทั้งสองล้วนมีเหตุและผล ในขณะที่ยังไม่รู้ตื่น บ้างก็เป็นชายกับหญิง บ้างก็เป็นบิดากับลูกชาย บ้างก็เป็นอาจารย์กับศิษย์ บ้างก็เป็นเพื่อนพ้อง…จวบจนเก้าพันหมื่นปีกัป ดินแดนกว้างใหญ่รวมทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ปรากฏขึ้น จึงนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เพราะการต่อสู้ของทั้งสอง ในเวลานี้ได้ผ่านมาหลายภพชาติ หลายกัปกัลป์ จนถึงนาทีแห่งการตัดสินชัย”

เรื่องราวของซุนเต๋อ เมื่อเล่ามาถึงจุดสุดยอด ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังขั้นสุดในเขตชนบทนี้ ไม่เพียงที่นั่งในโรงน้ำชาจะเต็มแน่นในทุกวัน ด้านนอกก็เป็นเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาจากผู้ติดการพนันในหลายเดือนก่อน นับว่าขึ้นสู่จุดสูงสุดในพริบตา

สิ่งที่ตามมาคือคำเชิญจากครอบครัวมั่งคั่งในเขตอำเภอ ทำให้ในระยะเวลาอันสั้น ซุนเต๋อได้สัมผัสความรู้สึกของผู้มีชื่อเสียง และที่ทำให้เขาตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือครอบครัวร่ำรวยที่ไม่มีลูกชายสืบทอดสกุลครอบครัวหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะถูกใจในชื่อเสียงของซุนเต๋อ หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกใจในตัวตนจวี่เหรินของเขา เมื่อทราบว่าซุนเต๋อยังไม่แต่งงาน จึงเสนอความคิดจะยกลูกสาวตนให้ตบแต่งพร้อมสอบถามเวลาตกฟากและบันทึกทะเบียนบ้านปลอม

หญิงสาวผู้นั้นผิวขาวเนียน หน้าตางดงาม รูปร่างอรชร นับว่าเป็นกุลสตรีเพียบพร้อมในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ซุนเต๋อจ้องนางจนตาแทบจะหลุด ใจเต้นระส่ำ

แต่เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่จวี่เหริน หากใครคิดอยากตรวจสอบ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถรู้ความจริงได้ ดังนั้นซุนเต๋อจึงทบทวนใหม่ ปล่อยข่าวว่าตนกำลังจะจากไป ต้องกลับบ้านเกิดไปแต่งงาน

เมื่อข่าวแพร่สะพัด เพราะเรื่องราวยังเล่าไม่จบ ด้วยเหตุนี้ผู้ฟังทั้งหลายต่างร้อนใจ ครอบครัวมั่งคั่งที่คิดอยากแต่งงานด้วยนั้นก็ยิ่งร้อนรน จากการเร่งเร้าของญาติสนิทมิตรสหายและความต้องการของตนเอง ด้วยไม่อยากเสียโอกาสนี้ไป จึงไม่รอตรวจสอบข้อมูลก็จัดการเรื่องการแต่งงานทันที

เมื่อข่าวการแต่งงานกระจายออกไป ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ซุนเต๋อก็ยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ ในวันแต่งงาน เขาดื่มจนเมามาย เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว มองใบหน้าหมดจดที่ชวนให้ใจสั่น ในใจซุนเต๋อรุ่มร้อน รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ของตนเอง การเลือกที่ถูกต้องที่สุดก็คือการมายังที่แห่งนี้

ซุนเต๋อกระโจนเข้าไปพร้อมความมึนเมา…ส่วนเรื่องที่อาจโดนเปิดโปงในภายหลัง แม้เขาจะเป็นกังวล ทว่าด้วยนิสัยเสพติดการพนัน จึงอยากลองเสี่ยง ขอเพียงเรื่องเล่าของตนเองยอดเยี่ยมพอ เช่นนั้นต่อให้ถูกเปิดโปงก็ไม่เสียหายเท่าไร

……………………………………….

[1] ระบบการสอบรับราชการจีนสมัยก่อน จัดการแบ่งสอบสามรอบคือซิ่วไฉ จวี่เหริน ก่งเซิ่งตามลำดับ

[2] ถงเซิง คือผู้เล่าเรียนที่ยังสอบไม่ผ่านซิ่วไฉ

เงาร่างชายหนุ่มค่อยๆ กลืนหายไปในฝูงชน ผู้ฟังเรื่องเล่าในโรงน้ำชาต่างถอนหายใจกันยกใหญ่ ถกเถียงเรื่องราวระหว่างกัน แม้จะไม่มีเรื่องราวต่อจากนั้น แต่บรรยากาศที่นี่กลับคึกคักยิ่งกว่า

“ข้าว่าผู้เยี่ยมยุทธ์แซ่หลัวจะต้องชนะแน่นอน พวกเจ้าคิดดูสิ สามารถใช้พื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นคุกได้ แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าพลังเทพนี้เยี่ยมยอดแค่ไหน”

“เป็นไปไม่ได้ คนเลวต้องตายแน่นอน ผู้แซ่หลัวนี่ดูแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร อีกคนต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย!”

“แต่คุณชายซุนก็เล่าเรื่องนี้มาครึ่งเดือนแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่พูดถึงอีกคนเสียทีว่าชื่ออะไร”

“เมื่อเทียบกับอีกคนชื่อแซ่อะไร ข้ากลับอยากรู้มากกว่าว่าในหัวของเขานั้นมีอะไรถึงได้เล่าเรื่องที่ชวนให้ผู้คนติดหนึบเช่นนี้”

“ใช่แล้ว หลงจู๊ คุณชายซุนผู้นี้เป็นใครกันแน่”

ผู้คนถกเถียงกัน น้ำชาก็ขายดีขึ้น ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ยิ่งยุ่ง ส่วนหลงจู๊กลับระบายยิ้มเต็มใบหน้า ยามได้ยินคนถามจึงกระแอมทีหนึ่งพลางรินชาให้ตนเอง

“พูดถึงคุณชายซุน นับว่าเป็นคนแปลกผู้หนึ่ง ได้ยินเขาพูดว่าเดิมสอบจวี่เหริน[1]ได้ แต่ไม่สนใจอาชีพราชการ ปรารถนาจะเดินท่องภูเขาแม่น้ำ ดูชีวิตประชาราษฎร์ เป็นสักขีพยานการเปลี่ยนแปลงของคืนวันและเป็นผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ร้อยปีของยุค และด้วยเขาผ่านทางนี้ข้าจึงขอร้องเขาอยู่นานถึงจะยอมพักอยู่ที่นี่สักระยะ พวกเจ้าโชคดีได้ฟังเรื่องของเขา เรื่องนี้ก็นับว่าพอจะเล่าไปต่อได้ชั่วชีวิตแล้ว”

ผู้ฟังเรื่องเล่าทั้งหลายต่างมีสีหน้านับถือเมื่อได้ยินคำพูดของหลงจู๊ ก่อนถกเรื่องราวกันอีกครั้ง กระทั่งถึงพลบค่ำ เมื่อแขกใหม่มา พวกเขาถึงทยอยกันจากไป

ยามที่พวกเขาจากไป คุณชายซุนที่พวกเขานับถือผู้นั้นก็กลับถึงโรงเตี๊ยม ระหว่างทางมีคนไม่น้อยยิ้มทักทายเมื่อเห็นเขา แม้แต่เด็กรับใช้ที่โรงเตี๊ยม เมื่อเห็นเขากลับมาก็กุลีกุจอวิ่งมาหา

“คุณชายซุนกลับมาแล้ว วันนี้อยากกินอะไรขอรับ”

“ซันเป่าอาหารขึ้นชื่อของร้านเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่ซุนวางท่าที ยิ้มน้อยๆ พลางผงกศีรษะให้เด็กรับใช้ ก่อนโคลงศีรษะเข้าห้องของตนเอง เมื่อปิดประตูก็ได้ยินเสียงเด็กรับใช้สั่งอาหารเสียงดัง

หลังจากเข้าห้อง ท่าทีของเขาพลันหายไป จนดูเหมือนเด็กมีปัญหา นั่งเอียงอยู่บนเก้าอี้ ยกขาขึ้นข้างหนึ่ง วางแผ่นไม้สีดำลงบนโต๊ะ ก่อนหยิบเงินออกมาจากหน้าอกอย่างรวดเร็ว กำมันอย่างตื่นเต้น จากนั้นจึงหยิบขึ้นมากัดดู เมื่อแน่ใจว่าเงินไม่มีปัญหา ท่าทางก็ยิ่งตื่นเต้นยกใหญ่

“คิดไม่ถึงว่าการเล่าเรื่องจะหาเงินได้เช่นนี้ ผู้คนที่นี่ซื่อๆ เป็นทำเลที่ดีโดยแท้!” คุณชายซุนยิ้มกริ่ม ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและลำพองใจ นัยน์ตาเป็นประกาย ในใจเริ่มคำนวณว่าจะหาเงินจากที่นี่ให้มากกว่าเดิมอย่างไร

แท้จริงแล้ว ผู้แซ่ซุนนี้มีนามว่าซุนเต๋อ ไม่ใช่จวี่เหรินอย่างที่หลงจู๊โรงน้ำชาพูดแต่อย่างใด เขาเป็นคนในเมือง แม้จะเล่าเรียน หากแต่ความคิดกลับซับซ้อน แม้จะไม่ลักเล็กขโมยน้อยแต่กลับลุ่มหลงในการพนันและหอนางโลม ครอบครัวที่เดิมทียังนับว่ามั่งคั่งก็ถูกเขาผลาญจนหมด สอบเข้ารับราชการก็สอบตกหลายครั้งหลายครา ไม่ต้องพูดถึงจวี่เหริน แม้กระทั่งซิ่วไฉก็ไม่ผ่าน จวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพียงถงเซิง[2].ไอลีนโนเวล.

สุดท้ายติดหนี้พนันก้อนโต อยู่ในเมืองต่อไปไม่ได้อีกจึงจากบ้านเกิดด้วยความจนใจ ตลอดทางได้แต่ใช้ฝีปากหลอกลวง ก่อนจะถึงที่นี่ก็มีแต่เสื้อผ้าบนตัวชุดเดียวเท่านั้น ถุงเงินก็แทบจะว่างเปล่า

แต่ตั้งแต่เขามาถึงอำเภอเล็กๆ ในชนบทอันห่างไกลนี้ โชคชะตาก็ดีขึ้นไม่น้อย วันแรกที่มาถึงที่นี่เขาก็ฝัน ในความฝันนั้นเห็นโลกที่ราวกับเทพนิยาย เมื่อตื่นขึ้นก็ครุ่นคิดอยู่นาน ว่าจะลองหาโรงน้ำชาเล่าความฝันตัวเองสักตอน

กลับคิดไม่ถึงว่า…เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นตำนานสุดยอด เมื่อบวกกับฝีปากของเขาก็โด่งดังขึ้นมาทันที หลงจู๊โรงน้ำชาเห็นช่องทางค้าขาย จึงรีบเข้ามาผูกสัมพันธ์ ทั้งสองร่วมมือกัน และเขาก็ใช้โอกาสสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นหลงจู๊โรงน้ำชาผู้นั้นไม่เพียงตระเตรียมที่พัก ทั้งยังเชิญเขาไปเล่าเรื่องทุกวี่ทุกวันด้วย

จนตอนนี้ก็ปาไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลืออย่างรวดเร็วตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินไป เรียกว่ามีทั้งชื่อเสียงเงินทองทำให้เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสุขสบาย

“ไม่รู้ว่าเรื่องราวในความฝันนั้นยาวแค่ไหน คราวหน้าต้องพูดให้ช้ากว่านี้หน่อย แบบนี้ถึงจะเป็นน้ำน้อยไหลนาน” ซุนเต๋อกะพริบตา ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจ ผ่านไปไม่นาน เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาก็รีบเก็บเงิน ก่อนจัดท่านั่ง ใบหน้าวางมาดอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เข้ามาได้”

ประตูห้องเปิดออก เด็กรับใช้ยกอาหารและกาสุราเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้น หลังจากวางลงบนโต๊ะอย่างว่องไว ก็ถามอย่างเอาอกเอาใจ เมื่อรู้ว่าเจ้านายตรงหน้าไร้ความต้องการอื่น จึงถอยออกไปจากห้อง หลังจากเด็กรับใช้จากไปแล้ว ท่าทางของซุนเต๋อพลันผ่อนคลาย กินดื่มจนอิ่มหนำก่อนตบหน้าท้องอย่างอิ่มเอม

“เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ผู้คนใสซื่อไม่พอ ตลอดทางที่ผ่าน สตรีที่นี่ก็งดงามอย่างยิ่ง เอวบางอ้อนแอ้น งดงามปานจะกลืนกิน ทว่าน่าเสียดาย…ตอนที่เพิ่งจะมาถึงยังไม่ได้แวะเวียนไปหอนางโลม ทั้งเรื่องพนันขันต่อ…” ซุนเต๋อถูมือไปมา อดทนครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพักเรื่องการพนันไว้ก่อน

“สิ่งที่สำคัญตอนนี้ คือต้องรีบดูเรื่องราวใหม่” คิดได้ดังนั้น ซุนเต๋อก็ถอดชุดและพับวางไว้ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ปัดฝุ่นบนชุดเสร็จจึงนอนลงบนเตียงและค่อยๆ หลับไป

ยามหลับใหล ความฝันเทพนิยายก็เผยขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง

เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เรื่องราวในความฝันของเขาก็ค่อยๆ ถึงจุดตื่นเต้นบีบคั้นตามเรื่องราวที่เขาเล่าในแต่ละวัน…

“การแย่งชิงของทั้งสอง ทำให้คุกไร้รูปพังทลาย เก้าพันหมื่นเต๋าสวรรค์ล่มสลาย พายุกลุ่มนี้กวาดม้วนจักรวาลจนสิ้น…”

“จากนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตัดสินโทษเต๋าสวรรค์ เกิดใหม่เก้าพันหมื่น พร้อมใช้กฎแห่งสวรรค์ในโลกเก้าพันหมื่นเหมือนกับหลัวที่เกิดเป็นเก้าพันหมื่น กำเนิดขึ้นเป็นวนเวียนไม่รู้จบ ล้วนตื่นจากความว่างเปล่าในทุกชาติและเข้าสู่การต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!”

“ในห้วงเวลาอันยาวนาน เงาร่างคนทั้งสองอยู่ในทุกหนทุกแห่ง การต่อสู้ของพวกเขาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งก็ตายลงเหมือนมนุษย์ธรรมดา บางครั้งก็กลายเป็นสัตว์ร้ายดูดกลืนชีวิตอย่างสุดกำลัง บางครั้งก็กลายเป็นเซียนออกรบเพื่อโลกอีกครั้ง!”

“มหาศิษย์แห่งเต๋าจำนวนมหาศาลก็คือพวกเขาทั้งสองที่กลับชาติมา ตำนานเรื่องเล่าอันนับไม่ถ้วนก็เกิดจากพวกเขาทั้งสอง…อีกทั้งการกลับชาติมาเกิดของทั้งสองล้วนมีเหตุและผล ในขณะที่ยังไม่รู้ตื่น บ้างก็เป็นชายกับหญิง บ้างก็เป็นบิดากับลูกชาย บ้างก็เป็นอาจารย์กับศิษย์ บ้างก็เป็นเพื่อนพ้อง…จวบจนเก้าพันหมื่นปีกัป ดินแดนกว้างใหญ่รวมทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ปรากฏขึ้น จึงนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เพราะการต่อสู้ของทั้งสอง ในเวลานี้ได้ผ่านมาหลายภพชาติ หลายกัปกัลป์ จนถึงนาทีแห่งการตัดสินชัย”

เรื่องราวของซุนเต๋อ เมื่อเล่ามาถึงจุดสุดยอด ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังขั้นสุดในเขตชนบทนี้ ไม่เพียงที่นั่งในโรงน้ำชาจะเต็มแน่นในทุกวัน ด้านนอกก็เป็นเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาจากผู้ติดการพนันในหลายเดือนก่อน นับว่าขึ้นสู่จุดสูงสุดในพริบตา

สิ่งที่ตามมาคือคำเชิญจากครอบครัวมั่งคั่งในเขตอำเภอ ทำให้ในระยะเวลาอันสั้น ซุนเต๋อได้สัมผัสความรู้สึกของผู้มีชื่อเสียง และที่ทำให้เขาตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือครอบครัวร่ำรวยที่ไม่มีลูกชายสืบทอดสกุลครอบครัวหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะถูกใจในชื่อเสียงของซุนเต๋อ หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกใจในตัวตนจวี่เหรินของเขา เมื่อทราบว่าซุนเต๋อยังไม่แต่งงาน จึงเสนอความคิดจะยกลูกสาวตนให้ตบแต่งพร้อมสอบถามเวลาตกฟากและบันทึกทะเบียนบ้านปลอม

หญิงสาวผู้นั้นผิวขาวเนียน หน้าตางดงาม รูปร่างอรชร นับว่าเป็นกุลสตรีเพียบพร้อมในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ซุนเต๋อจ้องนางจนตาแทบจะหลุด ใจเต้นระส่ำ

แต่เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่จวี่เหริน หากใครคิดอยากตรวจสอบ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถรู้ความจริงได้ ดังนั้นซุนเต๋อจึงทบทวนใหม่ ปล่อยข่าวว่าตนกำลังจะจากไป ต้องกลับบ้านเกิดไปแต่งงาน

เมื่อข่าวแพร่สะพัด เพราะเรื่องราวยังเล่าไม่จบ ด้วยเหตุนี้ผู้ฟังทั้งหลายต่างร้อนใจ ครอบครัวมั่งคั่งที่คิดอยากแต่งงานด้วยนั้นก็ยิ่งร้อนรน จากการเร่งเร้าของญาติสนิทมิตรสหายและความต้องการของตนเอง ด้วยไม่อยากเสียโอกาสนี้ไป จึงไม่รอตรวจสอบข้อมูลก็จัดการเรื่องการแต่งงานทันที

เมื่อข่าวการแต่งงานกระจายออกไป ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ซุนเต๋อก็ยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ ในวันแต่งงาน เขาดื่มจนเมามาย เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว มองใบหน้าหมดจดที่ชวนให้ใจสั่น ในใจซุนเต๋อรุ่มร้อน รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ของตนเอง การเลือกที่ถูกต้องที่สุดก็คือการมายังที่แห่งนี้

ซุนเต๋อกระโจนเข้าไปพร้อมความมึนเมา…ส่วนเรื่องที่อาจโดนเปิดโปงในภายหลัง แม้เขาจะเป็นกังวล ทว่าด้วยนิสัยเสพติดการพนัน จึงอยากลองเสี่ยง ขอเพียงเรื่องเล่าของตนเองยอดเยี่ยมพอ เช่นนั้นต่อให้ถูกเปิดโปงก็ไม่เสียหายเท่าไร

……………………………………….

[1] ระบบการสอบรับราชการจีนสมัยก่อน จัดการแบ่งสอบสามรอบคือซิ่วไฉ จวี่เหริน ก่งเซิ่งตามลำดับ

[2] ถงเซิง คือผู้เล่าเรียนที่ยังสอบไม่ผ่านซิ่วไฉ

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

นิยายกำลังภายใน แปลจีน จากนักเขียนขายดีตลอดกาล ‘เอ่อร์เกิน’ กับตัวเอกแปลกใหม่ ไม่มีใครเหมือน! บังอาจดูถูกความหล่อเหลาของข้า จงเรียกข้าว่า ‘บิดา’ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศปักเข้าใจกลางดวงอาทิตย์ แรงกระแทกนั้นทำให้ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนและกระจัดกระจายไปทั่วทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก ก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัดขึ้นบนโลกในบัดดล พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ‘ปราณวิญญาณ’ เมื่อสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ เริ่มออกรวบรวมเศษชิ้นส่วนต่างๆ พวกเขาก็ได้รู้ถึงเคล็ดวิชาการฝึกตน การหลอมโอสถ การหลอมศิลาวิญญาณ และเคล็ดวิชาพิสดารนานัปการ ตัวอักขระที่จารึกอยู่บนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นล้วนเก่าแก่ยิ่งนัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้คนกลับมานิยมใช้ภาษาจีนโบราณกันอีกครั้ง การถือกำเนิดของปราณวิญญาณ ทำให้แหล่งพลังงานรูปแบบเดิมตกยุค และได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์โลกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เครือข่ายวิญญาณจะได้รับการคิดค้นขึ้นมา แต่ปราณวิญญาณยังพลิกโฉมอารยธรรมมนุษย์ นำพาโลกเข้าสู่ยุคสมัยแห่งการฝึกตน ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามว่ายุคกำเนิดวิญญาณ หวังเป่าเล่อ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป ชายหนุ่มศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานสหพันธรัฐจนขึ้นใจ และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความ ‘หน้าหนาหน้าทน’ ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ …เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตายหากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี!! ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

Options

not work with dark mode
Reset